Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 239

ตอนที่ 239 เรื่องแผ่นดิน เรื่องครอบครัว

“ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบ ราชสำนักยามนี้บรรดาขุนนางล้วนเป็นคนของท่านจาง ในราชสำนักฝายใน เฝิงกงกงยังคอยประคองท่านจาง ไทเฮาก็ทรงชื่นชม…ฝ่าบาททำการเช่นนี้ หากราชสำนักฝ่ายในและฝ่ายนอกร่วมกันอ้างแผ่นดินกันขึ้นมา นอกจากจางเฉิงกงกงแล้ว ยังมีผู้ใดอยู่ข้างพระองค์ สถานการณ์ย่อมคับขัน กระหม่อมอยู่ไกลร้อยลี้ ไม่อาจช่วยเหลือได้ทัน…กระหม่อมยังขอพูดเช่นเดิมว่า ฝ่าบาททรงรอได้ ท่านจางซื่อสัตย์เพื่อแผ่นดิน ส่วนตัวอย่างไรเป็นเรื่องเล็ก ไยฝ่าบาทต้องทรงใส่ใจ ขอทรงมองดูต่อไปก่อน รออีกสองสามปีค่อยว่ากัน…”

หวังทงเขียนสารเสร็จอย่างรวดเร็ว ตรวจทานแต่ต้นจนจบรอบหนึ่ง จากนั้นก็พับใส่ซองปิดผนึกด้วยครั่งบรรจุลงในกล่องเหล็ก ด้านบนใส่แม่กุญแจแน่นหนาอีกชั้น จึงได้เรียกให้จางซื่อเฉียงที่รออยู่ด้านนอกเข้ามา เอากล่องเหล็กใส่ถุงก่อนจะส่งให้จางซื่อเฉียงด้วยความระมัดระวัง กล่าวว่า

“เจ้าไปตามคนโรงบ้านสองคน ม้าคนละสามตัว รีบนำส่งไปเมืองหลวงโดยด่วน กล่องเหล็กนี้ต้องส่งให้ถึงมือโจวอี้ เจ้าเข้าใจใช่ไหม”

จางซื่อเฉียงเห็นหวังทงให้ความสำคัญเช่นนี้ ก็รับคำหนักแน่น รับห่อผ้ามาแล้วก็รีบออกไปทันที

หวังทงถอนหายใจยาว ในใจก็หนักอึ้ง เดิมคิดว่าจิตใจฮ่องเต้ต่างจากคนธรรมา คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่ยังกริ้วด้วยเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน ดีที่ฮ่องเต้ว่านลี่รู้จักเขียนมาถามความเห็นตน เห็นได้ชัดว่าตนนั้นมีน้ำหนักในพระทัยไม่น้อย ความเห็นของตนเองก็ย่อมทำให้พระองค์มีทางลง

มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งตอนนี้ทรงอำนาจสูงสุด หากฮ่องเต้ว่านลี่ทำการเช่นนั้นจริง แม้ว่าจะเป็นหนึ่งนายหนึ่งขุนนาง แต่ดีไม่ดีคนที่อาจเสียหน้าก็อาจเป็นฮ่องเต้ว่านลี่เองได้ กล่าวกันตรงๆ แล้ว การจะถูกปลดจากการครองแผ่นดินก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ อย่างไรหลานของฮ่องเต้หลงชิ่งก็ยังมีอ๋องลู่อีกองค์

หลายวันก่อนสารจากฮ่องเต้น้อยยังมีจดหมายจากจางเฉิงอีกหนึ่งฉบับ เล่าความเป็นมาอย่างละเอียด หวังทงย่อมรู้ความสำคัญประเด็นนี้ รีบเขียนจดหมายให้ม้าด่วนนำกลับไปทันที

จดหมายนี้ส่งออกไปแล้ว จากความเข้าใจในพระอุปนิสัยของฮ่องเต้ ก็คงจะไม่ทำการบุ่มบ่ามอะไรอีก ตามความเข้าใจจริงๆ ของหวังทงแล้ว เกรงว่าจดหมายยังไม่ทันถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ทรงเข้าใจได้ด้วยพระองค์เองแล้ว

******

แม้เป็นเช่นนี้ แต่พอสารส่งออกไปแล้ว หวังทงก็ยังรู้สึกผ่อนคลายลง เดินเข้าไปในเรือนตนเองกวักมือเรียก

“ต้าไห่ เตรียมม้า เราออกไปเดินเล่นนอกเมืองกัน”

ยามนี้ที่ทำงานของหวังทงก็คือจวนข้างหอกลอง สถานที่ทำการสำนักองครักษ์เสื้อแพรในตอนแรกนั้นไม่ค่อยได้ไปแล้ว ที่นั่นให้พวกหังต้าเฉียวดูแลไป นายกองร้อยและพลทหารหลายร้อยทุกวันก็ปฏิบัติหน้าที่กันไป เข้าออกสืบข่าวตามท้องถนนแล้วค่อยส่งข่าวมาที่นี่

ข่าวพวกนี้ประโยชน์น้อยมาก การที่ยังทิ้งคนไว้ทางนั้นก็เพื่อเลี้ยงดูไปตามระบบเท่านั้น อย่างไรก็ใช้เงินไม่กี่ตำลึง

แม้ราชสำนักจะมีคำสั่งมา แต่นายกองตรวจการฟานต๋าก็ไม่กล้าทำตามอย่างนั้น ค่าเสียหายสองส่วนไม่กล้าหักไว้ ทั้งข้าวสารและตั๋วเงินก็ไม่กล้าไม่จ่าย ได้แต่ทำตามอัตราส่วนที่หวังทงว่าไว้ดีที่สุด เช่นว่านอกจากหักสองส่วนแล้ว ก็ไม่กล้ามีค่าเสียหายอื่นหักอีก ข้าวสารและตั๋วเงินก็ข้าวแปดส่วนตั๋วสองส่วน

คิดเช่นนี้ก็เท่ากับปีหนึ่งคิดจากหนึ่งพันคนมอบให้หวังทงไปเจ็ดเดือน ฟานต๋าก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่การที่ส่งสารไปเมืองหลวง หาเรื่องจนได้ราชโองการมา แต่ก็ไม่อาจทำอะไรหวังทงได้ ก็แค่หักเบี้ยหวัดที่ไม่ระคายเคืองหวังทงแม้แต่น้อย

เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้จะไม่รู้ว่าเบื้องหลังหวังทงในเมืองหลวงจะเป็นผู้ใด แต่ก็รู้ว่าองค์เทพน้อยนี้ล่วงเกินไม่ได้

ซุนต้าไห่และหม่าซานเปียวเป็นพวกชอบเคลื่อนไหว หยุดนิ่งไม่เป็น พอได้ยินว่าหวังทงจะออกไป ก็รีบไปโรงบ้านจูงม้ามาทันที

หวังทงออกไปก็ย่อมพาหลี่หู่โถวไปด้วย เด็กน้อยนี้ตัวสูงขึ้นไม่น้อย หาม้าสักตัวที่ไม่ใหญ่นักให้ขี่ก็พอขี่ได้

หลี่หู่โถวพักอยู่ที่จวนกับหวังทง สถานะต่างจากคนอื่น ซุนต้าไห่ จางซื่อเฉียงทำงานเป็นลูกน้อง หม่าซานเปียวเป็นเหมือนลูกหลานคนงานในบ้าน หลี่หู่โถวถูกทุกคนยกให้เป็นคุณชายไป ดูแลรับใช้พร้อมสรรพ แต่หลี่หู่โถวกลับเอาแต่หน้าบึ้ง ไม่ชอบใจเรื่องนี้มาก

“พี่หวัง พวกลี่เทากับซุนซิงนำคนออกไปฝึกแล้ว ข้าก็มาจากลานฝึกเหมือนกัน เทียบฝีมือจู่โจมแล้ว พวกเขาสองคนยังไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ข้า ให้ข้าไปทางนั้นด้วยเถอะ!”

นี่คือสาเหตุที่หลี่หู่โถวไม่พอใจนัก ได้เห็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคนยังสู้เขาไม่ได้ แต่ได้ออกไปนำฝึกกองกำลัง ตนเองกลับต้องมาแกร่วอยู่ในจวนนี่ มันช่างน่าเบื่อเหลือเกิน

หวังทงเข้าไปขยี้ศีรษะหลี่หู่โถว พลางยิ้มกล่าวว่า

“รอให้เจ้าสูงกว่านี้อีกนิด ก็จะให้เจ้าไป ตอนนี้รูปร่างเจ้า เอาพวกนั้นไม่อยู่!”

ซุนต้าไห่กับหม่าซานเปียวหัวเราะดังขึ้นพร้อมกัน ใบหน้าหลี่หู่โถวบึ้งตึง หากไม่ดึงดันต่อ หู่โถวอายุยังน้อย รูปร่างไม่สูง ก็เพราะยังเป็นเด็ก ไปคนเดียวจะไปทำให้ชายฉกรรจ์พวกนั้นยอมสยบได้อย่างไร ยังไงก็ให้ติดตามข้างกายไว้ก่อนดีกว่า

แต่หลี่หู่โถวก็นิสัยเหมือนเด็กจริงๆ พอได้ขี่ม้าออกไปกับทุกคน ได้ชมตลาดที่คึกคัก ก็ลืมเรื่องไม่พอใจไปหมด หันไปสนใจเรื่องสนุกแทน

หวังทงกับซุนต้าไห่เร่งม้าขึ้นหน้าไปสองสามก้าว พอมีระยะห่าง ซุนต้าไห่ก็กระซิบว่า

“คนที่สังหารไปกับคนที่หลบหนีไปสองสามคนเมื่อวันก่อน ไปตามสืบจากหนังสือรับรองที่ให้มา ต่างไม่มีครอบครัว ดูแล้วล้วนเป็นเอกสารปลอม”

การจลาจลวันก่อน หลายคนมีเอกสารรับรองมา ดังนั้นพอเกิดเรื่องจึงไปตรวจสอบตามชื่อ องครักษ์เสื้อแพรที่ตามหวังทงมาจากเมืองหลวงก็นำคนไปตรวจสอบ วันนี้ซุนต้าไห่จึงได้รายงานผลการตรวจสอบ

หวังทงพยักหน้า เป็นดังคาด แต่กลับทำให้เขาคิดขึ้นมาได้ว่า

“พรุ่งนี้เจ้านำคนไปตรวจสอบคนให้การรับรองพลทหารใหม่ทั้งหมดสักรอบ บางทียังมีพวกคิดการไม่ซื่อแฝงกายอยู่ในค่ายอีก ลงมือตรวจสอบก็อาจตรวจพบ”

ซุนต้าไห่รีบรับคำ คุยกันต่ออีกสักพัก ซุนต้าไห่ก็ค่อยๆ ผ่อนความเร็วม้าถอยหลังไป หม่าซานเปียวกลับเร่งม้าขึ้นมา หวังทงแต่ไรมาก็เป็นกันเองกับเขา จึงถามออกไปตรงๆ ว่า

“เรื่องเจ้ากับหญิงตระกูลจางเป็นอย่างไรแล้ว!”

หม่าซานเปียวแก่กว่าหวังทงราวสิบปี แต่ต่อหน้าหวังทงก็เหมือนยิ่งสลับกันขึ้นเรื่อยๆ ที่ถามก็เป็นเรื่องในใจเขาในช่วงนี้ หน้าก็เลยแดงลามไปถึงคอ ปกติเป็นชายไร้ความละเอียดอ่อน กลับมาพูดอะไรไม่ออกเช่นนี้ไปได้ นานกว่าจะพูดออกมาได้ว่า

“แม่ข้ายอมแล้ว พรุ่งนี้ก็จะส่งแม่สื่อไปทาบทาม…”

นางหม่านับว่าปล่อยวางได้ ที่กังวลหนึ่งเดียวก็คือเกรงว่าตระกูลจางจะมีปัญหา พลอยทำให้เสื่อมเสียถึงหวังทง ดังนั้นพอรับปากลูกชายแล้ว ก็ฝากพวกถานเจียงไปสืบหาข่าวที่บ้านจางฉุนเต๋อ ดูแล้วก็เป็นชาวบ้านดีทั่วไป จึงได้ไปทาบทาม

ท้องถนนคึกคักมาก หวังทงขี่ม้าให้ช้าลง บังคับแส้ไปพลางมองไปด้านหน้ากล่าวว่า

“เดิมข้าก็วางใจในตระกูลจางอยู่แล้ว ตอนนี้จะมาเป็นพ่อตาเจ้า ข้าทางนี้จะส่งพนักงานบัญชีไปตรวจบัญชีอยู่แล้ว นี่เป็นงานที่ต้องดำเนินการ เจ้าอย่าได้คิดมาก”

เดิมเป็นการค้าที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน การจะให้คุณให้โทษก็เป็นไปตามปกติ แต่พอเกี่ยวดองกับหม่าซานเปียวแล้ว ก็จะมีสายสัมพันธ์ ย่อมต้องให้ความสำคัญ หากจางฉุนเต๋อยังไม่รู้จักสถานะของตระกูลตนเอง ไม่ซื่อสัตย์ขึ้นมา การจะลงโทษก็ย่อมยุ่งยาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จึงส่งพนักงานบัญชีไปตรวจบัญชีก่อน เพื่อป้องกันเหตุ เลี่ยงที่จะเกิดเรื่องให้ทุกคนเดือดร้อนกันจะดีกว่า

เขามาบอกกล่าวหม่าซานเปียวก่อนเช่นนี้นับว่าเป็นการให้เกียรตินางหม่าสองแม่ลูกมากแล้ว จะได้ไม่ใช่พอถึงตอนนั้นจะมาคิดว่าตนไม่ไว้ใจ เกิดเป็นการเข้าใจผิดกันไปอีก

แต่หม่าซานเปียวกลับไม่ได้คิดมากขนาดนั้น ยามนี้ได้แต่ฉีกยิ้มกว้างกล่าวว่า

“ใต้เท้าจัดการเช่นไรไยต้องปรึกษาข้าด้วย ข้ายังคิดว่าจะขายร้านนั้นซะ รับจางฉุนเต๋อมาอยู่ด้วยกัน ข้าเลี้ยงดูเองก็ได้ ยังต้องทำการค้าอะไร แต่แม่ข้าบอกว่า ร้านนี้ใต้เท้ายังใช้ประโยชน์ได้ จึงได้ให้ทำต่อ!”

หวังทงยิ้ม กล่าวอย่างสบายใจว่า

“เจ้าก็คิดได้ดี แต่เรื่องนี้เจ้ายังต้องลำบากอีกสักรอบ อีกสองสามวันไปเมืองหลวง หาพนักงานบัญชีร้านน้ำชาหรือหอสุรามาสักคน ให้หลี่ว์วั่นไฉช่วยเจ้าหามา”

กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็หันหน้าไปมองหาหลี่หู่โถว ตะโกนดังไปว่า

“หู่โถว คิดถึงบิดาเจ้าไหม อีกสองสามวันกลับไปเยี่ยมนะ!”

คิดไม่ถึงว่าพอกล่าวจบ หลี่หู่โถวก็ส่ายหน้าโบกมือ หน้าตาเหมือนจะร้องไห้กล่าวว่า

“ได้พบท่านพ่อก็ต้องถูกตำหนิอีก อยู่ด้วยกันก็หวาดกลัวยิ่ง พี่หวังให้ข้าอยู่ที่เทียนจินนี่เถอะนะ พรุ่งนี้ข้าจะฝีกให้มากอีกหน่อยดีไหม?”

ได้ยินดังนั้น ทุกคนก็พากันหัวเราะลั่น หลี่หู่โถวฝึกยุทธ์แข็งขัน ทุกวันติดตามข้างกายอวี๋ต้าโหยว ไม่เคยแอบขี้เกียจ แต่เล็กก็กลัวบิดาอย่างที่สุด ย่อมไม่อยากไปพบจริงๆ

หวังทงไม่ได้กล่าวต่อ ในใจคิดว่าเจ้าไม่คิดถึงบิดา หากหลี่เหวินหย่วนต้องคิดถึงเจ้ามากเป็นแน่ อีกสองวันต้องเตะส่งเจ้าไปให้พ่อลูกได้พบกันเป็นแน่

คูเมืองเทียนจินไม่ใหญ่เหมือนเมืองหลวง แต่ความคึกคักนั้นมากกว่าเมืองหลวงมากนัก ยามนี้คลองส่งน้ำเริ่มละลายแล้ว เรือทางการและชาวบ้านก็เริ่มขึ้นเหนือล่องใต้กันแล้ว สินค้าและผู้คนก็เริ่มเคลื่อนไหว

พวกหวังทงออกมาจากประตูตะวันตก ที่นี่ใกล้กับคลองส่งน้ำ รุ่งเรืองยิ่งกว่าในตัวเมือง หวังทงจึงได้รู้ว่าโรงเตี้ยมเงินไหลมาอันใหญ่โตเช่นนั้นแท้จริงแล้วเอาไว้รองรับผู้ใด พ่อค้าจากใต้ขึ้นมาทางเหนือ ใครบ้างไม่ต้องการที่พักดีๆ ท่าเรือริมคลองแต่ละแห่ง เรือเล็กเรือใหญ่ได้แต่เทียบท่า รถม้าแรงงานวิ่งกันไปมา ขนสินค้ากันขวักไขว่ ร้านค้าหลากหลายต่างวางแผงค้าขายกับบรรดาคนเหล่านี้

ความคึกคักรุ่งเรืองเช่นนี้ทำให้หวังทงรู้สึกดี

ทางไปค่ายใหม่ย่อมต้องผ่านเส้นทางนี้ มองมาหลายวันแล้ว หวังทงไม่รู้สึกเบื่อ เรือในแม่น้ำไปมาไม่น้อยก็ไม่แปลก แต่วันนี้มองแล้วไม่เหมือนเดิมอยู่บ้าง

ท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดทางนั้นมีเรือใหญ่จอดอยู่ลำหนึ่ง เรือผ่านเข้าใกล้แล้วก็จากไป ไม่รู้ด้วยเหตุใด จึงได้จอดขวางอยู่เช่นนั้น ทำเอาเรือเดินไปมาไม่สะดวก เส้นทางน้ำเริ่มติดเป็นแนวยาว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!