Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 294

ตอนที่ 294 รู้งานขอสวามิภักดิ์ กำไรมหาศาลเพียงนี้

ครอบครัวขนาดกลางสิบตำลึงสามารถใช้ได้ปีหนึ่ง ห้าร้อยตำลึงชาตินี้ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทองอีก หากคนเรานั้นไม่ชอบอยู่บ้านเฉยๆ อย่างไรก็ต้องหาการหางานอะไรทำบ้าง

เรือออกทะเลย่อมมีเงินสะสมในมือ หากปล่อยกลับไป คงสบายไปตลอดชีวิต หรืออาจใช้จ่ายมือเติบได้อีกหลายปี

เรือลำที่จมไป นอกจากพวกที่ถูกปืนใหญ่สังหารไปแล้ว ยังมีคนเหลืออีกราว 40 คน คนที่ถูกเลือกชื่อว่าทังซาน เป็นหัวหน้าคุมใบเรือ นับลำดับแล้วก็น่าจะเป็นลำดับที่สี่หรือห้าบนเรือ

ตอนเจ้าหน้าที่จับทังซานลงทะเบียน เขาบอกว่าตนเองอายุ 36 แต่ชีวิตบนทะเลช่างทำลายชีวิตคน ผิวดำคล้ำแลดูราวกับอายุ 40 กว่า

พวกเขาแตกต่างจากเรืออีกสองลำ เพราะท่าทีของพวกที่รอดชีวิตมาต่อองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินก็เหมือนกับปลาฉลามในท้องทะเล

เสียงปืนใหญ่ราวกับอสุนีบาตปล่อยลูกกระสุนบินข้ามมา เห็นเพื่อนตนถูกฉีกเป็นชิ้นต่อหน้า เลือดเนื้อปลิวกระจาย เป็นอานุภาพที่ราวกับแยกผืนฟ้าถล่มแผ่นดิน สามารถรอดมาได้ก็ล้วนเป็นเพราะฟ้าคุ้มครอง ไช่หนานมาเลือกคน คนพวกนี้แม้จะโกรธแค้น หากไม่กล้าเอ่ยอันใด

ทังซานก้มกายคำนับลุกขึ้นจากที่คุมขัง เขาชะเง้อมองไปบนท้องทะเลแวบหนึ่ง ในใจก็พอจะรู้ความแล้ว มองไปยังปืนใหญ่สิบกว่ากระบอกบนป้อมปืน ก็คิดถึงเงื่อนไขที่ไช่หนานเสนอมา จังหวะก้าวผ่อนลงเล็กน้อย ราวกับคิดอันใดอยู่

เดินไปได้สองก้าว ทังซานอยู่ๆ ก็ยืนนิ่งกล่าวว่า

“นายท่าน ข้าน้อยขอกล่าวเรื่องไม่ควรกล่าว ขอท่านอย่าได้ตำหนิ”

ไช่หนานย่อมไม่ถือสา พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ทังซานพุ่งตรงไปคุกเข่าเบื้องหน้าโขกศีรษะกล่าวว่า

“นายท่านเงินทองข้าน้อยไม่เอาแล้ว และก็ไม่อยากถูกปล่อยตัวกลับไป ขอเพียงได้พบใต้เท้าสักครั้ง”

500 ตำลึงไม่ว่าอย่างไรก็มิใช่น้อย ยอมทิ้งเงิน 500 ตำลึงที่ได้มาพร้อมกับอิสระง่ายๆ เพียงนี้ เพื่อแลกกับการพบหวังทง เช่นนี้ก็ยากจะปฏิเสธ

ตอนนำตัวไปพบ หวังทงกำลังอยู่ที่ป้อมปืนที่ใกล้กับปากทะเลที่สุด ที่นี่เป็นจุดคอคอดสำคัญ เมื่อวานนำปืนใหญ่ที่ผูกมากับรถใหญ่มาจอดที่นี่ และหลังจากเรือจอด ช่างกับแรงงานพร้อมวัสดุในการก่อสร้างก็ถูกลำเลียงมาเพื่อสร้างป้อมขนาดเล็กที่นี่ อย่างน้อยต้องวางปืนได้สี่กระบอก

ไช่หนานนำคนมาถึง เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ก่อนนำตัวทังซานเข้ามา ทังซานรูปร่างเตี้ยกว่าหวังทงเล็กน้อย แต่กำยำกว่ามาก พอเห็นหวังทง ไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใดก็คุกเข่าลงทันที โขกศีรษะไปสิบกว่าที

หวังทงหรี่ตามอง ถามขึ้นว่า

“เจ้าต้องการพบข้าด้วยเหตุใด?”

“นายท่าน ข้าน้อยไม่อยากได้ 500 ตำลึงและก็ไม่อยากกลับไป ขอทำงานกับใต้เท้า ข้าน้อยอายุ 14 ก็ขึ้นเรือมา รอนแรมมาก 22 ปี เชี่ยวชาญการเดินเรือทุกเรื่อง กระจ่างเรื่องเรือทุกส่วน เหนือใต้ไปมาทุกแห่ง เห็นใต้เท้าขาดคน ข้าน้อยแม้ว่าไร้สามารถ แต่คงสร้างประโยชน์ให้กับใต้เท้าได้บ้าง อยากติดตามรับใช้ใต้เท้า ขอพลีชีพเพื่อรับใช้ใต้เท้า”

กล่าวจบก็โขกศีรษะดังปังด้วยแรงกำลังไม่เบาอย่างไม่หยุด แม้แต่ไช่หนานเองยังรู้สึกเจ็บหน้าผากตนเองอยู่บ้าง หวังทงมองทังซานสองสามที อีกฝ่ายโขกจนศีรษะมีเลือดไหลซึม แต่เขาก็มิได้เรียกให้หยุด

หวังทงมองไปบนแม่น้ำ เสากระโดงเรือลำนั้นยังโผล่พ้นน้ำอยู่ คนกลุ่มหนึ่งกำลังจัดการลากขึ้นมิเช่นนั้นวันหน้าย่อมเป็นภัยต่อการเดินเรือ

เรือสามลำยกใบเรือขึ้นหลบหนี หนึ่งลำถูกยิงจม คนผู้นี้มาจากลำนั้น ไม่น่าบังเอิญขนาดนี้กระมัง ต้องการส่งคนมาอยู่ข้างกายตนคอยสืบข่าวงั้นหรือ

หวังทงรู้สึกว่าทังซานนี้ไม่เหมือนทั่วไป ในใจคนผู้นี้มีเพลิงปรารถนาที่จะปีนให้สูง ยังมีความสามารถในการไขว่คว้าโอกาส

ทางตนก็ขาดคนเชี่ยวชาญการทะเลจริง ยังไม่รู้จักเส้นทางเดินเรือแม้แต่น้อย ราชวงศ์หมิงปิดกั้นทางออกทะเลมาหลายปี เมืองเทียนจินยังเป็นเมืองท่าทางการทหาร คิดจะหาคนที่รู้เรื่องการเดินเรือสักคนก็แทบเป็นไม่ได้

มิฉะนั้นเมื่อวานตอนตรวจเรือทะเล จะต้องให้คนคุมตัวพวกเขาไปด้วยหรือ เมืองเทียนจินเป็นเมืองท่า แต่ไม่ว่าการค้าหรือการทหาร จุดที่ต้องการคนแบบนี้ไว้ใช้งานยังมีอีกมาก

มีความทะเยอทะยานไม่กลัว กลัวแต่ไร้ความสามารถ ทังซานบางทีอาจวิเคราะห์อะไรได้จากเมื่อวาน จึงตัดสินใจขอสวามิภักดิ์เช่นนี้ คนเช่นนี้ หวังทงชื่นชมยิ่งนัก

“ลุกขึ้น ปฏิบัติงานเสร็จก่อนค่อยว่ากัน ไช่หนาน หาชุดองครักษ์เสื้อแพรให้เขาเปลี่ยน”

หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทังซานหยุดโขกศีรษะทันที หน้าผากเขาเห็นเลือดซึม แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี หวังทงรับเขาไว้แล้ว

เหตุการณ์นี้จบลง ทำให้หวังทงรู้สึกอยากรู้ขึ้นมา จึงมอบเรื่องป้อมปืนให้คนอื่นจัดการต่อ ตนเองตามไช่หนานออกไปตรวจสอบ

นายเรือและเจ้าของเรือทะเลที่ขอจ่ายภาษีด้วยตนเองถูกเรียกตัวมา เรือพวกเขาค่อนข้างโชคดีที่กระสุนปืนยิงโดนข้างเรือเป็นรูเท่านั้น ยังไม่ต้องรีบนำเข้าเทียบท่า

ตอนหวังทงกับคนอีกสิบกว่าคนมาถึง ยังเห็นช่างกำลังปะเรือ ทุกคนถูกองครักษ์เสื้อแพรล้อมไว้ แต่ยังคงยิ้มกล่าวไม่หยุดว่า

“นายท่าน เมื่อวานล่วงเกินนายท่าน เป็นพวกข้าน้อยเองที่ไม่รู้ความ วันนี้อยากขอแก้ไขความผิด พวกข้าน้อยเองที่ไขมันหมูบดบังจิตใจ ใต้เท้ายุติธรรมเพียงนี้ ข้าน้อยยังคิดหนี พวกข้าน้อยปรึกษากันแล้ว แม้ว่าการค้าครั้งนี้จะไม่กำไรสักแดง ก็ต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมที่ใต้เท้ากำหนด”

หวังทงเดินขึ้นดาดฟ้ามาก็ได้ยิน จึงยิ้มหันไปสัพยอกว่า

“ไม่มีเรื่องอันใดไม่มอบของกำนัล ไม่ใช่ขุนนางทุจริตก็ต้องเป็นโจร หากข้ารู้สึกระแวงขึ้นมา จะรื้อเรือพวกเจ้าทิ้ง ดูว่าจะมีแมวซ่อนตัวอยู่หรือไม่!”

กล่าวจบ สีหน้าคนบนเรือก็เริ่มดำคล้ำ หวังทงหันหน้าไปมองทังซานที่ยืนอยู่หลังคนสองคนว่า

“นายท่านดูเรือลำนี้ ลำเรือจมใต้น้ำมาก”

หวังทงหรี่ตามองข้างเรือ เป็นดังว่า มีช่วงที่จมลงใต้ระดับน้ำมากจริง ทังซานกล่าวว่า

“ใต้เท้าไม่รู้ ทะเลเมืองเทียนจินสามารถจมลงในน้ำลึกได้เพียงนี้ก็มีแต่น้ำฝนพอเพียงหรือไม่ก็ในแม่น้ำไม่มีทราย”

บนดาดฟ้าเรือมีปืนใหญ่กระบอกเล็กอยู่สองกระบอก หวังทงรู้สึกประหลาดใจยิ่ง เข้าไปสำรวจดูใกล้ๆ พบกว่าที่ลำปืนมีแกะสลักตัวอักษรไว้ น่าจะเป็นภาษาตะวันตก จากประสบการณ์การหลอมปืนใหญ่มา ปืนเช่นนี้ใช้ลูกกระสุนหนักไม่ถึงหนึ่งชั่ง ยิงได้ไกลร้อยกว่าก้าวเท่านั้น ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อันใด

ทังซานผู้นั้นเห็นก็เข้าใจ รีบเข้ามาอธิบายว่า

“ใต้เท้า นี่เป็นปืนอินทรี หากภัยประชิดตัว ก็ต้องอาศัยปืนพวกนี้ยิงใส่เรือที่เทียบเข้ามา มีประโยชน์มาก”

หัวหน้าบนเรือสองสามคนตามขึ้นดาดฟ้ามา เห็นหวังทงสำรวจปืนใหญ่ด้วยความสนใจ ความระแวดระวังก็ผ่อนลงไม่น้อย เห็นชัดว่าไม่เคยขึ้นมาบนเรือ กลัวเขาทำไม ก็แค่พูดให้น้อยหน่อยเป็นพอ

พอลงไปห้องเก็บสินค้า ก็เห็นผ้าผสมไม่น้อยขาดกระจัดกระจาย ดูแล้วน่าจะโดนปืนยิงถล่มเมื่อวาน แต่ของอื่นๆ ยังดี ด้านบนยังปิดทับด้วยผ้าอาบน้ำมันรัดไว้ด้วยเชือกแน่นหนา

“ทั้งหมด 3,100 พับ ใต้เท้าตัดเชือกตรวจดูได้ พวกข้าน้อยขอกล่าววาจาล่วงเกินสักเล็กน้อย แม้ว่าจะขาดกระจัดกระจาย แต่ที่ขาดไปก็เป็นของข้าน้อย ภาษีกับค่าปรับก็คิดตามจำนวน 3,100 พับ ใต้เท้าเก็บภาษีน้อย เปิดโอกาสให้พวกข้าน้อยได้ร่ำรวย หากไม่รู้จักน้ำใจนี้ เช่นนี้พวกข้าน้อยย่อมไม่อาจพบปะผู้ใดได้อีก”

ที่กล่าวมานั้นล้วนเป็นวาจาเยินยอ แต่พูดจนหวังทงยิ่งรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ทังซานก้าวขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวกระซิบว่า

“นายท่าน ข้างใต้ยังมีของ”

โครงสร้างเรือที่ดัดแปลงออกทะเลเช่นนี้ แค่วันสองวันหวังทงรู้เพียงไม่มาก ส่วนใหญ่มีห้องสินค้าหนึ่งหรือสองชั้น ด้านล่างล้วนเป็นชั้นล่างสุด

โครงสร้างของช่องด้านล่างจะคล้ายกับกล่องเชื่อมต่อกันเป็นแบบกำแพงติดกันเพื่อรองรับคานเรือด้านบน แม้ว่าจะมีพื้นที่ด้านล่างแต่ก็สูงไม่เกินสามศอก และยังชื้นมาก เรือแล่นบนทะเลเป็นแรมเดือน สินค้าหากวางที่นี่ก็ย่อมเปียกชื้น

เนื่องจากคลื่นลมแรงกระแทกเรือ ดังนั้นเพื่อให้เรือนิ่งจึงต้องใส่ก้อนหินถ่วงน้ำหนักเอาไว้ที่นี่ เรียกว่าศิลาอับเฉา

นี่เป็นเรื่องที่เมื่อวานได้ยินมาหลังการออกสำรวจ หากพอได้ยินทังซานกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา หันไปสั่งการสองสามคำ ครั้งนี้เขาได้เห็นสีหน้าของคนที่พูดจาใจกว้างเมื่อครู่ทุกคนเริ่มแปรเปลี่ยน

พอเปิดออก ด้านล้างมืดมาก จุดไฟลงไปดูก็พบไหสุราปากกว้างสูงราวน่อง ด้านบนมีกระดาษอาบน้ำมันและปูนปิดไว้เรียบร้อย

“ใต้เท้า…”

คนพวกนั้นตะโกนขึ้นพร้อมกัน หวังทงยกมือขึ้นโบกเรียก พลทหารสองสามนายก็จับพวกเขาขึ้นไปดาดฟ้าเรือทันที

“นี่คืออะไร?”

หวังทงถามด้วยความประหลาดใจ หรือเป็นเงินทองของมีค่า ทังซานเห็นว่าตนคิดไม่ผิด ก็รู้สึกผ่อนคลายลง ใช้ภาษาทางการสำเนียงฮกเกี้ยนตอบไปว่า

“ใต้เท้าลองเดาดู ลงไปยกดูได้”

ในเมื่อเรือแอบซ่อนอันใดไม่ได้อีก หวังทงก็ผ่อนคลายลง ได้ยินเช่นนี้ก็กระโดดลงไปท้องเรือ ลงแรงอุ้มไหสุราขึ้น…

หวังทงฝึกฝนร่างกายทุกวัน แรงกำลังไม่น้อย แต่พอแตะโดนก็ขยับเพียงเล็กน้อย ไม่ได้เขยื้อนมากเท่าไร ดูแล้วท่าจะหนักมาก

“หรือในนี้เป็นเงินทอง?”

ในความคิดหวังทง น้ำหนักขนาดนี้ย่อมเป็นก้อนเงินก้อนทอง เห็นหวังทงสีหน้าสงสัยอย่างมาก ทังซานก็ยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้า ประเทศวัวเงินก้อนทองก้อนเยอะกว่าราชวงศ์หมิงเรา ขนไปก็ย่อมขาดทุน ไหสุรานี้นั้นคือปรอท”

ปรอท…หวังทงคิดถึงปรอทวัดไข้ทันที ของพวกนี้ขนไปถึงประเทศวัวจะมีประโยชน์อันใด ครานี้ทังซานไม่ได้คิดอ้อมค้อมต่อ ยิ้มกล่าวทันทีว่า

“ประเทศวัวมีเหมืองแร่ทองคำมากมาย ต้องการปรอทไปหลอม ดังนั้นจึงให้ราคาสูง ใต้เท้ารู้ไหมว่าปรอทหนึ่งชั่งได้กำไรเท่าไร ปรอท 50 ชั่งขนมาจากทางส่านซีก็แค่ 45 ตำลึง หากส่งไปประเทศวัวก็จะขายได้ถึง 700 ตำลึง บางทีอาจได้ถึง 850 ตำลึง ขนส่งปรอทกับยาหางวัวไปประเทศวัวก็จะทำกำไรมหาศาล ปรอทในเรือลำนี้ข้าน้อยเดาว่าไม่น่าน้อยกว่าสองพันชั่ง ใต้เท้าลองคิดดู…”

การแอบคำนวณในใจเป็นเรื่องถนัดของหวังทง ทำเอาเขาต้องสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง หากไม่นับผ้าผสมที่จะทำกำไรได้หลายเท่า แค่กำไรจากปรอทพวกนี้ก็สองหมื่นกว่าตำลึงแล้ว

กำไรมหาศาลเช่นนี้คิดจะจ่ายร้อยละยี่สิบ เพิ่มค่าปรับอีกแค่สองส่วน มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ที่ไหนกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!