ตอนที่ 285 เราสบทบหนึ่งล้านตำลึง
เงินก้อนจินฮวาเพิ่มอีกสามแสน นี่เป็นจำนวนที่จางจวีเจิ้งและเฝิงเป่ากำหนดไว้ และยังรายงานต่อไทเฮาฉือเซิ่งได้รับความเห็นชอบแล้วด้วย
แต่เรื่องนี้จางจวีเจิ้งได้เสนอว่า หลังผ่านพิธีอภิเษกของฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยเสนอให้โปรดเกล้า เพราะยามนั้นค่าใช้จ่ายในวังคงลดลงไม่น้อย บางทียังต้องรัดเข็มขัดลงอีกก็เป็นได้
ไทเฮาฉือเซิ่งทรงประหยัด เฝิงเป่าก็มีช่องทางหาเงินอื่น จางจวีเจิ้งเสนอเช่นนี้ ทั้งสองก็ย่อมเห็นด้วยทุกประการ
คิดไม่ถึงว่าวันนี้ฮ่องเต้ว่านลี่กลับทรงเสนอเช่นนี้ในที่ประชุม แม้ว่าแผนการใหญ่บ้านเมืองกำหนดโดยจางจวีเจิ้ง แต่ในสถานการณ์นี้ โอรสสวรรค์ตรัสออกมาเช่นนี้ ก็ย่อมเป็นดังราชโองการ ทุกคนก็ย่อมต้องตอบสนองพระประสงค์จริงจัง
จางจวีเจิ้งขมวดคิ้วมองไปทางเฝิงเป่าอีกครั้ง กลับเห็นเฝิงเป่ามองไปทางฮ่องเต้น้อยด้วยความประหลาดใจ สายตาเขาปะทะเข้ากับจางเฉิงข้างๆ จางเฉิงก็ส่ายหน้ายิ้มเฝื่อน
ดูท่าแล้วเรื่องนี้เป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้น้อยพระองค์เดียว จางจวีเจิ้งขยับตัวให้ยืนตรงขึ้นอีกหน่อย ฮ่องเต้ไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาอีกแล้ว ทรงเจริญพระชันษาแล้ว นับวันยิ่งทรงมีพระวินิจฉัยด้วยพระองค์เองแล้ว บางทีควรจะปฏิบัติต่อพระองค์ด้วยความรอบคอบให้มากขึ้นอีก
ได้ยินพระดำรัสเช่นนี้ จางจวีเจิ้งยังคงรักษาความนิ่งไว้ได้ เสนาบดีกรมอากรหม่าจื้อเฉียงก้าวออกมาคุกเข่าลง ก่อนจะทูลขอร้องขึ้นว่า
“ฝ่าบาท ใต้หล้าเก็บภาษีมีกำหนดชัดเจน ในวังใช้จ่ายเงินก้อนจินฮวามากอีกหน่อย นอกวังก็ใช้น้อยลงหน่อย ตอนนี้กองคลังเก็บเข้ามาเต็มคลัง ก็เพียงแค่สะสมมาทดแทนที่เมื่อก่อนขาดไป ที่ต้องใช้จ่ายยังอีกมาก สามแสนตำลึงก็นับว่ากรมอากรกัดฟันเค้นออกมาแล้ว ขอฝ่าบาทโปรดทรงไตร่ตรองพะยะค่ะ!”
ทูลจบก็โขกศีรษะอย่างแรง บรรยากาศในราชสำนักเริ่มเปลี่ยนไป จางจวีเจิ้งไม่สนใจธรรมเนียมระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางอันใดอีก หันไปกวาดตามองทุกคน
สายตาทั้งสองของจางจวีเจิ้งราวกับเทพเทวาเบื้องบน คนที่ถูกสายตากวาดผ่านก็ล้วนพากันอกสั่นขวัญแขวน จางซื่อเหวยกับเซินสือหังคุกเข่าลงเกือบจะพร้อมกันทันที ทูลด้วยอาการสั่นเล็กน้อยว่า
“ฝ่าบาท จากประหยัดไปฟุ่มเฟือยนั้นง่าย จากฟุ่มเฟือยมาประหยัดนั้นยาก ตอนนี้บ้านเมืองกำลังพัฒนารุ่งเรือง ทุกแห่งล้วนต้องใช้เงินทอง ไม่อาจดำเนินการผิดพลาดบีบเค้นเงินทองจากราษฎรมาเพื่อใช้จ่ายในวังนะพะยะค่ะ!”
“เพิ่มเงินก้อนจินฮวา ราษฎรแดนใต้แดนเหนือทั่วแผ่นดินภาษีก็จะหนักขึ้น ใต้หล้าย่อมไม่เป็นสุข อาจมีภัยนอกฉวยโอกาสรุกราน ขอฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองด้วยพะยะค่ะ!”
สองคนกล่าวจบ หม่าจื้อเฉียง หลี่โย่วจือ รวมทั้งขุนนางผู้ที่ไม่อยู่ในคณะเสนาบดีใหญ่ ขุนนางทั้งหมดต่างพากันคุกเข่าลง วาจาก็ไม่จำต้องกล่าวกันมากนัก รู้สึกว่าการพูดมากย่อมต้องเสียเปรียบ จึงได้แต่คุกเข่าลงโขกศีรษะ
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงมีรอยแย้มสรวลไม่เปลี่ยน ตอนทุกคนคุกเข่าลงอาจมีบ้างที่กระตุกค้างไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงรอยแย้มพระสรวล
รอยแย้มสรวลเช่นนี้กระทบสายตาขุนนางทุกคน ต่างรู้สึกว่ายากจะคาดเดา จางจวีเจิ้งยกชายชุดขุนนางขึ้นลงคุกเข่าเบื้องหน้าพระพักตร์เช่นกัน ทูลด้วยน้ำเสียงเข้มจริงจังว่า
“ฝ่าบาท ใต้หล้าเป็นแผ่นดินฝ่าบาท ราษฎรใต้หล้าก็เป็นลูกหลานฝ่าบาท ที่ทรงใช้จ่ายนั้นก็เป็นขุนนางและราษฎรใต้หล้าทูลเกล้า หากผู้ใหญ่ในบ้านใช้จ่ายมากอีกส่วน ลูกหลานในบ้านก็ย่อมต้องใช้จ่ายน้อยลงอีกส่วน เพื่อปวงราษฎรแล้ว ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาราษฎรพระองค์ อย่าได้ฟุ่มเฟือยเงินทองเลยพะยะค่ะ”
“เรายังไม่ได้กล่าวว่าเพิ่มเงินเท่าไร เหตุใดขุนนางที่รักทุกท่านจึงได้ร้องขอเช่นนี้ ลุกขึ้นๆ เราหารือกัน คุกเข่าเช่นนี้คงไม่อาจกล่าววาจาอันใดกันได้อีก”
บรรดาขุนนางไม่ยอมลุกขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงปล่อยตามใจ ตรัสต่อด้วยรอยแย้มสรวลว่า
“ขุนนางหม่า เราถามเจ้า เงินก้อนจินฮวานี้เป็นก้อนเงินที่มาจากที่ใด?”
“ทูลฝ่าบาท เงินก้อนจินฮวาเป็นภาษีที่ได้จากแต่ละมณฑลแดนใต้พะยะค่ะ”
“ภาษีพวกนี้มาจากภาษีอะไร?”
“ส่วนใหญ่เป็นที่นาพะยะค่ะ”
คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ ขุนนางคนอื่นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตากัน คำถามนี้ตามหลักเป็นความรู้ทั่วไป แต่พอฮ่องเต้ว่านลี่ทรงถาม ทุกคนก็รู้สึกแปลกใจ
“ภาษีที่นา? ก็หมายความว่าหากเราจะเพิ่มเงินก้อนจินฮวา คงต้องลำบากราษฎรเหล่านี้กระมัง?”
“พระเมตตายิ่งใหญ่มิมีใดเทียมเท่าฝ่าบาท ฝ่าบาททรงใช้มากอีกส่วน ราษฎรก็ใช้น้อยลงอีกส่วน ขอฝ่าบาททรงเห็นแก่ราษฎร อย่าได้ทรงเพิ่มเงินก้อนจินฮวาเลยพะยะค่ะ”
“ตอนเราอยู่จวนอ๋องอวี้ยังเล็กนัก แต่ก็จำได้ว่าแขกที่มาที่จวนมักกล่าวถึงคหบดีแดนใต้ เงินทองไม่ได้มาจากที่นา หากมาจากการค้าขาย ในเมื่อราษฎรทำนายากลำบากไม่อาจเก็บเพิ่ม ไยไม่เก็บภาษีการค้าเล่า?”
พอได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถึงภาษีการค้า ทุกคนในที่ประชุมก็สีหน้าแปรเปลี่ยนทันที จางจวีเจิ้งแย้งขึ้นว่า
“ฝ่าบาท ภาษีแผ่นดินที่ถูกต้องควรมาจากที่นา ภาษีที่นาควรเป็นเสาหลักของแผ่นดิน ภาษีการค้าเป็นเส้นทางหาเงินเล็กน้อย หากเก็บมากจักทำให้แผ่นดินล่มสลายเป็นแน่ ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงคิดแตะต้องเรื่องนี้ ขอทรงไตร่ตรอง ทรงโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบพะยะค่ะ!!”
“ขอทรงไตร่ตรอง ทรงโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบพะยะค่ะ!!”
บรรดาขุนนางต่างพากันทูลขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็โขกศีรษะ ในห้องได้ยินแต่เสียงเคลื่อนไหวพร้อมกัน พระขนงฮ่องเต้ว่านลี่กระตุกขึ้นก่อนที่รอยแย้มสรวลจะจางลงไปเล็กน้อย ตรัสถามต่อว่า
“ท่านจาง นอกจากภาษีเกลือแล้ว ราชวงศ์หมิงปีหนึ่งมานี้เก็บภาษีการค้าได้เท่าไร?”
“ทูลฝ่าบาท ภาษีการค้าใต้หล้าทั้งหมดสองแสนเจ็ดหมื่นตำลึง เก็บได้จากด่านขนส่งทางเรือเป็นหลัก แต่ตามธรรมเนียมแต่เดิมนั้นใช้เพื่อซ่อมแซมเส้นทางเดินเรือและเพื่อการขนส่งทางเรือ ไม่อาจนำไปใช้เพื่อการอื่นพะยะค่ะ”
คำถามนี้เป็นเสนาบดีกรมอากาหม่าจื้อเฉียงชิงตอบก่อน อย่างไรก็เป็นความเชี่ยวชาญในหน้าที่ ขุนนางคนอื่นๆ ตั้งสมาธิกันเกินร้อย ไม่อาจรอให้ฮ่องเต้น้อยหาจุดบกพร่องใดได้เด็ดขาด
ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มพระสรวลพยักพระพักตร์รับรู้ ตรัสว่า
“เราต้องการใช้เงินก้อนจินฮวาปีละสองล้านสองแสนตำลึง เพิ่มอีกหนึ่งล้านสองแสนตำลึง ขุนนางทุกท่านเห็นเช่นไร?”
ผู้ใดก็มิคาดคิดว่าพระดำรัสจะตรัสออกมาตรงประเด็นเช่นนี้ จำนวนนี้ก็ช่างทำให้คนต้องพากันตกตะลึงพรึงเพริดอย่างยิ่ง หนึ่งล้านสองแสนตำลึง ภาษีที่เก็บได้ปีหนึ่งเพิ่งเท่าไรกัน
มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งขมวดคิ้วสีหน้าขึ้งเครียด โขกศีรษะกล่าวว่า
“ฝ่าบาท จำนวนนี้มากเกินกว่าที่ประมานการไว้ หากประกาศราชโองการต่อใต้หล้าจริง ขุนนางทั้งหลาดย่อมไม่รู้จะดำเนินการเช่นไร ชาวประชาก็ย่อมตกใจหวาดกลัว ยามสงบสุขเช่นนี้ก็ย่อมต้องสั่นคลอนสับสน แผ่นดินก็ย่อมเกิดเภทภัย ฝ่าบาท สภาพการณ์เช่นนี้ บรรพชนองค์ฮ่องเต้ในอดีตทรงอยากพบเห็นงั้นหรือ อดีตฮ่องเต้ทรงอยากพบเห็นงั้นหรือ ไทเฮาทรงอยากพบเห็นงั้นหรือ!!?”
เริ่มต้นก็เตือนด้วยน้ำเสียงขอความเห็นใจ แต่ท้ายๆ น้ำเสียงกลับเริ่มเอาเรื่องขึ้นเรื่อยๆ รอยแย้มสรวลบนพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ เลือนหายไป เฝิงเป่ามองซ้ายมองขวา จากนั้นก็กัดฟันก้าวออกมากระซิบข้างพระกรรณว่า
“ฝ่าบาท พวกกระหม่อมประหยัดกันหน่อย ค่าใช้จ่ายในวังยังพอจะเจียดออกมาได้อีกเล็กน้อย หากทรงยื้อกับใต้เท้าทุกท่านต่อไป ไทเฮาคงต้องทรงกริ้วเป็นแน่ ฝ่าบาททรงลืมเรื่องคุกเข่าที่ศาลบรรพชนแล้วหรือพะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่คุกเข่าที่ศาลบรรพชน ไทเฮาฉือเซิ่งทรงฉลองพระองค์ชุดใหญ่เซ่นไหว้บรรพชนขอปลดฮ่องเต้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงหวาดกลัวเป็นที่สุด
ตามการคาดคะเนของเฝิงเป่า พอทูลเช่นนี้ ฮ่องเต้น้อยก็ย่อมต้องถอย แต่ครั้งนี้กลับไม่เหมือนครั้งก่อน ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงแย้มสรวลตอบ ตรัสขึ้นเบาๆ ว่า
“เฝิงปั้นปั้นมิต้องกังวลไป เรารู้หนักเบาดี”
เฝิงเป่าอึ้งไป อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าคนตรงหน้าผู้นี้ไม่ใช่เด็กน้อยคนนั้นที่ตนเห็นมาแต่เล็กแต่น้อยอีกแล้ว ใบหน้ากลมที่คุ้นเคยเต็มไปด้วยความมั่นใจและรอยยิ้ม ฉายรัศมีอำนาจบางอย่างออกมา เจ้านายน้อยทรงเป็นฮ่องเต้อย่างแท้จริงแล้ว
ไม่รู้ว่ารู้สึกเสียใจหรือด้วยอารมณ์ใด เฝิงเป่าถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที ทูลขึ้นเบาๆ ว่า
“กระหม่อมบังอาจล่วงเกินแล้ว ขอฝ่าบาทโปรดอภัยโทษด้วยพะยะค่ะ”
ว่านลี่พยักหน้าพลางแย้มสรวล หันไปทางจางจวีเจิ้งที่ยังคงมีท่าทีเคร่งเครียดเหมือนเดิม ตรัสว่า
“ท่านจางกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นเราก็ยอมถอยก้าวหนึ่ง เพิ่มอีกหนึ่งล้านตำลึงเป็นอย่างไร?”
จางจวีเจิ้งสีหน้าเคร่งเครียดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธ ไม่เข้าใจว่าทุกเรื่องของฮ่องเต้น้อยที่ล้วนเคยอยู่ในการจัดการของตน เหตุใดอยู่ๆ จึงได้เป็นเช่นนี้ไปได้ หรือว่าในราชสำนักมีผู้ใดยุยง หากเป็นเช่นนี้จริง สำนักบูรพาของเฝิงเป่าและสำนักองครักษ์เสื้อแพรในการควบคุมของตนไยจึงไม่รู้ได้
“ฝ่าบาท หนึ่งล้านตำลึงก็มากไป ขอทรงโปรดไตร่ตรอง!!”
จางจวีเจิ้งไม่โขกศีรษะ หากเอาแต่ทูลเสียงดังก้อง น้ำเสียงเริ่มสูงขึ้น ม่านนอกประตูหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อเลิกขึ้นมุมหนึ่ง องครักษ์สองสามนายมองเข้ามา แล้วก็ปล่อยม่านลงดังเดิม
“เราเพิ่มหนึ่งล้านตำลึงนี้ หากไม่เพิ่มภาษีที่นา ไม่เพิ่มภาษีการค้า เป็นอย่างไร?”
บรรดาขุนนางที่โขกศีรษะกันอยู่ที่พื้นก็เงนหน้าขึ้นพร้อมกัน มองฮ่องเต้น้อยด้วยอาการตกตะลึง ฮ่องเต้ทรงดื่มมากไปหรือเปล่า จึงได้ตรัสวาจาบ้าคลั่งเช่นนี้ออกมาได้ แม้แต่จางจวีเจิ้งเองก็ยังมองอย่างตกตะลึงไปเช่นกัน หม่าจื้อเฉียงกลับมีปฏิกิริยาฉับไว รีบทูลทันทีว่า
“ฝ่าบาท ภาษีเกลือเป็นรากฐาน ไม่อาจทำเรื่องใหญ่เพื่อผลเล็กน้อยพะยะค่ะ…”
“ขุนนางหม่าไตร่ตรองได้รอบคอบยิ่ง เราก็ไม่คิดแตะต้องภาษีเกลือ”
“หากจะเพิ่มภาษี ก็ย่อมลำบากประชา…”
“เราไม่เพิ่มภาษี”
ทั้งหอประชุมเงียบลงทันที ไม่ว่าขุนนางใหญ่หรือมหาขันทีต่างจ้องมองไปยังที่ประทับมังกรของฮ่องเต้ว่านลี่ โอรสสวรรค์ 15 ชันษายังคงตรัสต่ออย่างไม่สะทกสะท้านว่า
“เราไม่เพิ่มภาษี ไม่เรียกเก็บจากขุนนาง ไม่รีดเค้นเอาจากงบแผ่นดิน ในเมื่อกำหนดว่าต้องใช้หนึ่งล้านตำลึง เช่นนั้นเราก็จะหาสบทบเอง ทว่าเรื่องของเราก็เป็นเรื่องใต้หล้า การกระทำของเราก็ต้องเป็นไปตามธรรมเนียม การนำมากล่าวในที่นี้ก็เพื่อบอกกล่าวให้ขุนนางทุกท่านได้รู้กันล่วงหน้า ทุกท่านลุกขึ้นได้!”
เงียบไปครู่หนึ่ง บรรดาขุนนางก็ทะยอยกันลุกขึ้น เสนาบดีกรมอากรหม่าจื้อเฉียงอายุมากแล้ว ยามนี้ก็สับสนไปหมด ทูลถามขึ้นว่า
“ฝ่าบาท ภาษีไม่เพิ่ม ไม่เรียกเก็บจากขุนนาง ไม่เรียกเอาจากงบแผ่นดิน ในวังจะไปหาเงินก้อนจินฮวาหนึ่งล้านตำลึงมาจากที่ใด?”
จางจวีเจิ้งทูลขึ้นทันทีว่า
“รายได้ทรัพย์สินส่วนพระองค์ก็เพื่อประโยชน์ราษฏร ไทเฮาต้องไม่ทรงยินยอมเป็นแน่”
“เราก็มิได้คิดแตะต้องส่วนนี้”
ยามนี้แม้แต่จางจวีเจิ้งก็รู้สึกงง กำลังคิดจะรุกถามต่อ ก็ได้ยินจางซื่อเหวยข้างๆ กระแอมไอขึ้นทีหนึ่ง เซินสือหังก็ใช้น้ำเสียงที่กดให้เบาที่สุดกระซิบว่า
“ใต้เท้า นี่ฝ่าบาท!”
จางจวีเจิ้งจึงได้สูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง รู้สึกว่าตนเองก็รุกเกินไป แต่อย่างไรก็ต้องกล่าวกันให้ชัดเจนไว้ดีกว่า วันหน้าจะได้ไม่ต้องมีเรื่องผิดพลาดใดเกิดขึ้น จึงได้ทูลว่า
“ในเมื่อฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ พวกกระหม่อมก็น้อมรับพระบัญชา แต่ว่าไม่เพิ่มภาษี ไม่เรียกเก็บจากขุนนาง ไม่เรียกเอาจากงบแผ่นดิน ไม่แตะต้องรายได้จากทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทุกอย่างนี้คณะเสนาบดีจะลงไว้ในราชโองการโปรดเกล้าทั้งหมด สำนักส่วนพระองค์จะลงชาดอนุมัติหรือไม่?”
“เราบอกไว้แล้ว เราย่อมอนุมัติ สำนักส่วนพระองค์จะไม่ลงชาดได้อย่างไร”
กล่าวกันถึงขั้นนี้ ไม่ว่าคิดเช่นไร ก็ย่อมต้องจบ จางจวีเจิ้งถอนหายใจ บรรดาขุนนางก็พากันถวายคำนับ
“เกล้ากระหม่อมน้อมรับพระบัญชา!”