ตอนที่ 238 รู้ความจริง ทรงกริ้วมาก
เดิมจางเฉิงกำลังคัดแยกเอกสารทีละฉบับอยู่ และกำลังแบ่งออกเป็นสามกองตามปกติ แบ่งเป็นกองของชนชั้นสูงในราชสำนัก กองของขุนนางบุ๋นและบู๊ และกองของชาวบ้านทั่วไป
สำนักรักษาความสงบดำเนินการมาได้ไม่กี่เดือน แต่ทุกอย่างค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้น เช่นการแบ่งออกเป็นสามกองนี้ แน่นอนรายงานทุกวันที่มีมา พวกชนชั้นสูงมีไม่กี่แผ่น แต่ของอีกสองกองนั้นก็หนาหลายชั้นอยู่
ด้านบนของทุกกองก็จะมีกระดาษปะหน้าไว้ งานที่จางเฉิงต้องทำก็คือจัดเอกสารในกล่องไม้ให้เรียงแยกกองกันให้ดีตามใบปะหน้าด้านบน
ขณะที่กำลังยกกองที่สามออกมา ยังไม่ทันได้วางลง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ระเบิดโทสะอย่างไม่อาจระงับ ถ้วยชาแตกกระจายเสียงดังก้อง จางเฉิงมือสั่น เอกสารร่วงลงบนโต๊ะ
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงกริ้วจนระงับไม่อยู่ คว้าของทุกอย่างใกล้มือปากระจาย เครื่องเขียนในวังหลวงนี้ล้วนเป็นเครื่องทองเครื่องหยกที่ทำในวัง เรียกได้ว่าปราณีตงดงาม ก็ไม่รู้ว่ามีค่ามากเท่าไร ยามนี้ได้แต่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
จางเฉิงก้าวถอยหลังไปสองก้าว กำลังจะเข้าไปเตือน ก็เห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่บิดเบี้ยว จาเฉิงไม่เคยได้เห็นฮ่องเต้น้อยเป็นเช่นนี้มาก่อน นิ่งค้างไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบถอยหลังไปหมอบลงกับพื้นทันที
“เรายังเป็นโอรสสวรรค์หรือ!!”
“เรายังเป็นฮ่องเต้อีกหรือ!!?”
“พวกเจ้าเห็นเราเป็นเด็กน้อย สอนความโง่เง่าพวกนี้ให้เรา ตัวเองกลับเสวยสุขเยี่ยงนี้!!”
เริ่มต้นสองประโยคยังบังคับสุรเสียงให้เบาได้ หากพอตรัสถึงประโยคสุดท้ายกลับกัดพระทนต์เปล่งเสียงตะโกนดัง ข้าวของบนโต๊ะโดนปาทิ้งเกือบหมด สองพระหัตถ์คว้าเอกสารบนโต๊ะโยนขึ้นฟ้ากระจัดกระจาย
กระดาษแผ่นนั้นถูกโยนลอยขึ้นกลางอากาศ ค่อยๆ ปลิวร่อนลงมา ในห้องเละเทะไปหมด จางเฉิงไม่เคยได้เห็นฮ่องเต้น้อยบ้าคลั่งเช่นนี้มาก่อน
ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอก ก็รู้ว่าขันทีที่คอยรับใช้ด้านนอกกับบรรดาองครักษ์รับรู้ได้ว่าการเคลื่อนไหวด้านในผิดปกติ รีบรุดกันวิ่งมา
จางเฉิงรีบเงยหน้าขึ้น บังเอิญกับที่ฮ่องเต้ว่านลี่คว้าเอาหยกห้อยรูปปลาหลี่ฮื้อขว้างมาพอดี พุ่งตรงเข้าปลายคิ้วของจางเฉิง เกิดเป็นแผลขึ้นทันที โลหิตไหลรินออกมา
ยามนั้นจางเฉิงไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว ได้แต่เขยิบเข้าไปใกล้ทูลทัดทานว่า
“ฝ่าบาทรีบให้คนข้างนอกถอยออกไปก่อน มิเช่นนั้นจะทำให้ไทเฮาและเฝิงกงกงรู้ ฝ่าบาท!!”
ประโยคสุดท้ายเหมือนว่าจะตะโกนออกมา ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้พระสติคืนมา ทรงหอบหายใจใหญ่อยู่สองสามที ก่อนจะตรัสเสียงดังออกไปด้านนอกว่า
“ถอยออกไปให้ห่าง ธรรมเนียมปกติลืมกันหมดแล้วหรือ หรือว่าจะต้องให้ข้าตัดหัวพวกเจ้าจึงจะจำได้!!”
เสียงฝีเท้าด้านนอกที่เข้ามาใกล้หยุดลง จากนั้นก็มีเสียงดังมาว่า “กระหม่อมสึกนึกผิดแล้ว ฝ่าบาทโปรดประทานอภัยโทษด้วย” เสียงฝีเท้ารีบถอยห่างออกไป
ผ่านด่านนี้มาได้ พระอารมณ์ของฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ระเบิดต่อ ทรงประทับลงบนเก้าอี้ ก่อนจะทรงสูดลมหายใจเข้าออกอย่างแรง พระเนตรแดงก่ำนิ่งเงียบ
ความกริ้วนี้มาจากเรื่องใดกัน ในใจจางเฉิงรู้สึกหวาดกลัวหลายส่วน ไม่รู้ว่าจะเริ่มตักเตือนอย่างไร บาดแผลตรงหน้าผาก โลหิตยังไหลไม่หยุด ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรเห็นแล้วก็ทรงรู้สึกผิด ตรัสขึ้นด้วยสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“จางปั้นปั้นหยุดเลือดก่อน เรารู้ดี หากทำให้เฝิงปั้นปั้นรู้ ย่อมโดนตำหนิ”
ธรรมเนียมในวัง สถานที่ๆ ฮ่องเต้ว่านลี่มักเสด็จไปก็จะมียาเตรียมพร้อมรับสถานการณ์เร่งด่วน จางเฉิงย่อมคุ้นเคยในเรื่องนี้ดี คว้ายาห้ามเลือดออกมาทาบาดแผล พร้อมกับผ้าสะอาดกดทับไว้
แต่บาดแผลนี้เรื่องเล็ก จางเฉิงลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ทูลถามออกไปว่า
“ฝ่าบาท ที่แท้ทรงกริ้วด้วยเรื่องอันใด บอกให้กระหม่อมทราบได้หรือไม่ แม้ว่าได้ทรงตัดสินพระทัยแล้ว แต่กระหม่อมก็จะได้ออกความเห็นได้บ้าง”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทิ้งพระวรกายหมดแรงอยู่บนที่ประทับ ได้ยินหากไม่ทรงขยับเขยื้อน ทรงยกพระพัตถ์ชี้ไปที่กองเอกสารตรัสอย่างไร้ความรู้สึกว่า
“หาเอาเองละกัน มีแผ่นหนึ่งเขียนถึงท่านจาง…”
จางเฉิงอึ้งไป ทุกวันเขาได้อ่านรายงานจากสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพร เข้าใจเรื่องราวของบรรดาขุนนางเป็นอย่างดี มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งนอกจากเรื่องขอกลับบ้านเกิดไปไว้ทุกข์บิดาแล้ว ก็ไม่มีเรื่องผิดปกติอื่นใด เหตุใดฮ่องเต้น้อยจึงได้ทรงระงับพระอารมณ์ไม่อยู่เช่นนี้ได้
เกี่ยวพันกับมหาอำมาตย์ ฮ่องเต้ทรงกริ้วหนัก ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร จางเฉิงรู้สึกตกใจและใคร่รู้ ไม่สนใจความเจ็บที่บาดแผล ยกมือกดหน้าผากไว้มือหนึ่ง อีกมือควานหาจากพื้นขึ้นมา
เกือบครึ่งชั่วยามที่ยากลำบาก ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงสงบพระสติอารมณ์นิ่งแล้ว ก็ทรงรู้สึกเก้กังกับที่ทรงหลุดอาการออกไปเช่นนั้น ได้แต่ไขว้พระหัตถ์ไว้ด้านหลังเสด็จพระดำเนินไปยังชั้นหนังสือ จางเฉิงหาเอกสารแผ่นนั้นเจอแล้ว ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาท ไม่ทราบว่าใช่แผ่นนี้หรือไม่ กระหม่อมขอบังอาจอ่านสักสองสามประโยค”
เห็นสีพระพักตร์รับของฮ่องเต้ว่านลี่แล้ว จางเฉิงก็อ่านขึ้นว่า
“…สาวงามใต้หล้ารวมอยู่ที่นี่ มีทั้งสาวงามจากไท่ซี[1] สาวงามจากประเทศวัวกั๋ว[2] นอกหน้าต่างสายลมหนาวพัดเสียดแทงกระดูก ด้านในกลับอบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ…สาวงามในชุดราชวงศ์ถัง บางเบาปิดกายา…อาหารเลิศรสจัดวาง…แม้คืนวันหนาวเหน็บ ผลไม้สดพร้อมสรรพ…ช่างเป็นสวรรค์บนดิน…”
เรื่องที่กล่าวถึงในเอกสารนี้ล้วนบรรยายถึงจวนของจางจวีเจิ้ง บางทีอาจผ่านฝีมือบรรยายด้วยความสนุกสนานของผู้บันทึก จึงเขียนบรรยายได้ละเอียดละอออยู่บ้าง และยังเลือกใช้การสัมผัสคำให้คล้องจองสวยงาม
เอกสารที่สำนักรักษาความสงบเก็บรวมรวมข่าวทุกวัน คนข้างล่างทำงานกันยากลำบากมาก ทุกคนใช้ชีวิตปกติ สถานการณ์ในเมืองหลวงยามนี้ก็ปกติยิ่ง ทุกวันจะมีเรื่องมากมายเช่นนั้นได้ที่ไหนกัน ทุกคนเก็บได้แต่ข้อมูลสัพเพเหระเล่าสู่กันฟัง บ้านใครสุนัขหาย บ้านให้ภรรยาออกนอกลู่นอกทางก็ล้วนรายงานกันเข้ามา
สิ่งที่ราษฎรในเมืองหลวงชอบมากที่สุดก็คือวิพากษ์วิจารณ์ชีวิตส่วนตัวของขุนนางชนชั้นสูง จวนผู้ใดร่ำรวยฟุ่มเฟือย สาวงามในจวนผู้ใดงดงาม ทุกเรื่องเล่ากันออกรสออกชาติ ราวกับเห็นด้วยตาตนเอง
คาดเอาว่าไม่รู้ว่าผู้ใดไม่มีเรื่องจะพูด จึงได้พูดถึงความฟุ่มเฟือยร่ำรวยในจวนท่านจางออกมา แต่รายงานพวกนี้ก็เคยมีตกถึงมือขุนนางศาลซุ่นเทียน สำนักองครักษ์เสื้อแพร สำนักบูรพาและหน่วยงานฝ่ายใน แต่ก็ถูกทำลายทิ้งราวกับเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ที่ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ทรงอ่านก็จะเป็นสิ่งที่อนุมัติให้ทรงอ่านได้เท่านั้น
“พวกราชบัณฑิต เสนาบดี ขุนนางชั้นสูงพวกนี้ ยังมีสำนักส่วนพระองค์ สำนักฝ่ายในในวัง บรรดามหาขันทีพวกนั้น ทุกวันเอาแต่ตักเตือนให้เราประหยัด ต้องทนุถนอมความโชคดี อย่าได้ฟุ่มเฟือย ต้องเป็นแบบอย่างให้ใต้หล้า สองปีก่อนแม้แต่เนื้อก็กินไม่สะใจ ปีนี้แม้แต่โคมไฟก็ยังไม่กล้าแขวนเยอะ ในจวนท่านจางกลับโอ่อ่าหรูหรา สาวงามมากมายเพียงนี้ เขายังต้องบริหารงานแผ่นดิน ก็ไม่รู้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยทำงานไหวไหม จางปั้นปั้น เราถามเจ้า ในเอกสารนั้นเป็นเรื่องจริงไหม?”
ที่แท้เรื่องนี้เองที่ทำให้ทรงกริ้วหนัก ในใจจางเฉิงรู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก คิดอย่างละเอียดแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่เข้าใจชีวิตส่วนตัวของบรรดาขุนนางใหญ่นอกวังแล้ว ราวกับว่าเริ่มจากสำนักรักษาความสงบนี่เอง ระยะครึ่งเดือนมานี้เอกสารจากสำนักรักษาความสงบไม่มีเรื่องราวแผ่นดินอะไร มีแต่เรื่องเล็กเรื่องน้อยของชาวบ้านมากขึ้น
ได้เห็นฮ่องเต้กริ้วหนักเช่นนี้ จางเฉิงก็คิดอย่างเร็ว ชั่งใจครู่หนึ่ง ก็ตอบไปอย่างนอบน้อมระมัดระวังว่า
“ท่านจางยังไม่ได้ถึงวัยชรา สถานะทางบ้านก็ร่ำรวย นิยมชมชอบสาวงามเป็นที่ขึ้นชื่อในเมืองหลวง พวกมากสามารถก็ย่อมมีความปรารถนาที่มากเช่นกัน ท่านจางก็มิใช่คนธรรมดาทั่วไป หากก็มิได้เคยทำให้งานแผ่นดินเสียหาย”
“ที่จางปั้นปั้นว่ามา เอกสารนี้ก็เป็นจริงงั้นสินะ!?”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่พลันเปลี่ยนเป็นอึ้งไป ลากน้ำเสียงยาวถามขึ้น จางเฉิงรีบก้มหน้าลงตอบเบาๆ ว่า
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่บังอาจกล่าวมากความในเรื่องนี้”
“เฮอะๆ ตัวเองเสพสุขเช่นนี้ บทความคุณธรรมศีลธรรมก็แค่เหลวไหล จางปั้นปั้น เราถามอีกประโยค ไม่พูดถึงคนอื่น ขุนนางที่ประชุมในหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อนั่น พวกเขาก็มีชีวิตเช่นนี้หรือ?”
“ทูลฝ่าบาท บรรดาขุนนางใหญ่ในราชสำนักไม่อาจเทียบกับท่านจางได้ แต่ก็ไม่ต่างกันนัก…”
ในใจพลันคิดว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปนอกวัง ตนเองคงได้ประสบเภทภัยหนักเป็นแน่ ในใจจางเฉิงรู้สึกหนาวเหน็บ วาจาจึงค่อนข้างตะกุกตะกัก
“ทุกปีมีเบี้ยหวัดแค่ 300 ตำลึง พร้อมบำเหน็จอีก 2,000 ตำลึง จะมีชีวิตเช่นนี้ได้อย่างไร จวนตัวเองขนาดนั้น มีแต่เราที่มีชีวิตยากลำบากผู้เดียว”
สุรเสียงฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ ดังขึ้น อยู่ก็แค่นยิ้มออกมาว่า
“เราขึ้นครองราชย์มาหกปี สำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย บรรดาขุนนางก็ไม่เอ่ยถึง หากมิใช่สำนักรักษาความสงบ เราก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะถูกปิดบังไปถึงเมื่อไร ท่านจางครั้งนี้ใช่ว่าจะขอกลับบ้านเกิดไปไว้ทุกข์ให้บิดามิใช่หรือ เราว่าไปแล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก ไว้ทุกข์ไปสามปีก็นับว่าเป็นการปฏิบัติตามธรรมเนียมของบุตรที่ดี…”
พระดำรัสเช่นนี้ทำเอาจางเฉิงสะดุ้งในใจ รีบคุกเข่าลงทันที ลนลานกล่าวว่า
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ได้นะพะยะค่ะ ท่านจางแตะต้องไม่ได้ แตะต้องไม่ได้นะพะยะค่ะ!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ลุกจากที่ประทับทันที สุรเสียงกริ้วหนักดังขึ้นว่า
“ทำไมจะไม่ได้ ในสายตาพวกเขามีเราอยู่อีกหรือ พวกเขารังแกเรามานานขนาดนี้ เราไม่เอาผิดก็นับว่าใจกว้างมากแล้ว ให้พวกเขาได้กลับไปบ้านเกิด ทำไมจะไม่ได้!!”
จางเฉิงเดิมคิดว่าโทสะของฮ่องเต้ระงับลงแล้ว ยามนี้จึงได้รู้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่ทรงกริ้วอย่างที่สุดแล้วจริงๆ แต่เสียงคำรามด้วยความโมโหกลับไม่ดังนัก ยังคงพยายามกดน้ำเสียงให้เบา จางเฉิงรู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นที่ยื้อกลับมาไม่ได้ กำลังจะทัดทานต่อ ก็ได้ยินว่านลี่ถามขึ้นอย่างเย็นชาว่า
“จางปั้นปั้น หกปีมานี้ ทำไมท่านไม่บอกความจริงแก่เรา ทำไมต้องให้เราถูกปิดหูปิดตาด้วย?”
พอได้ยินดังนั้น จางเฉิงก็รีบหมอบลง ลนลานกล่าวว่า
“ที่ท่านจางทำนั้นกระหม่อมจะรู้ได้อย่างไร แต่สิ่งที่สอนฝ่าบาทก็เป็นหลักการที่ถูกต้อง ไทเฮาก็ทรงต้องการให้พระองค์เป็นเช่นนี้ กระหม่อมจะกล้าทูลอะไรได้”
ฮ่องเต้ว่านลี่แค่นเสียง “ฮึ” ก่อนจะนิ่งไป ยามนี้จางเฉิงได้จุดไฟลามมาถึงตัวแล้ว จึงไม่อาจทัดทานฮ่องเต้ว่านลี่ได้อีก แต่หากให้จางจวีเจิ้งกลับบ้านเกิดไปไว้ทุกข์ เช่นนั้นคงได้เกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่ จะต้องทัดทานให้ฮ่องเต้เปลี่ยนพระทัยให้ได้ คิดไปคิดมาแล้วก็คลานเข่าเข้ามาโขกศีรษะต่อเบื้องพระพักตร์ ทูลว่า
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก กระหม่อมไม่กล้าทูล หากจะต้องให้มีคนถวายความเห็นในเรื่องนี้แล้ว ก็เป็นทางออกที่ดี กระหม่อมคิดว่า ฝ่าบาททรงลองถามหวังทงไหม…”
………………..
[1] คำเรียกประเทศทางยุโรปในสมัยนั้น
[2] คำเรียกประเทศญี่ปุ่นในสมัยนั้น