Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 225

ตอนที่ 225 เจรจาธรรมเนียมอันใด

คนงานและเด็กๆ ของหวังทงมองไปเห็นอีกฝ่ายมีคนมากันมากมายเช่นนั้น ก็หยุดลงมือ พากันกลับมาข้างกายหวังทง

ไม่ต้องให้ใครสั่ง ตามที่ครูฝึกเคยสอนไว้ ขบวนรูปสี่เหลี่ยมล้อมหวังทงไว้ตรงกลาง อาศัยจังหวะที่คนเบื้องหน้ายังไม่รุกเข้ามาใกล้ ทุกคนรีบเปลี่ยนอาวุธในมือกันพัลวัน เอาอาวุธยาวส่งให้คนแถวหน้า

ลี่เทากำชับเด็กหนุ่มคนหนึ่งสองสามประโยค เด็กหนุ่มผู้นั้นก็รีบวิ่งออกไปตามทางที่มา หวังทงขมวดคิ้วผลักลูกน้องที่บังอยู่ด้านหน้าออก เดินไปด้านหน้าทุกคน

เจียงซงกับลูกน้องทั้งห้าคนก็วิ่งล้มลุกคลุกคลานกลับไป ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อตัวนอกสีน้ำเงินก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา บรรดาคนมุงสองข้างก็รีบหลีกทางให้ พลางทักทายอย่างกระตือรือร้นว่า

“นายท่ายชุย ขอคำนับปีใหม่ขอรับ!”

“นายท่านชุย ปีนี้ท่านรัศมีร่ำรวยเงินทองโดดเด่น!”

ชายวัยกลางคนผู้นั้นยิ้มบางพยักหน้ารับ เดินต่อไปไม่หยุด เจียงซงวิ่งล้มลุกคลุกคลานมาถึง ไม่รอให้นายท่านชุยได้กล่าวอันใด เจียงซงก็เข้าไปกระซิบก่อน นายท่านชุยขมวดคิ้ว แต่ก็ยังก้าวเดินต่อไป

ชายสวมชุดสีน้ำตาลพวกนั้นเดินตามมา คนงานและเด็กๆ ของหวังทงเคยเห็นภาพการสังหารใหญ่มาแล้ว ก็ใช่ว่าจะกลัว แต่ในมือไม่มีอาวุธ เห็นชัดว่าอีกฝ่ายคนมาก ก็อดที่จะเกร็งเล็กน้อยไม่ได้

นาวาสุคนธ์ทางนั้นพอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ การมีเรื่องกันบนท้องถนนไม่ต่างอะไรกับการทำสงคราม พอเห็นกองกำลังที่มีระเบียบเรียบร้อย ก็รู้สึกระแวดระวังขึ้นมาทันที

สองฝ่ายมีตระกูลจางเป็นเส้นแบ่งเขต ต่างหยุดฝีเท้าประจันหน้ากัน หวังทงยืนอยู่ด้านหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในใจรู้สึกไม่ถูกต้องนัก

ตนเป็นคนของทางการ อีกฝ่ายเป็นแค่สำนักลัทธิ แต่ปฏิกิริยาคนทั่วไป และท่าทางของอีกฝ่าย ดูอย่างไรก็รู้สึกว่าตนเองกลายเป็นสำนักลัทธิแทนซะอย่างนั้น

“นายท่านตรงข้ามไม่ทราบมาจากที่ทำการใด แจ้งสถานะให้ทราบหน่อยได้หรือไม่!”

นายท่านชุยไม่บุ่มบ่ามเหมือนเจียงซง มาถึงด้านหน้าก็ก้มกายคำนับ เสียงดังกังวานก้องถามขึ้น หวังทงเห็นชายวัยกลางคนก็นับว่ามีมารยาท แต่รอยแผลยาวจากมุมปากถึงข้างใบหูนั้น ดูเหมือนแผลไม่ลึก มองไกลๆ เห็นไม่ชัด มองใกล้ๆ รู้สึกแปลกยิ่ง

หวังทงกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นว่า

“สำนักองครักษ์เสื้อแพร!”

วาจานี้กล่าวออกมาแทบไม่มีความหมายอันใด เจียงซงที่ยืนอยู่หลังนายท่านชุยถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างแรง ใช้สายตาอวดเบ่งยิ่งกว่าเมื่อครู่มองจ้องกลับมา

“ที่แท้พี่น้ององครักษ์เสื้อแพร ไม่ทราบว่ามีตำแหน่งอะไรในนั้นหรือ!?”

รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้านายท่านชุย น้ำเสียงมีมารยาทยิ่ง แต่การพูดจากับคนของทางการ การที่ใบหน้ายิ้มแย้มเช่นนี้ ไม่นับว่าเกรงอกเกรงใจมีมารยาทอันใด ความเกรงกลัวอยู่ที่ใดกัน?

“นายกองพัน!”

“เสียมารยาทแล้วๆ ที่แท้ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวังมาถึงเทียนจินนี่ มารับตำแหน่งใหม่ ในเมืองนอกเมือง มีใครบ้างไม่รู้จักบารมีใต้เท้า สำนักเราได้มอบเรือของขวัญให้แก่ใต้เท้า ไม่ทราบว่าใต้เท้าได้รับหรือไม่?”

หวังทงสีหน้าเย็นเยียบ ไม่ตอบวาจานี้ แต่กลับเอ่ยเพียงว่า

“กลางวันแสกๆ พวกลูกน้องท่านกลับกล้าฉุดคร่าหญิงชาวบ้าน และยังบีบให้ชาวบ้านต้องยอมตาย ท่านนำคนมากมายเช่นนี้ออกมา คิดจะทำอะไรกันแน่?”

นายท่านชุยตอบด้วยท่าทีธรรมดาว่า

“ตระกูลจางทำลายธรรมเนียม เจียงซงมาเร่งรัดหนี้สิน อาจจะทำเป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อย ขายหน้าใต้เท้ายิ่ง”

“ก็แค่เงินกระถางธูปไม่ใช่หรือ เรียกว่าหนี้สินอะไรกัน!?”

หวังทงน้ำเสียงเฉียบขาดขึ้นทันที นายท่านชุยหัวเราะพลางโบกมือกล่าวว่า

“ใต้เท้าเพิ่งออกมาโลกภายนอก มีบางเรื่องคงไม่ทราบ คนของนาวาสุคนธ์เราเป็นคนทำมาหากิน ให้ไปทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยการรักษาความสงบสุขให้แก่บรรดาร้านค้า หากใครจุดธูป นาวาสุคนธ์เราก็จะสละชีพปกป้อง ใครไม่จ่ายเงิน ทำให้เราพี่น้องเสียเวลา ก็ถือเป็นการทำลายความสงบสุขของทุกร้านค้าในเมือง นาวาสุคนธ์เราไม่อาจปล่อยให้เรื่องเล็กทำลายเรื่องใหญ่ ย่อมต้องมาเร่งรัด”

แต่ละประโยคเหตุผลบิดเบี้ยว แต่พวกเขากลับกล่าวได้อย่างราวกับว่าเป็นเหตุเป็นผลถูกต้อง หวังทงอึ้งไป หันไปมองลูกน้องที่ถือไม้กระบองในมือ หันกลับมาอีกพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า

“นาวาสุคนธ์สามารถรวมกำลังได้ร้อยกว่าในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ หากเป็นในเมืองเกิดเหตุอะไรขึ้นมา ใช่ว่าทางการเราจะเอาไม่อยู่หรอกหรือนี่?”

อีกฝ่ายไม่เกรงกลัวทางการ คนทางนี้ก็ไร้อาวุธ บรรดาคนงานก็ไม่มีสถานะทางการ ลงมือกันขึ้นมา เกรงว่าจะเสียเปรียบ อย่างไรก็คงได้แต่เปิดจุดอ่อนของอีกฝ่าย กดเอาไว้ก่อน

หวังทงแค่นยิ้มในใจ เขากำลังระวังไม่ให้อีกฝ่ายลงมือ ที่แถบเทียนจินนี่ขุนนางท้องที่ช่างน่าสมเพช เขาถามอยู่เช่นนี้ นายท่านชุยกลับหัวเราะเย็นชาใส่ ตอบกลับว่า

“ใต้เท้ากล่าวเช่นนี้ พี่น้องเราเข้าไปที่สำนักในเมืองปักธูปกันทุกวัน ได้ยินว่าทางนี้เกิดเรื่องเลยมาดูกัน ทุกคนล้วนเป็นประชาชนคนดีที่หาเลี้ยงชีพสุจริต ไหนเลยจะทำเรื่องเช่นนั้นได้”

“ถืออาวุธไม่เกรงกลัวเช่นนี้ เมื่อครู่เจียงซงรู้ทั้งรู้ว่าเป็นข้า เจ้าหน้าที่ทางการก็ยังกล้าชักดาบออกมาต่อสู้ ทำกันเช่นนี้ยังเรียกว่าประชาชนคนดีอีกหรือ หรือว่ามีใจคิดไม่ซื่อ คิดก่อการกบฏ!!”

นายท่านชุยหรี่ตาลง รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายไป กล่าวเสียงดังกังวานว่า

“นายกองพันหวัง วาจานี้เคยมีองครักษ์เสื้อแพรเคยถามชาวนาวาสุคนธ์เรา นายกองพันหวังต๋าหมินก็เคยถาม ยังนำคนไปกวาดล้างสำนักเราที่ท่าเรือมาด้วย ข้าน้อยขอเรียนว่า สำนักเรามีคนมากมาย ล้วนเป็นประชาชนคนดีรักษากฎหมาย ย่อมไม่ทำสิ่งเลวร้ายเช่นที่ใต้เท้าท่านกล่าวมาเป็นแน่ วันนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดโดยแท้ มิสู้จบกันตรงนี้ วันหน้าจะไปขอขมาท่านถึงที่จวน ถึงตอนนั้นจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ท่านด้วย ท่านว่าดีหรือไม่?”

หวังทงสูดลมหายใจลึก ไม่กล่าวอันใด หันไปชี้ทางตระกูลจางสามคน ถามน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“สามคนนี้เจ้าจะจัดการอย่างไร?”

เรื่องวันนี้เกิดขึ้นเพราะตระกูลจาง หากว่านายท่านชุยยอมถอยก้าวหนึ่ง ยอมไว้หน้ากันบ้าง สองฝ่ายก็มีทางลง หวังทงก็จะถอยก้าวหนึ่งเช่นกัน

คิดไม่ถึงว่านายท่านชุยจะกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า

“นี่เป็นเรื่องของนาวาสุคนธ์เรา ขอใต้เท้าอย่าได้ข้องเกี่ยว ทำลายธรรมเนียมปฏิบัติ อย่างไรก็ย่อมต้องลงโทษผู้ที่ทำลายธรรมเนียมของเรา มิเช่นนั้นวันหน้าเงินค่าจุดธูปสำนักเราจะมีผู้ใดยอมจ่าย ไปหาคนทางการมาเจรจาก็ไม่ต้องจ่ายงั้นหรือ เช่นนั้นสำนักเราจะรับรองความสงบสุขต่อไปได้อย่างไร!”

ทางการไม่อาจยุ่งเรื่องส่วนตัว ทำลายธรรมเนียมก็ต้องได้รับการจัดการที่สมควร หวังทงหลับตาลง ถอนหายใจยาว พอลืมตาขึ้น สีหน้าก็ผ่อนคลายลง เขาเดินก้าวเข้าไปอีกก้าว ยื่นมือซ้ายไปตบบ่าอีกฝ่าย

สีหน้าท่าทางเช่นนี้ ทำให้นายท่านชุยแอบยิ้มใจใน รู้ว่านายกองพันน้อยผู้นี้เตรียมยอมอ่อนข้อให้แล้ว เขารู้มาว่านายกองร้อยผู้นี้นำองครักษ์เสื้อแพรหลายร้อยไปเอาเรื่องที่กองตรวจการ คนเช่นนี้ก็ย่อมรู้ว่าคนเยอะมีเรื่องแล้วยุ่งยาก เขาพาคนของสำนักมาด้วยหลายพันคน นายกองพันผู้นี้ก็คงย่อมหวั่นเกรงอยู่บ้าง

เห็นอีกฝ่ายตบบ่าตนเอง นายท่านชุนก็ก้มตัวลงรับ จากนั้นก็กล่าววาจาตามมารยาท ผ่านไปสองวันค่อยส่งของขวัญไปให้เป็นการขอขมาก็แล้วกัน

สำหรับตระกูลจาง ธรรมเนียมย่อมไม่อาจทำลาย สำนักนาวาสุคนธ์ตอนนี้อยู่ได้ด้วยการรักษากฎธรรมเนียม แต่การไม่ทำลายธรรมเนียมพร้อมกับการไม่เกรงกลัวขุนนางท้องถิ่น ถึงจะเรียกได้ว่ายิ่งดำเนินการยิ่งใหญ่

เหล่าจางและลูกสาวมองแล้วก็เข้าใจ การได้ผ่านเรื่องดีร้ายมาในเวลาสั้นๆ กลับทำให้รู้สึกสงบลงได้ เขาเอ่ยเบาๆ ว่า

“ลูกเอ๋ย อีกเดี๋ยวก็จัดการเสี่ยวอิงซะ เจ้าใช้ปิ่นปักคอเอาละกัน พ่อจะไปรอเจ้าที่ปรภพก่อน ตระกูลจางเราสะอาดบริสุทธิ์ อย่าได้ทำให้บรรพบุรุษแปดเปื้อน”

หญิงสาวกัดปากพยักหน้า สีหน้าตัดสินใจเด็ดเดี่ยว เดิมคิดว่าใต้เท้าทางนี้จะสามารถช่วยได้ คิดไม่ถึงว่าก็ไม่สำเร็จ แต่ใต้เท้าท่านนี้ก็ทำมากพอแล้ว ตระกูลจางกระซิบกระซาบกันเบาๆ ไม่อยากให้หวังทงลำบากใจ

หวังทงเผยรอยยิ้มบนใบหน้า นายท่านชุยก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เจียงซงด้านหลังก็มีท่าทางได้ใจอวดเบ่ง พวกชายชุดน้ำตาลทุกคนก็รู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่อง

มาถึงตรงหน้า อยู่ๆ หวังทงก็ใช้มือขวาชักมีดสั้นออกมาจากเอว แทงไปตรงหน้าทันที นายท่านชุยคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้ เห็นแสงวาบวับเข้ามาใกล้ ชั่วขณะหนึ่งก็ได้แต่ยกมือไปกันไว้

หวังทงใช้มือที่ตบบ่าเขาไว้บิดหักแขนเข้ามา กดเอาไว้อย่างแรง เพื่อกำบังอีกฝ่าย

เสียง “ฉึก” ดังขึ้น มีดสั้นคมกริบแทงแทงเข้าไปที่คอของนายท่านชุย คมมีดปักลงไปครึ่งด้าม นายท่านชุยก็เคลื่อนไหวช้าลง สองแขนคิดจะคว้ามือหวังทง แต่ระยะห่างแค่ไม่ถึงศอกนั้นก็ไม่อาจทำได้

หวังทงชัดมือออก ที่คอนายท่านชุยมีแผลเปิดด้านหนึ่ง โลหิตสดไหลทะลักออกมา กระเด็นโดนใบหน้าหวังทงทั่วทั้งใบหน้า

หวังทงสวมชุดสีอ่อนครึ่งตัวแปดเปื้อนโลหิตสดในทันที นาทีนั้นทุกคนได้แต่ตกตะลึง หวังทงถีบคนด้านหน้าล้มลงกับพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า

“ไม่สังหารเจ้า วันหน้าใครจะยอมรับธรรมเนียมองครักษ์เสื้อแพรเรา ไม่สังหารเจ้า องครักษ์เสื้อแพรเช่นข้าจะยังเรียกองครักษ์เสื้อแพรได้อีกหรือ!!”

นายท่านชุยที่ทรุดลงกับพื้นยกมือขึ้นคิดจะอุดปากแผลไว้ แต่ก็ไร้แรงกำลัง ปล่อยมือตกลงอีกครั้ง ไม่ขยับอีกเลย โลหิตสดยังคงไหลริน คนที่นั้นพากันเงียบงัน

วาจาหวังทงสองประโยค ทุกคนได้ยินกันอย่างชัดเจน เจ้าเด็กหนุ่มนี่หันมามองด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบโลหิต ชายชุดน้ำตาลก็อดถอยหลังไปสองสามก้าวไม่ได้

เจียงซงที่ยืนอยู่ก็อึ้งยิ่งกว่า หวังทงอยู่ ๆ ก็หัวเราะขึ้น ใบหน้าเปื้อนโลหิตสด ฟันขาวกระทบนัยน์ตา หวังทงชี้มือไปทางเขาเอ่ยเยาะว่า

“ข้าจะตัดหัวเจ้า ไม่เช่นนั้นข้าไม่อาจกำราบคนที่เทียนจินนี้ได้ โทษทั้งหมด เจ้ารับไหวหรือ?”

เจียงซงเริ่มรู้สึกถึงไอเย็นแผ่ลามจากฝ่าเท้าขึ้นมาถึงศีรษะ อึ้งสนิท จ้องมองหวังทงด้วยความตกตะลึง อยู่ๆ ก็ร้องโหยหวนขึ้น หันไปทิศทางตรงกันข้ามวิ่งหนีไปทันที

พอมีคนนำวิ่ง ชายที่เหลือที่เดิมก็ไม่มั่นคงอยู่แล้วก็พากันไปทีละคน เหมือนโรคระบาด ล้วนหันหน้าวิ่งหนีกันไปหมด ชั่วขณะหนึ่งก็หายกันไปหมดไม่เหลือสักคน

ยามนั้นเองหวังทงได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากด้านหลัง มองกลับไป ก็เห็นถานเจียงนำคนแต่งกายพร้อมต่อสู้มาด้วย หวังทงหันไปให้คนหนึ่งลงจากหลังม้า เขากระโดดขึ้นหลังมา ยกมือปาดใบหน้า ดึงดาบที่เหน็บบนอานม้าออกมา ชี้ไปที่คนมุงที่ยังงงกันอยู่ ถามว่า

“เจ้าเจียงซงนั่นไปไหน พวกเจ้ารู้หรือไม่?”

ถานเจียงด้านหลังกระซิบถามว่า

“นายท่านคิดจะไป…”

“จะไปตัดหัวเจ้าเจียงซงนั่น!!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!