Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 226

ตอนที่ 226 สะใจยิ่ง

หวังทงโดดขึ้นหลังม้า หันมาตะโกนเสียงดังว่า

“กลับไปใส่เกราะเตรียมอาวุธ ตามคนที่ตามมาได้มาให้ข้าให้หมด ตามข้าไปสังหารคนผู้นั้น!!”

คนงานและเด็กๆ ที่เคยผ่านการรบบนทางหลวงมาล้วนไม่เกรงกลัวสิ่งใด กลับรู้สึกอารมณ์ร้อนแรงเมื่อคิดว่าจะได้ออกไปต่อสู้ ทุกคนตอบรับเสียงดังพร้อมเพรียง พากันวิ่งกลับไปด้วยการนำของหัวหน้าหน่วย

ถานเจียงนำคนมาแค่ 25 คนด้วยเวลาจำกัด และก็เป็นบรรดาคนตระกูลถาน หม่าซานเปียว จางซื่อเฉียง ซุนต้าไห่ และคนโรงบ้านอีกสามสี่คนเท่านั้น

หวังทงชักม้าเดินไปยังคนมุงผู้หนึ่ง ถามเสียงเข้มทันทีว่า

“เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อครู่เจ้าคนผู้นั้นวิ่งไปที่ไหนกัน?”

สถานการณ์พลิกผันไปมา ยังมีคนตายในที่เกิดเหตุ คนมุงที่ถูกถามยังคงอึ้งอยู่ หวังทงถามก็ยังไม่รู้สึกตัว จึงยกดาบในมือฟันฉับลงไปทันที

ชายผู้นั้นร้องโหยหวนด้วยความตกใจ บรรดาคนข้างๆ ก็พากันหดหัวตามอย่างไม่ทันรู้ตัว หลับตาปี๋ แต่เสียงร้องนั้นยังคงดังไม่หยุด พอเปิดตาดูอีกที ก็พบว่ามีดนั้นฟันจนชายผู้นั้นผมเผ้ากระจาย หมวกถูกดาบฟันขาดในดาบเดียว

“ข้าไม่มีเวลามาไร้สาระกับเจ้า รีบบอกมา ไม่งั้นดาบต่อไปจะตัดหัวเจ้าซะ!”

ชายผู้นั้นทรุดลงไปกองกับพื้น หว่างขาเปียกแฉะ เมื่อครู่ตกใจจนเสียการควบคุมไปแล้ว ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ก็รีบตะโกนน้ำเสียงแหบพร่าว่า

“ที่ถนนกรมอากรตรงประตูเหนือ สำนักนาวาสุคนธ์อยู่ที่นั่น ไปที่นั่น!!”

หวังทงนั่งตัวตรง ยกดาบชูขึ้น บังคับม้าทะยานออกไป ถานเจียงด้านหลังก็รีบเร่งม้าตามออกไป กล่าวว่า

“นายท่าน อย่างไรก็รอให้คนของเรามากันก่อนค่อยว่ากันเถอะขอรับ!”

“กลัวอะไร หรือว่าพวกโจรนั่นยังกล้าลงมือกับคนของทางการ หากกล้าลงมือ เช่นนั้นพวกกองนกกระจอกนั้นจะยังรับมือการจู่โจมของพวกเราได้หรือ มารดามันสิ ที่เทียนจินนี่เก็บกดมานานแล้ว พวกตัวเล็กๆ ก็กล้าทำผิดกฎหมาย วันนี้ต้องสร้างธรรมเนียมให้พวกเขาสักหน่อย ให้พวกเขารู้ความร้ายกาจกันบ้าง!”

คราบโลหิตบนใบหน้าหวังทงยังเช็ดไม่หมด เมื่อครู่ปาดไปทีหนึ่งก็ยิ่งดูน่ากลัว ยามพูดยังตะเบ็งเสียงดัง อารมณ์นี้ทำเอาถานเจียงไม่กล้ากล่าวอันใดต่อ ใช้รองเท้ากระแทกสีข้างม้า รีบตามไปทันที

ตลอดเส้นทาง ขบวนม้าที่ไม่ใหญ่นักกรูกันออกมาก็ทำให้คนตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อครู่ที่มุงดูกันอยู่ก็หลบกันจ้าละหวั่น ลนลานหลบลงสองข้างทาง ผลักกันล้มเหยียบซ้ำอีก เสียงร้องเจ็บปวดปนเสียงร้องไห้ดังระงม เพียงครู่หนึ่งก็ชุลมุนกันไปทั่ว

การจัดการเมื่อครู่แล้วค่อยมาถาม ทำให้เสียเวลาไปครู่หนึ่ง พวกสวมชุดน้ำตาลเป็นคนท้องถิ่น ชำนาญเส้นทางดี ย่อมพากันหายไปอย่างไม่เห็นแม้เงา

“พวกพลทหารที่เดิมสังกัดองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินไม่ได้ตามมาสักคน!”

เส้นทางไม่กว้างแต่ก็ไม่มีสิ่งกีดขวาง หวังทงบังคับม้าให้ผ่อนความเร็วลง ไปไม่ไกลก็หันกลับมามองคนที่ตามมา ในใจก็ลุกเป็นไฟ

“นายท่านดูก็เข้าใจ เมื่อครู่มีคนไปขอความช่วยเหลือ พอได้ยินว่านาวาสุคนธ์ พวกองครักษ์เสื้อแพรที่ เทียนจินต่างก็ตกใจจนหน้าถอดสี ไม่มีผู้ใดยอมตามกันสักคน มีแต่พวกที่มาจากเมืองหลวงพร้อมพวกเรา ทุกคนแย่งกันมา ข้ายังต้องจัดคนจำนวนหนึ่งไว้คอยเฝ้าระวังทางนั้น”

ถานเจียงตอบกลับ ท่ามกลางความโมโหหนักแต่ยังสามารถบังคับให้นิ่งเงียบได้ ทำให้ถานเจียงรู้สึกเคารพหวังทงขึ้นอีกไม่น้อย หวังทงแค่นเสียงเย็นกล่าวว่า

“อย่างไรก็พี่น้องเราพึ่งพาได้!!”

สะบัดแส้อย่างแรง เร่งความเร็วม้าขึ้นอีก

เมื่อครู่หวังทงวิ่งไปตามกำแพง วิ่งไปเกือบถึงประตูทิศเหนือ เมืองเทียนจินไม่ได้กว้างใหญ่สักเท่าไร หลังจากขี่ม้าทะยานออกมา ในที่สุดก็เห็นชายชุดน้ำตาลพวกนั้น

กองกำลังพิทักษ์เทียนจินเป็นเขตท่าเรือ แถบเมืองทงโจวปากคลองส่งน้ำในปีนั้นเป็นที่ศูนย์รวมเส้นทางน้ำ ดังนั้นเสบียงอาหารและสินค้ามหาศาลล้วนมาพักขนถ่ายที่เทียนจิน สั่งสมสินค้าปริมาณมหาศาล กรมอากรยังมาจัดตั้งกองขนส่งที่เทียนจิน นี่เป็นที่ทำการควบคุมระหว่างทาง แต่ไรมาก็ไม่ข้องเกี่ยวกับกองงานในพื้นที่

ถนนที่กองขนส่งเทียนจินตั้งอยู่นั้นจึงเรียกว่าถนนกรมอากร ที่ทำการกองขนส่งมองเห็นเด่นเป็นสง่า ประตูที่ใกล้กับบ้านหลังใหญ่ที่สุด หลังจากชายชุดน้ำตาลวิ่งเข้าไปก็ปิดประตูแน่น

หวังทงและคนอื่นๆ พอขี่ม้าตามมาถึงหน้าประตูใหญ่ เห็นประตูใหญ่ปิดแน่นหนา ก็มองซ้ายมองขวา เมืองเทียนจินหายากที่จะมีถนนกว้างเช่นนี้ ถึงกลับมีเพียงประตูที่ทำการกองขนส่งและบ้านใหญ่หลังนั้นสองแห่งเท่านั้น

หม่าซานเปียวใช้ดาบในมือแซะร่องประตูใหญ่ที่ลงสีน้ำมันดำวาว หากย่อมปิดแน่นเปิดไม่ออก หวังทงตะโกนกราดเกรี้ยวอยู่บนหลังม้า

“เปิดประตู!!! ถ้าไม่เปิดข้าจะเผารังโจรของพวกเจ้าซะเลย!!”

เสียงตะโกนดังเช่นนี้ สามารถได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งกันขวักไขว่ด้านหลังประตู แต่กลับไม่มีใครตอบรับจะมาเปิดประตู ยามนั้นเองประตูของกองขนส่งก็มีเสียงคนสองสามคนตะโกนดังออกมาว่า

“ผู้ใดมาตะโกนเสียงดังหนวกหูอยู่หน้าประตู ไม่รู้จักธรรมเนียมกันหรือ!!”

หวังทงเหล่ตามองไป น้ำเสียงคำรามยิ่งดังกว่าเดิมว่า

“พวกเจ้าแอบให้ที่ซ่อนโจรร้าย รีบเปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้!!”

ด้านในประตูยังคงไร้การเคลื่อนไหว แต่กรมขนส่งที่อยู่ไม่ไกลนักกลับมีคนวิ่งออกมาหกคน ล้วนเป็นเจ้าหน้าที่สวมหมวกทรงเหลี่ยมในชุดดำ ถือดาบอยู่ในมือ วิ่งเข้ามาด้วยความโมโห ตะโกนดังว่า

“กองขนส่งเป็นสถานที่ราชการสำคัญ รบกวนใต้เท้าทุกท่านกำลังทำงาน พวกเจ้ารับไหวหรือ?”

กองขนส่งแห่งกรมอากรประจำกองกำลังพิทักษ์ที่เทียนจินแต่ไรมาก็มองว่าตนเป็นขุนนางจากเมืองหลวง สูงส่งกว่าขุนนางที่เทียนจินอยู่ระดับสองระดับ คนที่ทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาก็พลอยโอหังไปด้วย ในเมืองเทียนจินมีคำพูดหนึ่งว่า “กองขนส่ง ไม่อาจยุ่งด้วย” พวกเขารับคำสั่งโดยตรงจากกรมอากร ขุนนางท้องถิ่นจึงไม่อาจยุ่งเกี่ยวด้วย

เสียงเจ้าหน้าที่ตะโกนดังขึ้นด้วยความโมโหจบลง หวังทงก็หันหัวม้าไปหยุดตรงหน้า เจ้าหน้าที่ผู้นั้นดูแล้วก็มีความกล้าอยู่บ้าง ชี้ไปทางหวังทงกำลังจะกล่าววาจา หวังทงสวมชุดธรรมดาย่อมดูสถานะไม่ออก เจ้าหน้าที่ก็ยิ่งโมโห

คำดุด่ายังไม่ทันได้เอ่ยออกมา หวังทงก็ยกมือหนึ่งขึ้น แส้ม้าตวัดใส่ไปทีหนึ่ง คิดจะยื่นมือมารับก็ไม่ทันการณ์ แก้มและสันจมูกถูกแส้ฟาดเป็นรอยแดง สีแดงม่วงช้ำอย่างเห็นได้ชัด

แก้มเป็นที่ที่ความรู้สึกไวที่สุดของคน พอแส้ฟาดลงมาโดนก็เจ็บปวดอย่างมากทันที กุมแก้มล้มลงกับพื้นร้องโอดโอย หวังทงตวัดแส้คืนมา หันไปตวาดคนที่เหลือว่า

“อยากตายก็อยู่ต่อ ไม่เช่นนั้นก็ไสหัวไป!!”

เจ้าหน้าที่พวกนั้นพอเห็นท่าทางดุดันพร้อมคราบโลหิตของหวังทง และยังมีทีท่าดุร้ายเช่นนี้ ทุกคนก็ตกใจถอยหลังไปสองสามก้าว ไม่กล้ากล่าวอันใดต่อ

หวังทงหันไปมองเห็นประตูใหญ่ยังคงปิดสนิทก็ยิ่งโมโห อดไม่ได้ตะโกนออกคำสั่งเสียงดังว่า

“ปีนเข้าไปเปิดประตู!”

หม่าซานเปียวและคนโรงบ้านพอได้ยินก็ลงจากหลังม้า ถานปิงกลับหัวเราะกล่าวว่า

“นายท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ ด้านนอกก็กระแทกประตูเปิดได้”

หวังทงนิ่งไปครู่หนึ่ง ในใจคิดว่าลงมือบนท้องถนนเช่นนี้ หรือว่าต้องไปตัดต้นไม้รอบๆ มาทำเป็นเครื่องกระแทกประตูกัน

ทุกคนหลีกทางเป็นวงกว้าง ถานปิงกับคนของตระกูลถานอีกห้าคนเรียงม้าเป็นแถว ห่างกันสองสามก้าว ตะโกนพุ่งเข้าไปพร้อมกัน

ประตูใหญ่ไม่ได้มีขั้นบันได มีแค่ธรณีเท่านั้น ม้าห้าตัวห่างจากประตูเพียงก้าวเดียว คนทั้งห้าก็พร้อมใจกันสะบัดแส้อย่างแรง ม้าก็ยืนสองขาขึ้นพร้อมกับคนบนหลังม้า ขาหน้าก็กระแทกเข้าใส่ประตูอย่างแรง

กีบม้าล้วนเป็นเหล็กชั้นดี ม้าและคนเตะเข้าใส่พร้อมกันย่อมมีแรงมหาศาล และยังพุ่งเข้าประสานพร้อมกัน แรงถีบม้าใส่เข้าไป ประตูก็ย่อมสั่นสะเทือนทั้งบาน

พวกถานปิงร้องตะโกนพร้อมกัน ดึงม้ากลับ เตรียมจะทำอีกรอบ หวังทงมองก็เข้าใจแล้ว เอ่ยขึ้นว่า

“เปลี่ยนเป็นม้าสามตัว พุ่งใส่ตรงกลาง!”

พวกถานเจียงมองตรงมาทางหวังทงแวบหนึ่ง รู้สึกตกใจครู่หนึ่งก็มีสีหน้ายอมรับนับถือ ตามคำสั่งหวังทง ถานปิงขี่ม้าตรงกลาง อีกสองคนขนาบข้าง ควบขึ้นหน้าไปอีก

ครั้งนี้แรงถีบเข้าใส่กลางประตู บานประตูไม้สองด้านก็เริ่มปริ ได้ยินเสียง “โครม” ของไม้หักดังขึ้น ประตูเปิดออกทันที

ใช้แรงม้าวิ่งเข้าใส่ สลักด้านหลังประตูก็ย่อมทานไม่อยู่ จึงถูกปลดออก มองเห็นประตูเปิดออก คนหลังประตูก็มองประตูที่เปิดออก แล้วก็ร้องเสียงดังหนีกันกระจัดกระจายในทันที

คนของหวังทงขี่ม้ากรูเข้าไป ในลานบ้านเป็นพื้นปูลาดด้วยหินสีเขียว เงยหน้ามองไปเป็นห้องโถง มองด้านในยังมีอีกหลายชั้น ชายฉกรรจ์ถือดาบและอาวุธกลุ่มหนึ่งล้วนยืนอยู่ข้างกำแพง สีหน้าเคร่งเครียดจ้องมองมาที่กองกำลังของหวังทง

แม้ว่าอีกฝ่ายคนจะมาก แต่หวังทงที่อยู่บนหลังม้ากลับไม่เห็นคนพวกนี้อยู่ในสายตา ตวัดดาบชี้ไปด้านหน้ากล่าวว่า

“ทุกท่าน ดูแล้วบ้านนี้ก็ไม่เล็ก ยอมติดตามข้าเข้าไปล่าสังหารหรือไม่!”

ถานเจียงยิ้มรับ หม่าซานเปียวกระชับดาบในมือตะโกนขึ้นอย่างหยาบคายว่า

“บุกน้ำลุยไฟ พวกเราก็จะขอติดตามใต้เท้าเข้าไป สถานที่เล็กๆ ของพวกลูกเจี๊ยบสกปรกเช่นนี้ ข้าอาสานำหน้าเอง”

วาจาห้าวหาญ ทุกคนพากันฮาครืน ราวกับไม่มีผู้ใดอยู่โดยรอบ ขณะที่กำลังจะเคลื่อนพลม้าเข้าไป ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนดังมาว่า

“ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวังช้าก่อน ข้าน้อยมีเรื่องรายงาน”

ชายชราวัย 50 กว่าหนึ่งเดินออกมาจากโถงกลางอย่างรวดเร็ว ชายชราผู้นี้ยังจับเจียงซงมัดไว้ ชายชราเคราขาวพริ้วไหวไปมา พอก้าวลงขั้นบันไดมาได้ก็คำนับก่อน จากนั้นก็กล่าวว่า

“นาวาสุคนธ์ดูแลไม่ดี เจียงซงเจ้าตัวเลวนี้ทำเรื่องผิดต่อฟ้าดิน ล่วงเกินใต้เท้า เมื่อครู่ข้าได้จับมัดไว้แล้ว ตอนนี้ขอมอบให้ใต้เท้าจัดการลงโทษ!!”

กล่าวจบ เจียงซงก็ถูกคนผลักมาด้านหน้า ที่ปากยังมีผ้าเก่าๆ อุดปากเอาไว้ ตัวถูกมัดไว้ ด้านหลังมีคนสองคนคุมตัวไว้ ใบหน้าหวาดกลัวสุดขีด ขยับดิ้นไปมาแต่ก็ดิ้นไม่หลุด

หวังทงมองแล้ว ก็หัวเราะดังลั่น สะบัดแส้ก่อนจะบังคับม้าไปด้านหน้า ไปถึงตรงหน้าเจียงซง สองคนที่คุมตัวไว้ก็รีบปล่อยมือ เจียงซงยังไม่ทันได้ดิ้นรน หวังทงก็ฟันดาบลง

ม้าทะยานมาพร้อมดาบอย่างเร็ว ศีรษะเจียงซงหลุดออกจากร่างทันที โลหิตสดพุ่งขึ้นฟ้า ผู้คนโดยรอบต่างเปื้อนคราบโลหิตที่กระเซ็นโดนไปทั่ว หวังทงที่นั่งอยู่บนหลังม้าก็แทบจะแดงฉานไปด้วยโลหิต หวังทงหยุดม้า เช็ดดาบกับกางเกงสองสามที ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า

“บอกว่าจะตัดศีรษะเจ้า ก็ต้องทำให้ได้ดังว่า!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!