Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 273

ตอนที่ 273 คุยสัพเพเหระกำหนดเรื่องแผ่นดิน

ว่านลี่มิใช่เด็กอมมือ หรือบางทีตอนนั้นยังไม่ได้ตั้งตัว หลังจากพิพาทกันจบ วันรุ่งขึ้นสีพระพักตร์ก็ดำคล้ำยิ่ง

หากไม่มีผู้ใดถกเหตุผลในเรื่องป้ายสงบสุขอีก ไม่มีผู้ใดยื่นฎีกาฟ้องหวังทงอีกเช่นกัน สำนักตรวจสอบก็มิได้รับฎีการ้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับหวังทงอีก

วันนี้ที่ประชุมเงียบสงบอย่างมาก จางจวีเจิ้งเล่าเพียงเรื่องระหว่างการเดินทางไปมาว่าได้พบเห็นบรรดาสำนักศึกษาแต่ละมณฑลต่างมีความคิดเห็นกระจัดกระจาย มีคนรวมตัวกันสอนและวิจารณ์การปกครองของราชสำนัก ขุนนางท้องที่และยังมีถึงขึ้นเชื้อพระวงศ์ไปร่วมคบค้าสมาคมด้วย บางครั้งทางการยังต้องเอาอกเอาใจบรรดาครูและนักเรียนที่นี่ นี่ไม่เป็นผลดีต่อการปกครอง

ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่ทรงมีความคิดส่วนพระองค์ในเรื่องนี้ จางจวีเจิ้งจัดการอย่างไร พระองค์ก็ย่อมทรงทำตาม

ขณะฟังมหาอำมาตย์จางกล่าวด้วยความมั่นใจในหลักการเช่นนี้ บรรดาขุนนางต่างก็รู้สึกว่าแปลกอยู่เล็กน้อย ในใจคิดว่าสำนักศึกษารวมตัวกันส่งผลร้ายต่อการปกครอง สำนักนาวาสุคนธ์ที่เทียนจินนั่นรวมกลุ่มกันเป็นความสงบสุขของแผ่นดินงั้นหรือ มหาอำมาตย์อย่างไรก็มหาอำมาตย์ เมื่อว่าไม่กล่าวถึง วันนี้กลับกล่าวถึง ช่างเข้าใจเลือกโอกาสได้ประเหมาะจริง

กล่าวไปไม่กี่ประโยคง่ายๆ จากนั้นก็เลิกประชุมเร็ว เดิมจางจวีเจิ้งคิดจะเริ่มการสอนหลังจากเลิกประชุม แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับตรัสว่า ท่านอาจารย์เดินทางรอนแรมมาลำบาก การสอนรอเดือนเจ็ดค่อยเริ่มก็ได้

การโต้เถียงกันในที่ประชุมวานนี้ ขุนนางใหญ่เหมือนว่าจะยอมพลีชีพ และยังอัญเชิญองค์เทพอย่างไทเฮาออกมา บรรดาขุนนางล้วนไม่ได้สงบที่ประชุมยามนี้

หลังประชุมเสร็จก็พากันกลับจวนกันไป ไม่ร่วมวงสนทนาแลกเปลี่ยนกัน การเคลื่อนไหวใหญ่เช่นนี้ไม่อาจบอกให้สงบก็สงบได้ อย่างไรก็ย่อมมีคลื่นหลงเหลืออยู่ ตนเองอย่าเผลอกระโจนเข้าไปร่วมด้วยก็พอ

พอจางจวีเจิ้งเลิกประชุม เกี้ยวไม่ได้นำไปที่จวน หากกลับเลี้ยวไปทางเรือนหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางประตูตะวันออกของวังหลวง เรือนนี้เป็นเรือนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง เรียกว่า “เรือนวนาคู่เคียง”

เฝิงเป่ามีชื่อรองว่าซวงหลินที่แปลว่าป่าคู่ นี่คือเรือนส่วนตัวนอกวังของเขา ถนนด้านหน้าเงียบสงบเป็นอย่างมาก มีคนผ่านมา คนสองคนบนถนนก็เรียกมาสอบถาม

สำนักบูรพา สำนักองครักษ์เสื้อแพรและศาลซุ่นเทียน รวมไปถึงศาลอาญาใหญ่ ล้วนจัดกำลังคนมาเฝ้าที่นี่ แน่นอน มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งไม่จัดอยู่ในกลุ่มบุคคลที่จะถูกรั้งตัวไว้สอบถาม

หยุดลงหน้าประตู จางจวีเจิ้งลงจากเกี้ยวก้าวเข้าไป พ่อบ้านจวนเฝิงมาตอนรับที่หน้าประตูใหญ่อย่างนอบน้อม เฝิงเป่ากำลังเดินออกมาจากประตูชั้นสอง ประสานมือคารวะ หากนับตำแหน่งในกับนอกแล้ว ตำแหน่งเฝิงเป่าสูงกว่าจางจวีเจิ้งเล็กน้อย ไม่ออกไปต้อนรับที่หน้าประตู มารอต้อนรับที่นี่ก็นับว่าให้เกียรติไม่น้อย

คำนับกันและกันเสร็จก็เดินเข้าห้องหนังสือไป เฝิงเป่ายกมือเชื้อเชิญ แต่ไม่ได้เอ่ยอันใด เพียงแค่ยกถ้วยชาขึ้นมาเป่า รอให้จางจวีเจิ้งพูด

“พี่ซวงหลิน ฝ่าบาทเพิ่งทรงเจริญพระชันษะ มีเรื่องต้องห้ามที่ไม่ทรงทราบ ทางพี่ซวงหลินกับจางกงกงยังต้องคอยกราบทูลให้มากหน่อย ป้ายสงบสุขนี่มีผู้ใดมองไม่ออกกัน หรือว่าเปลี่ยนชื่อก็จะผ่านไปได้งั้นหรือ หากฝ่าบาทประสงค์ทำเช่นนี้จริง ใต้หล้าย่อมเกิดคลื่นลูกใหญ่ หรือว่าท่านและข้าซึ่งเป็นข้าในพระองค์จะได้รับประโยชน์อันใด?”

จางจวีเจิ้งกล่าวอย่างอ้อมค้อม นี่ก็เป็นเรื่องเคยชินกันแล้ว ความสัมพันธ์สองฝ่ายนั้นสนิทแน่นแฟ้นยิ่ง ดังนั้นท่าทีที่แสดงต่อกันจึงไม่ถ่อมตนเอาอกเอาใจกันมากนัก เฝิงเป่าส่ายหน้า ยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า

“เมื่อก่อนฝ่าบาททรงเป็นเด็กน้อยเชื่อฟัง เมื่อวานกลับแข็งกร้าวใส่ที่ประชุม ข้าเองก็ตกใจ”

กล่าวจบก็ดื่มชาไปอึกหนึ่ง กล่าวด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูกว่า

“ท่าทีแข็งกร้าวของฝ่าบาทนั้น ตอนนั้นเห็นแล้วก็น่าห่วง แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกดีใจ ฝ่าบาทอย่างไรก็เป็นถึงโอรสสวรรค์ อย่างไรก็เป็นถึงฮ่องเต้นะ!”

จางจวีเจิ้งได้ยินแล้วก็รู้สึกงุนงงสับสนเล็กน้อย ตามมาการถอนหายใจยาวกล่าวว่า

“ฝ่าบาททรงมีความคิดเป็นของพระองค์เอง ตัดสินกิจการงานได้ด้วยพระองค์เอง ข้าในฐานะที่เป็นพระอาจารย์ เป็นข้าราชบริพารไหนเลยจะไม่ดีใจ แต่เรื่องนี้แตะต้องไม่ได้ หรือหากไปแตะต้องเข้า ภาษีที่นาไปจนปฏิรูปภาษีที่นาของข้าเองก็คงดำเนินการต่อไม่ได้….”

“ใต้เท้าจางอย่าได้ใจร้อน ข้าจะหาเวลาไปทูลให้ก็แล้วกัน พวกท่านก็เกินไป อะไรๆ ก็เทียนจินๆ เมืองเล็กเท่ากับเมล็ดงาก็ปล่อยให้ขายป้ายสงบสุขไปเถิด ไยต้องโต้แย้งเอาเป็นเอาตายไม่ยอมถอยเช่นนี้ ทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วเช่นนั้น ข้าเองเห็นสีพระพักตร์ฝ่าบาทวันนี้แล้ว เกรงว่าน่าจะทรงนึกได้แล้ว ย่อมต้องทรงกริ้ว”

จางจวีเจิ้งส่ายหน้า กล่าวอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรว่า

“หากเมื่อวานหลี่ว์กวงหมิงไม่กราบทูลรุนแรงเช่นนั้น เกรงว่าคงไม่อาจหาทางลงได้ ปรากฏทำเอายิ่งเลวร้ายลง ตอนนี้ยังจะทำอย่างไรได้อีก เมืองหลวงกับเมืองเทียนจินดำเนินการเรื่องป้ายสงบสุขไปละกัน คิดซะว่ามองไม่เห็น เรื่องนี้วันหน้าทุกคนก็อย่าได้เอ่ยอะไรอีก แต่ก็ต้องคิดหาทางจัดระเบียบ จะขยายการดำเนินการออกไปนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด บรรดาขุนนางทั้งมวลถึงตอนนั้นย่อมต้องออกมาคัดค้านหัวชนฝา”

เฝิงเป่าพยักหน้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“ถึงตอนนั้น ข้าจะไปทูลไทเฮา ขอให้พระองค์ออกหน้าก็แล้วกัน”

รับคำไปแล้ว เฝิงเป่าก็อดไม่ได้กล่าวว่า

“เจ้าเด็กหวังทงที่เทียนจินนั่นก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เงินทองนี่ก็มิได้ขูดรีดมาเข้ากระเป๋าตน ไยต้องคอยหาเรื่องเขาด้วยเล่า ฝ่าบาททรงปกป้องเขา แต่ทุกฝ่ายกลับจ้องจะร้องเรียน มิใช่ว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ?”

กล่าวถึงตรงนี้ จางจวีเจิ้งก็ยืดตัวนั่งตรงขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเข้มขึ้นทันที กล่าวอย่างเป็นการเป็นงานว่า

“เฝิงกงกง เมื่อวานฝ่าบาททรงมีพระกระแสโต้เถียงในที่ประชุม แต่ใครบ้างไม่รู้ว่าพระองค์กำลังตรัสถึงยามที่ทรงอยู่ลานฝึกหู่เวย หวังทงหาเรื่องเด็กเล่นมากมายมาล่อลวงฝ่าบาท ยังมีเหตุผลผิดเพี้ยน ทำจนฝ่าบาททรงเมตตา เดิมคิดว่าขับไล่หวังทงออกนอกเมืองหลวงไปแล้วก็จะทรงห่างไกลคนชั่ว คิดไม่ถึงว่าจะยังทรงติดต่อกับเขาอยู่ เดิมเขาเป็นเพียงพลทหารตัวเล็กๆ กลับอาศัยวาสนาโดยบังเอิญค่อยๆ ก้าวสู่ตำแหน่งนี้ ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ หวังทงอายุก็ยังไม่มาก วันหน้าจะเป็นเช่นไร?”

เฝิงเป่าเงียบไม่กล่าวอันใด จางจวีเจิ้งกล่าวต่อด้วยเสียงดังกังวานว่า

“ขุนนางบุ๋นพวกนี้เอาแต่คิดหาทางสร้างฐานอำนาจ กลับไม่รู้จักใส่ใจทุกข์ประชา ไม่รู้จักรักและปกป้องประชา เอาแต่เอาพระทัยฝ่าบาท อายุน้อยหากไม่รู้จักสงบเสงี่ยม วันหน้าย่อมเกิดภัยใหญ่ เฝิงกงกง หอเลิศรสนี้ไม่เหมือนกับหอเสือดาวในสมัยฮ่องเต้เจิ้งเต๋อหรือ เจียงปิน เฉียนหนิง ตอนนั้นล่อลวงอย่างไร?”

ปีรัชสมัยเจิ้งเต๋อมีการสร้างหอเลี้ยงเสือดาวและสัตว์ป่านอกวัง ฮ่องเต้เจิ้งเต๋อกับบรรดาขุนนางบู๊มักไปที่นั่น ไม่สนใจงานบ้านงานเมือง ผู้คนต่างกล่าวว่าเป็นเรื่องเหลวไหลอันดับหนึ่ง เจียงปิน เฉียนหนิงกลับเป็นขุนนางบู๊คู่พระทัยที่ทำจนแผ่นดินไร้ความสงบสุข

ตัวอย่างนี้พูดไปพูดมาหลายรอบ ทำเอาคนฟังฟังจนเบื่อ เฝิงเป่าแม้ว่าพยักหน้า แต่สีหน้ากลับไม่คิดเช่นนั้น สีหน้าเช่นนี้ จางจวีเจิ้งย่อมมองออก เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวต่อว่า

“ฮ่องเต้ซื่อจง ผู้ที่ทรงไว้วางพระทัยที่สุดคือผู้ใด คือเจ้าคนแซ่ลู่จากอำเภอผิงหู ฮ่องเต้ซื่อจงทรงไว้วางพระทัยขันทีฝ่ายในมาตลอดสมัย ที่ทรงไว้วางพระทัยก็คือเขา หรือว่าเฝิงกงกงหวังให้หวังทงเป็นลู่ปิ่งคนที่สองหรือ?”

ลู่ปิ่งเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรในสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง อำนาจบารมีไร้เทียมทาน ฮ่องเต้เจียจิ้งไว้วางพระทัยมากกว่าผู้ใด ไม่ว่าขันทีฝ่ายในหรือขุนนางฝ่ายนอก ไม่ว่าสูงแค่ไหนก็ต้องลำดับอยู่ด้านหลังเขา

ได้ยินจางจวีเจิ้งเปรียบเทียบเช่นนี้ เฝิงเป่าก็อึ้งไป ค่อยๆ วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ กล่าวน้ำเสียงราบเรียบว่า

“เจ้าเด็กน้อยหวังทงผู้นี้คิดการเฉลียวฉลาด หากเป็นผู้ใกล้ชิดกับจางกงกง เขาอายุยังน้อย มีบางเรื่องบางทีอาจไม่เข้าใจ แต่กลับมีสารลับติดต่อกับฮ่องเต้…วันหน้าจับตาดูให้มากหน่อยก็พอ ป้องกันไม่ให้เขาทำอะไรไม่รู้จักหนักเบา ทำการผิดพลาด เป็นการทำร้ายตนเอง เสื่อมเสียถึงฝ่าบาท”

ได้ยินเฝิงเป่ากล่าวเช่นนี้ สีหน้าจางจวีเจิ้งก็ผ่อนลง เฝิงเป่าจับตาดูใกล้ชิด สำนักบูรพากับพลังซุบซิบในวังน่าจะเอนเอียงมา ขอเพียงพบความผิดพลาดอันใดขึ้นมา เรื่องนั้นก็จะได้จัดการได้ง่ายขึ้น

“จางเฉิงกงกงผู้นั้นใช่หรือไม่?”

“อย่าได้คิดมาก จางเฉิงเมื่อวานได้คุยกับข้า มีบางเรื่องของฝ่าบาทเขาเองก็ไม่รู้ด้วย หวังทงมีความสามารถจริง ฟาดฟันต่อสู้จนนำตนขึ้นเป็นที่โปรดปรานได้”

กล่าวถึงเรื่องง่ายๆ จบไปสองสามประโยค เฝิงเป่าก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“สำนักบูรพารายงานมาเรื่องหนึ่ง คิดว่าผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลิวโสวโหย่วคงได้รายงานท่านจางแล้ว เมื่อวานจางจื่อเหวย (ชื่อรองจางซื่อเหวย) พอกลับถึงจวนว่ากันว่าโมโหมาก เรื่องเช่นนี้ใต้เท้าจางรู้หรือไม่?”

จางจวีเจิ้งพยักหน้า ยกถ้วยชาขึ้นดื่มก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“ว่ากันว่าบรรดาภรรยาทะเลาะกัน แต่สายสืบในจวนบอกว่าคนของเขาปฏิบัติงานไม่ได้เรื่อง จื่อเหวยปฏิบัติงานที่กรมทหารได้ดี เรื่องส่วนตัวไม่ต้องไปสนใจ”

เฝิงเป่าพยักหน้ากล่าวต่อว่า

“เหล่าหลินแห่งสำนักอาชาหลวงเรียกน้องชายเข้าเมืองมา ว่ากันว่ามีคหบดีใหญ่สร้างวัดในจวนตัวเอง จึงได้ขอให้น้องชายเขาไปเป็นพระอาจารย์ประจำที่นั้น อย่างไรใต้เท้าจางก็ลองถามดู ดูแลหน่อยก็พอ”

จางจวีเจิ้งพยักหน้า เฝิงเป่ายิ้มกล่าวต่อว่า

“เหล่าหลินตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แม้ว่าช้าเร็วก็ต้องติดตามอ๋องลู่ออกไปอยู่นอกวัง แต่ตอนนี้ไทเฮาทรงบำเหน็จความชอบ ในวังก็ไม่เห็นแก่ส่วนตัว กำลังเป็นคนดัง แต่ไรมาเขาเองก็เคารพข้า ครั้งนี้ยังมาขอให้ข้าช่วยดูแล นับว่าให้เกียรติข้า”

พี่ชายอยู่สำนักอาชาหลวงในเมืองหลวงผู้ใดจะกล้าหาเรื่อง หลินซูลู่ทำเช่นนี้ ก็แค่ยอมอ่อนให้ก่อนเพื่อคานอำนาจ เฝิงเป่าไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสำนักอาชาหลวง ท่าทีประนีประนอมของหลินซูลู่ครั้งนี้ ทำให้เขารู้สึกยินดีอย่างมาก

นี่เป็นเรื่องเล็กที่พูดแล้วก็จบๆ ไปเท่านั้น จางจวีเจิ้งเอ่ยขึ้นต่อว่า

“ข้าเคยพบกับผู้บัญชาการทัพเมืองจี้โจวชีจี้กวงที่เทียนจินครั้งหนึ่ง กล่าวว่าทัพเมืองจี้โจวทรงประสิทธิภาพ ข่านมองโกลกับพี่น้องตอนนี้แตกสามัคคี แก่งแย่งกันภายใน เป็นโอกาสอันดี ทัพเมืองจี้โจวปลายฤดูใบไม้ร่วงปีนี้จะออกศึกอีกครั้ง บางทีอาจมีชัยชนะยิ่งใหญ่ เรื่องนี้สามวันก่อนควรจะส่งให้เฝิงกงกงแล้ว ไม่รู้ว่าในวังมีท่าทีเช่นไร?”

“ไทเฮาฉือเซิ่งตรัสว่าในเมื่อเจรจาสันติไว้แล้ว เช่นนั้นพวกเราก็อย่าได้เริ่มเปิดศึกก่อนเป็นการดี อย่างไรอดีตฮ่องเต้ก็ทรงลงพระนามสงบศึกไปแล้ว ตอนนี้ท้องพระคลังก็ดีขึ้นมาได้ไม่นาน ยังต้องใช้จ่ายเพื่อการรบให้น้อย”

จางจวีเจิ้งส่ายหน้า ไม่ได้ต่อคำถามนี้ต่อ แต่ลังเลครู่หนึ่งกล่าวว่า

“ฝ่าบาทจะทรงอภิเสกในเดือนเก้า ไม่ทราบว่าผู้ที่จะมาดำเนินการนี้กำหนดเป็นผู้ใดแล้วหรือยัง?”

“เมื่อวานข้าลองวางแผนกับฝ่ายใน โต้เถียงในระหว่างประชุมหลายครั้ง เซินสือหังแต่ไรมาก็สงบเสงี่ยม วางตัวถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เป็นตัวเลือกอันดับหนี่ง ใต้เท้าจางคิดเห็นเช่นไร?”

“หรูโม่ (ชื่อรองเซินสือหัง) อุปนิสัยซื่อตรง สามารถรับภาระใหญ่นี้ได้!”

จัดพระราชพิธีอภิเษก สำหรับข้าราชการแล้วเป็นภารกิจสำคัญที่ยากจะตกมาถึงมือ หลังจากเสร็จพระราชพิธี ส่วนใหญ่ก็จะได้เลื่อนตำแหน่งหรือไม่ก็เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยได้รับใช้ใกล้ชิด”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!