Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 291

ตอนที่ 291 เส้นทางคับแคบ บุกขึ้นหน้าย่อมมีชัย

ขุนพลหลี่ต้าเหมิงแห่งเทียนจินนำกำลังสามพันนาย และทหารใต้สังกัดตนอีกหนึ่งร้อยนายขี่ม้ามาล้อมรอบสำนักอาวุธปืนไฟเอาไว้

ช่างฝีมือนับพันในสำนักอาวุธปืนไฟ ยังมีแรงงานอีกหลายพัน เตาหลอม โรงตีเหล็กและโกดัง กินพื้นที่บริเวณกว้าง หลี่ต้าเหมิงนำกำลังเหล่านี้มาถึงก็ย่อมไม่อาจโอบล้อมได้หมด กำลังของหม่าซานเปียวเองก็ไม่อาจล้อมเป็นชั้นป้องกันได้

ดังนั้นตอนนี้หม่าซานเปียวจึงได้เข้าควบคุมตัวหัวหน้าช่างโรงตีเหล็กของสำนักอาวุธปืนไฟเอาไว้ ตะโกนสั่งให้ช่างทั่วไปห้ามจากไปไหน สำนักอาวุธปืนไฟเดิมเป็นสถานที่สำคัญ มีการเตรียมการป้องกันการก่อความไม่สงบจากชาวบ้านและกองทัพไว้แล้ว ก็เหมือนกับกำแพงดินขนาดกลาง หม่าซานเปียวควบคุมตัวคนสำคัญไว้ ตอนถานจียงมาถึงยังนำกำลังป้องกันตามจุดสำคัญต่างๆ ไว้ครบทุกด้าน

กำลังของหลี่ต้าเหมิงมาถึง มาอย่างรีบร้อนก็ได้แต่เข้าทางประตูหน้า หม่าซานเปียวนำพลทหารม้าอุดประตูหน้าไว้ทั้งหมด สองฝ่ายจึงเผชิญหน้าตรึงกำลังกันทันที

ทหารราบสู้ทหารม้า นอกจากจะเก่งกาจผิดปกติแล้ว ทหารราบสิบนายย่อมไม่อาจจะต้านทานทหารม้าหนี่งนายได้ สามพันคนไม่ได้เป็นทหารชั้นแนวหน้า ย่อมไม่อาจรับมือกับทหารม้าสามร้อยนายได้ ประสาอันใดกับทหารม้าสองร้อยนายที่ได้รับการฝึกอย่างเข้มงวดเช่นกองนี้

แต่ขุนพลหลี่ที่เป็นทหารชำนาญการศึกเห็นแล้วก็รู้สึกว่าไม่ใช่พลม้าธรรมดา เขาเห็นวินัยและการประสานกำลังกันของทหารและม้าเหล่านี้ ปกติทหารม้าสู้กับทหารราบก็ต้องจู่โจมปีกซ้าย หลังหลี่ต้าเหมิงนำกำลังมาถึงประตูหน้าด้วยตนเอง ก็เปลี่ยนรูปขบวนตั้งรับหลายครั้ง ขณะที่อีกฝ่ายก็เปลี่ยนรูปขบวนกำลังอยู่เสมอเช่นกัน ยังเปลี่ยนทิศทางการยิงธนูของพลทหารม้าอีกด้วย เล็งมาที่ปีกซ้ายของตน

เหมือนว่าพอหม่าซานเปียวยกมือขึ้นออกคำสั่ง พลทหารม้าด้านหลังก็จะเปลี่ยนแปลงรูปขบวน ในนั้นแม้ว่ามีกระจัดกระจายอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังพร้อมเพรียงกัน

การผสานกลมกลืนกันของทหารกับม้านั้นไม่ใช่เรื่องไม่ง่าย กองกำลังทหารม้าด้านหลังหม่าซานเปียวเคลื่อนไหวได้พร้อมเพรียง แสดงให้เห็นว่าได้รับการฝึกมาอย่างดี

หลี่ต้าเหมิงสามารถรวบรวมทหารสามพันนายมาได้ในหนึ่งชั่วยาม และจากค่ายทหารบริเวณใกล้เคียงมาถึงที่นี่ได้ภายในครึ่งชั่วยาม ก็นับว่ามีความสามารถไม่น้อย

แต่เมื่อมาถึงที่นี่ ทหารยังขยับปรับเปลี่ยนรูปขบวนไปมาไม่ได้หยุดมาหนึ่งชั่วยามแล้ว ย่อมเหนื่อยล้าอยู่บ้าง พอเห็นการเคลื่อนกำลังรวมตัวเป็นหนึ่งอย่างเช่นพลทหารม้าองครักษ์เสื้อแพรนี้ก็เริ่มชะงัก

หลังจากฟาดแส้ใส่นายทหารผู้นั้นไป นายกองคนอื่นก็ไม่กล้ากล่าวอันใด พลม้าองครักษ์เสื้อแพรตั้งกำลังพร้อมจู่โจมแบบมุมแหลม มิได้หยุดกับที่เหมือนตอนแรกอีกแล้ว

หม่าซานเปียวสะบัดสายบังเหียน พลม้าพร้อมธนูก็ก้าวเคลื่อนตัวขึ้นหน้ามาอย่างช้าๆ ทุกคนในทัพของหลี่ต้าเหมิงก็เริ่มตัวเกร็ง รีบจับสายบังเหียนแน่น พลทหารราบก็ถอยหลังกันไปตามสัญชาตญาณทันที

ด้านหน้าถอย ด้านหลังก็มีคนตั้งท่าหนี กองกำลังด้านหลังหลี่ต้าเหมิงก็เริ่มอลหม่านกันขึ้นมาทันที หม่าซานเปียวดึงม้าถอยหลังไปถึงหน้าประตู หากยังจัดขบวนรูปแบบเมื่อสักครู่ต่อ หม่าซานเปียวหัวเราะร่าบนหลังม้า ถึงกับมีคนร่วงจากหลังม้า

“เคลื่อนไหวนอกคำสั่ง หนีทัพ ร้องโวยวาย ลงโทษทางวินัยทันที!! คุมรูปขบวนให้อยู่!!”

ความวุ่นวายด้านหลังทำให้คนของหลี่ต้าเหมิงเริ่มร้อนลน แม้ว่าหม่าซานเปียวจะถอยกลับไปแล้ว แต่ความวุ่นวายของทหารราบฝ่ายตรงข้ามก็ยังไม่อาจยับยั้งให้นิ่งเหมือนเดิมได้

ไม่รู้ทำเช่นไรจึงต้องส่งทหารใต้สังกัดตนให้กระจายตัวออกไปตัดหัวพลทหารหลายนายทันที จึงได้บังคับสถานการณ์ให้นิ่งลงได้

หลังจากเหตุการณ์นี้ ก็ไม่กล้าขึ้นหน้ากันอีก ขุนพลหลี่ต้าเหมิงสบดด่าขึ้นเบาๆ ว่า

“ทหารในมือข้าที่เข้ารบพุ่งชนได้มีแค่ไม่กี่ร้อย หากปะทะกันจริง จะมีกี่คนที่ขึ้นหน้ามาสู้ได้ สถานการณ์ที่นี่ยังไม่ชัดเจน คนหนึ่งบอกให้ลงมือ คนหนึ่งบอกให้สังหารทำไมกัน ตอนเรามารับอาวุธกับคนแซ่หลูนี่จ่ายน้อยลงกันหรือไง ก็แค่ไม่มี ไข่ให้เราฟักเป็นเงินทองอีกเท่านั้นเอง!!”

หลังจากสบถด่าออมายกใหญ่ ครั้งนี้ทุกคนต่างเงียบกริบ กำลังจะตะโกนเสียงดังขึ้น กองกำลังที่เพิ่งสงบลงก็อลหม่านกันขึ้นอีกครั้ง หลี่ต้าเหมิงหันกลับไปมองอย่างหัวเสียมาก ยังไม่ทันได้ด่าเปิงไป ก็เห็นนายกองพันของตนผู้หนึ่งควบมาตะบึงมา ส่งเสียงรายงานบนหลังม้าดังมาว่า

“ใต้เท้า นายกองพันหวังองครักษ์เสื้อแพรนำคนมาถึงแล้ว!”

“จำนวนเท่าไร!!”

“พลทหารม้า 20 ทหารราบ 400!!”

หลี่ต้าเหมิงแอบด่าในใจ ก่อนจะตะโกนออกไปว่า

“หยุดเขาไว้ก่อน!!”

*************

จากเส้นทางน้ำไปยังสำนักอาวุธปืนไฟก็ใช้เวลาเดินทางราวสองชั่วยาม หวังทงนำกำลังสองค่ายมาด้วยตนเองใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามกว่าก็มาถึง

องครักษ์เสื้อแพรสองค่ายนี้ได้เปรียบตรงที่หลังเข้าร่วมในค่ายองครักษ์เสื้อแพร ทุกวันฝึกฝนร่างกาย พอถืออาวุธมาที่นี่ ขบวนทัพก็แค่ไม่เป็นรูปเดิมเล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อเห็นขบวนทัพข้างหน้า หวังทงนำกำลังมาหยุดเบื้องหน้าแล้วก็หยุด หวังทงยกดาบขึ้น ทั้งขบวนก็หยุดพร้อมกัน หวังทงตะโกนถามไปว่า

“พักกำลังในรูปขบวนก่อน”

กำลังทางการเบื้องหน้าเริ่มกระจัดกระจาย พอเห็นกำลังของหวังทงมาถึง ไม่นานก็มีคนเข้ามาถาม ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นนายกองพัน ถามว่า

“เบื้องหน้าคือผู้ใด!”

“นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังทง จะไปทำคดีที่สำนักอาวุธปืนไฟ ทุกท่านโปรดหลีกทาง!!”

เขาตะเบ็งเสียงดังตอบกลับไป นายกองพันนั้นยังมีผู้ติดตามมาด้านหลังอีกคน กระซิบกันครู่หนึ่ง นายกองพันผู้นั้นพลันตะโกนดังมาว่า

“กองทัพเรากำลังปฏิบัติภารกิจ!! ขอใต้เท้าอย่าได้บุกเข้าไป!!”

หวังทงได้ยินคำตอบนี้ก็อดส่งรอยยิ้มเย็นเยียบกลับไปไม่ได้ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบยิ่งกว่าขึ้นว่า

“ข้ากำลังทำคดีลักลอบติดต่อโจรสลัด ขอท่านโปรดหลีกทาง!”

ชายบนม้าทั้งสองสบตากัน นายกองพันคนที่ตะโกนโต้ตอบก็ตะโกนเสียงดังขึ้นว่า

“ใต้เท้าหวัง คำสั่งกองทัพราวภูผา ขออภัยที่ไม่อาจปฏิบัติตาม!”

ใบหน้าของหวังทงเริ่มดำคล้ำลง ถามเสียงดังขึ้นอีกนิดว่า

“ขอให้เปิดทางไม่เปิดใช่ไหม!?”

อีกฝ่ายไม่ตอบ ได้แต่บังคับม้าหันหลังควบกลับไปรายงาน ขณะเดียวกันยังมีทหารราบพันนายเข้ามาตั้งทัพรบ หวังทงจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง ก็ด่าว่า

“พวกรนหาที่ตาย!”

กล่าวจบประโยค หวังทงก็หันไปถามหลี่หู่โถวข้างกายว่า

“หู่โถว เจ้ากลัวไหม?”

หลี่หู่โถวยามนี้รู้สึกตื่นเต้นจนต้องแทบกระโดดขึ้นยืนบนหลังม้า พอได้ยินคำถามหวังทงก็เสียงดังตอบรับทันที

“ติดตามพี่หวัง อันใดก็มิกลัว!!”

หวังทงยิ้มกว้าง โดดลงจากหลังม้า ตะโกนดังขึ้นว่า

“พลม้าทุกคนลงจากม้า ตามข้าบุก”

พอลงจากหลังม้า หวังทงก็ตบบั้นท้ายให้ม้าถอยห่างไป ยกดาบในมือขึ้นยืนอยู่ตรงนั้น หลี่หู่โถวและบรรดาพลม้าต่างก็ทยอยลงจากหลังม้า แต่ละคนล้วนยืนอยู่ระหว่างสองค่าย หวังทงยืนอยู่ระหว่างทหารสองค่ายที่ตั้งแถวสี่เหลี่ยม ตะโกนดังว่า

“เตรียมพร้อมเดินหน้า จัดขบวนเรียบร้อยแล้วยัง!?”

พอถามจบ หัวหน้าค่ายสี่และห้าต่างตะโกนตามมาว่า “ค่ายสี่พร้อม” “ค่ายห้าพร้อม” หวังทงยกดาบในมือขึ้นโบก ก้าวยาวขึ้นหน้า ด้านหน้ามีกำลังมากว่าพลทหารองครักษ์เสื้อแพรหลายเท่า

“หนึ่ง สอง หนึ่ง” “หนึ่ง สอง หนึ่ง” หัวหน้าตะโกนรหัสคำสั่งเดินทัพ วันนี้วิ่งมาตลอดทาง ทุกคนไม่ได้ดื่มน้ำแม้สักหยด ตอนนี้ริมฝีปากแห้งผาก ลำคอกระหายน้ำแทบลุกเป็นไฟ ปวดเมื่อยบั้นเอวนั้นไม่ต้องพูดถึง เบื้องหน้ายังมีคนมากกว่าตนหลายเท่า แต่ทุกคนก็ไม่ลังเลที่จะบุกขึ้นหน้า

การฝึกฝนทุกวันได้ทำให้ระเบียบวินัยและคำสั่งให้เคลื่อนที่ได้ฝังลงในเลือดเนื้อพวกเขาแล้ว จึงปฏิบัติตามด้วยสัญชาตญาณ อย่างไรพวกเขาก็เป็นหัวหน้า นายกองพันหวังที่อายุน้อยกว่าคนส่วนใหญ่ทั้งกองทัพบุกอยู่แถวหน้าสุด

“ใต้เท้าหวัง พวกข้าต้องปฏิบัติตามคำสั่ง อย่าได้บุกขึ้นมาเลย ประหัตประหารกันด้วยอาวุธขึ้นมา จะเป็นการทำลายความปรองดองลง เช่นนั้นย่อมไม่ดีแน่!!”

ทหารหลายคนที่เผชิญหน้ากับหวังทงไม่คาดว่าอีกฝ่ายพูดเพียงคำสองสามคำก็จะบุกทันทีอย่างนี้

ค่ายละสองร้อยนาย สองค่ายสี่ร้อยนาย “หนึ่ง สอง หนึ่ง” ตะโกนคำสั่งขึ้นพร้อมกัน ทัพค่อยๆ รวมเป็นหนึ่ง สี่ร้อยราวคนเดียวกัน ทุกย่างก้าวราวกับย่ำลงพื้นในเวลาเดียวกัน

“ตึง ตึง!!” เสียงดังไม่หยุด ราวกับว่ายักษ์ใหญ่ย่ำเท้าบีบมาด้านหน้า ก้าวขึ้นหน้ามาอย่างไม่กลัวเกรงสิ่งใด

ทหารของหลี่ต้าเหมิงประจำทัพเทียนจินเมื่อครู่ที่นิ่งลงก็เริ่มอลหม่านขึ้นอีกครั้ง นายทหารหลายนายเมื่อเผชิญหน้ากับหวังทงก็เริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายนั่งไม่ติด ได้แต่พยายามยึดกุมบังเหียนอย่างสุดชีวิต

ทหารที่อยู่ข้างหลังเขายิ่งกว่า ตนเองเป็นทหารทางการ องครักษ์เสื้อแพรเองก็เป็นทหารทางการ หรือว่าต้องปะทะกันให้ได้

ทหารที่ผ่านการฝึกอบรมมานั้นไวต่อสภาพการจัดขบวนทัพมาก เห็นพลทหารองครักษ์เสื้อแพรเดินขบวนขึ้นหน้ามาอย่างเป็นระเบียบเช่นนี้ ตนเองยังวุ่นวายอลหม่านกันเพียงนี้ ก็คิดว่าหากปะทะกันจริงตนเองจะถูกอีกฝ่ายบดขยี้ลงหรือไม่ อีกฝ่ายยังมีพลทหารม้าที่ดุร้ายอีกทัพหนึ่ง

หน้าหลังล้วนมีศัตรู ทุกคนต่างตื่นตระหนก หวังทงคือผู้ใด นายกองทหารทุกคนรู้ดี พลทหารไม่รู้ แต่ก็พอมองชุดนายกองพันบนตัวหวังทงออก

ทุกคนล้วนเป็นทหารราชวงศ์หมิง การลงมือกับองครักษ์เสื้อแพรนั้นหมายถึงสิ่งใด หากพลั้งมือสังหารไปย่อมมีโทษหนัก และพลทหารทุกคนก็ยังไม่ได้ยินคำสั่งนายทัพตน

ห่างออกไปไม่ถึงสองร้อยก้าว ก็มีเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ หวังทงก้าวขึ้นหน้ามาห่างจากอีกฝ่ายไม่ถึงยี่สิบก้าวแล้ว ดาบในมือหวังทงยกขึ้น พลทหารทุกคนก็เริ่มวิ่งเหยาะๆ กันขึ้นหน้ามา

พอเขาขยับ พลทหารทั้งสองค่ายก็เริ่มบุกขึ้นหน้า เสียงรอยเท้ายังคงพร้อมเพรียง เสียงดังถี่ทำให้คนฟังยิ่งลนลาน

การกระชับพื้นที่เช่นนี้สร้างความกดดันให้อีกฝ่ายมากขึ้น หากมีคำสั่งลงมือ สถานการณ์เบื้องหน้านี้ กองทัพที่ลนลานย่อมต้องถูกตีพ่าย พลทหารแถวหน้าย่อมไม่อยากเป็นกันชน จึงร้องตะโกนขึ้นก่อนชักม้าแหวกทางให้ หัวหน้ากองเป็นเช่นนี้ พลทหารด้านหลังที่กำลังตระหนกตกใจนั้นก็ย่อมไม่อยากยันเอาไว้

เสียงตะโกนลนลานก้องดังขึ้น ก่อนจะหลบลงสองข้างทาง ยันไว้ไม่ได้อีกแล้ว

“ใต้เท้า หวังทงนั่นนำคนบุกเข้ามาแล้ว พี่น้องเราเอาไม่อยู่!”

“มันกล้าใช้กำลังหรือ!? ทำไมพวกเจ้าเอาไม่อยู่??”

“… ใต้เท้า หวังทงนั่นบอกว่ามาทำคดีลักลอบติดต่อโจรสลัด ลูกน้องเขาทุกคนแข็งแกร่งเกินไป ทหารม้าจากจี้โจวเรา…”

“ลักลอบติดต่อโจรสลัด!?”

ได้ยินเช่นนี้ ขุนพลหลี่พลันสีหน้าแปรเปลี่ยน สีหน้าสลับไปมาครู่หนึ่งก็กัดฟันกรอด ออกคำสั่งฉับพลัน

“น้ำขุ่นนี้พวกเราไม่ขอร่วมด้วย ถอนกำลัง ถอนกำลัง!!”

คำสั่งถ่ายทอดลงไป บรรดาทหารก็ราวกับนกแตกรัง นอกจากทหารใต้สังกัดเขาแล้ว ทหารอื่นล้วนไม่อาจควบคุม พากันกระจายตัวออกสี่ทิศ ราวกับว่าถูกตีพ่ายบนสนามรบแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!