Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 295

ตอนที่ 295 ราชาไตรธารา ลักลอบขนอาวุธ

“ปรอทใต้ท้องเรือข้าก็ได้เห็นแล้ว คิดบวกกับผ้าผสมพวกเจ้า ก็จ่ายมาหนึ่งหมื่นสองพันตำลึง จะปล่อยพวกเจ้าไป!”

ในเมื่อคิดกระจ่างแล้ว หวังทงก็ไม่สับสน เดินขึ้นดาดฟ้าเรือไปเปิดราคาทันที พวกหัวหน้าเรือสบตากันสีหน้าสลับฝืดเฝื่อนดำคล้ำ เงียบไปนาน

หวังทงเห็นสีหน้าพวกเขาแล้ว ราวกับว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จกลับต้องเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ อดไม่ได้สำทับไปว่า

“เข้าออกท่า พวกเจ้าได้กำไรสามหมื่นกว่า เก็บรวมกับค่าปรับเป็นหนึ่งหมื่นสองมันมากไปหรือ? หากเจอผู้อำมหิตกว่านี้ ต้องการพวกเจ้าสองหมื่น พวกเจ้าต้องให้หรือไม่?”

กล่าววาจาสัพยอก แต่คนฟังกลับไม่กล้าหัวเราะ หลายคนบนเรือฟังเข้าใจ หากไม่ให้หมื่นสอง เช่นนั้นก็จะเพิ่มเป็นสองหมื่นแล้ว

ทุกเรื่องสามารถเจรจากันได้ยกเว้นเพียงเรื่องเงินทองที่ไม่อาจเจรจาต่อรอง และหัวหน้านายเรือเหล่านี้ยังต้องโทษจำคุกมาด้วยความหวาดกลัวว่าตนจะต้องมาตายที่นี่ ผ่านการเจรจามากันถึงบัดนี้ ไม่อาจประมาทได้อีก

“นายท่าน พวกข้าน้อยทำงานให้ราชาไตรธารา หากขาดทุนเงินทองมากมายเช่นนี้ พวกข้าน้อยไม่รู้จะกลับไปรายงานอย่างไร…แม้แต่ท่านเอง เกรงว่าก็น่าจะต้องลำบากไปด้วย”

จากเมื่อวานที่หยุดเรือพวกนี้ไว้ได้มาถึงตอนนี้ยังไม่ถึง 24 ชั่วยาม ก็ได้ยินเรื่องมากมายที่เมื่อก่อนไม่เคยได้ยินมาก่อน รวมทั้งการค้าที่ได้กำไรมหาศาลระหว่างราชวงศ์หมิงกับประเทศวัว ยังมีที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนอย่างเช่น “ราชาไตรธารา” นี้ด้วย

เพราะไม่มีความรู้อันใดเกี่ยวกับทะเล หวังได้จึงหันไปมองทังซาน ทังซานหน้าดำยามนี้ซีดลงไปมาก เห็นหวังทงมองมาก็รีบกล่าวว่า

“ใต้เท้า ออกไปไกลจากตรงนี้ก่อน”

น้ำเสียงสั่น เขาเป็นคนหยาบจนไม่รู้จักพูดวาจาที่ดีกว่า เช่นว่า “ขอตัวสักครู่” แต่ก็มองออกว่าทังซานเองก็หวาดกลัวถึงขีดสุด

หวังทงขมวดคิ้วเดินอ้อมดาดฟ้าลงมายังห้องใต้เรือ เดินไปถึงที่พ้นสายตาผู้คน พอถึงที่นั่น ทังซานก็รีบคุกเข่าลงโขกศีรษะ คำนับติดต่อกันกล่าวว่า

“ข้าน้อยควรตาย ข้าน้อยควรตาย!”

“มีอะไรก็พูดมาตรงๆ แล้วค่อยตัดสินว่าเจ้าควรตายหรือไม่!”

หวังทงรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง ทำตัวแปลกประหลาด ทังซานตัวสั่นเทา ตอนนี้เพิ่งคิดได้ว่าผู้ใดกุมความเป็นความตายของเขาอยู่ในกำมือ กล่าวเสียงสั่นแหบพร่าว่า

“ปรอทมากมายเพียงนี้ ข้าน้อยควรคิดได้ว่าไม่น่าใช่การค้าของพ่อค้าเรือทะเลทั่วไปทำได้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการค้าของราชาไตรธารา เป็นข้าน้อยที่เลอะเลือนสมควรตาย นำภัยพิบัติมาสู่ใต้เท้าแล้ว!”

“ราชาไตรธาราคือผู้ใด?”

“นายท่านเคยได้ยินได้ฉายาเจ้านาวาห้าภูผาหรือไม่?”

“อย่าได้อ้อมค้อม พูดมาให้เข้าใจก็พอ!”

คนในยุคสมัยนี้พูดจากมักชอบกล่าวย้อนที่มาที่ไป ฟังแล้วน่าหงุดหงิด หวังทงเริ่มมีน้ำโหแล้ว ทังซานโขกศีรษะอีกก่อนจะกล่าวว่า

“เจ้านาวาห้าภูผาก็คือฉายาของมหาขันทีวังจื๋อ ราชาไตรธาราว่ากันว่าเป็นลูกหลานของวังจื๋อ ปัจจุบันเป็นนายใหญ่ที่ทรงอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุดบนท้องทะเล แต่เพราะเลี่ยงที่จะใช้แซ่วัง ทุกคนจึงเรียกเขาว่าราชาไตรธารา ว่ากันว่ามีเรือในปกครองนับพันลำ คนหลายหมื่นคนพร้อมพลีชีพเพื่อราชาไตรธารา เรือเดินทะเลต้องรับธงมาแขวนจึงจะแล่นผ่านไปได้ บุคคลระดับนั้นหากล่วงเกิน…”

ยังกล่าวไม่ทันจบ หวังทงก็หัวเราะลั่น กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า

“นึกว่าสามเศียรหกกรจากไหน ก็แค่คนใหญ่คนโตบนท้องทะเลเฉกเช่นปลาที่แหวกว่ายไปมา คนระดับแค่นั้นควรค่าให้ข้าสนใจหรือ?”

กล่าวจบก็เดินกลับขึ้นไป พอเห็นบรรดาคนที่เอ่ยอ้างชื่อ ‘ราชาไตรธารา’ ออกมาแล้วก็พากันมีสีหน้าผ่อนคลายและแววลำพองใจเล็กน้อย พอเห็นหวังทงเดินกลับมา ก็รีบทำปรับสีหน้าเคร่งขรึม หวังทงมาถึงก็ยิ้มกล่าวว่า

“ในเมื่อเป็นราชาไตรธารา เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจกล่าวอันใด หนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง จ่ายเงินแล้วก็ออกเรือได้ สินค้าส่งไปขายถึงประเทศวัวได้ย่อมได้กำไรมหาศาล ข้าไม่อาจเก็บภาษีแค่สองส่วนได้ ปรอท ผ้าผสม ยาหางวัว ไหมดิบเหล่านี้ ต้องกำหนดอัตราภาษีต่างกัน”

กล่าวจบ สีหน้าคนบนเรือเริ่มเปลี่ยนไป รอยยิ้มบนใบหน้าหวังทงเลือนหายไป กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า

“เจ้าคิดว่าพวกเจ้าเป็นใครกัน ข้าเป็นทหารในองค์ฮ่องเต้ นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรแห่งราชวงศ์หมิง พวกเจ้ามันตัวอะไร ยังกล้ามาต่อรองกับข้า ได้เงินจากพวกเจ้าก้อนนี้มาก็ถือว่าข้าหาได้ก้อนใหญ่ หากไม่ได้มาก็ไม่ได้เสียหายอันใด พวกเจ้าคิดดูเอาเองแล้วกัน!”

กล่าวจบก็หันหลังลงจากเรือไป พลทหารยังคุมตัวพวกเขาไว้บนดาดฟ้า กลุ่มคนหนึ่งเดินลงจากเรือไป ก็เห็นหัวหน้านายเรือผู้หนึ่งยิ้มร่าเดินเข้ามา พลทหารไม่ทันได้รั้งไว้ นายเรือก็คุกเช่าลงโขกศีรษะอย่างนอบน้อม พอเงยหน้าขึ้นก็ยิ้มกล่าวว่า

“นายท่าน พวกข้าน้อยมาส่งมอบภาษี กำลังจะกลับลงใต้แล้ว ก่อนปีใหม่น่าจะมากันได้อีกสองรอบ ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีสิ่งของแดนใต้ต้องใจอันใดหรือไม่ ข้าน้อยจะได้นำกลับมาแสดงความกตัญญูต่อใต้เท้า”

“เก็บเงินพวกเจ้ามาเพียงนี้ ยังขอบคุณข้าอีก!!”

หวังทงยิ้มกล่าวสัพยอก นายเรือผู้นั้นควักเอกสารออกมาจากอกเสื้อ ฉีกยิ้มอย่างดีใจกล่าวว่า

“บนนี้มีตราประทับใต้เท้า มีเอกสารจ่ายภาษีครบในมือ กลับไปทางใต้จะได้นำเรือมาให้มากหน่อย ซื้อสินค้ามาให้มากอีกหน่อย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมาก่อนคนอื่นให้ได้ เช่นนั้นก็จะรวยมากขึ้นอีกส่วน ล้วนเป็นโชคจากใต้เท้ามอบให้ จะว่าไป ใต้เท้าเก็บเงินข้าน้อยไปใช่ว่าไม่ได้กำไร ก็แค่กำไรมากกำไรน้อย วันหน้าย่อมมีกำไรใหญ่ ล้วนเป็นเมตตาของใต้เท้าโดยแท้!!”

นายเรือผู้นี้ดูแล้วเหมือนได้ร่ำเรียนตำรามาหลายปี วาจากล่าวได้สุภาพว่าการดำเนินการดีมีหลักการ แต่ทำไมพอบรรดาเจ้าของเรือที่หลบหนีได้ยิน กลับมีปฏิกิริยาแตกต่าง

ถ้าเรือถูกกักอยู่ที่นี่ เช่นนั้นสักแดงก็ไม่ได้ หากกักไว้นานวัน ผ่านฤดูกาลเดินเรือไป ก็ต้องรออีกนานกว่าจะได้ออกทะเล เวลาที่เสียไปไม่รู้ไปมาได้กี่รอบกัน ต้องสูญเสียกำไรไปอีกสักเท่าไรกัน

*********

“นอกจากเรือลำที่ถูกจมไปลำหนึ่ง ลำหนึ่งถูกกักไว้ ยังมีอีก 14 ลำ ได้ภาษีกับค่าปรับมาทั้งหมดสี่หมื่นสองพันตำลึง เก็บได้มาจริงสามหมื่นเจ็ดพันตำลึง”

สามวันแห่งความยากลำบากผ่านไป หวังทงกลับไปยังที่ทำการสำนักองครักษ์เสื้อแพรในเทียนจิน เงินเก็บมาได้อย่างรวดเร็ว เห็นสภาพคลังหลวงรัดเข็มขัดแน่นเช่นนี้ ประชาไม่เห็นขัดสนเงินทองจริงเสียหน่อย

เรือเดินทะเลพวกนั้นขนสินค้าใต้มาทางเหนือ ได้กำไรก้อนโต ซื้อสินค้าจากทางเหนือที่ราคาต่ำกลับไปอีก เงินทองในมือไม่น้อย หลังจ่ายภาษีและค่าปรับเสร็จสิ้นก็รีบมุ่งลงใต้ หวังเพียงว่าก่อนที่ข่าวนี้จะแพร่กระจายไป ขอให้ได้นำเรือมาสักหลายรอบหน่อย จะได้รวยใหญ่เสียที

ที่หายไปห้าพันตำลึงก็เพราะเรือลำที่ขนปรอทนั้นติดค้างเอาไว้ หาเงินทองมากมายมาจ่ายไม่ได้จริงๆ หวังทงก็คิดการฉับไว ขนผ้าผสมบนเรือทั้งหมดลงมาไว้เป็นหลักประกัน

“ผ้าผสมไม่ต้องรอให้พวกเขากลับมาไถ่ เอาไปขายในเมืองได้เลย บัญชีกับหลักฐานต้องจัดการให้เรียบร้อยโดยด่วน คัดลอกชุดหนึ่งส่งเข้าเมืองหลวง”

หวังทงนั่งสั่งการ ไช่หนานรีบจดเอาไว้ วางใบรับเงินทางนี้ลง ไช่หนานก็หันไปหยิบสมุดบัญชีอีกเล่มมารายงานว่า

“ยึดทรัพย์สินของคนแซ่หลูแห่งสำนักอาวุธปืนมาเกือบหมดแล้ว ทองคำหนึ่งหมื่นหนึ่งพันตำลึงทอง ล้วนเป็นทองแท้ประเทศวัว ยังมีแท่งเงินอีกเจ็ดพันกว่าตำลึง ที่เหลือนับรวมกันแล้วก็แปดหมื่นตำลึง”

พออ่านจบ ไช่หน้าก็พ่นลมหายใจออกมาดังพรืด วิจารณ์ว่า

“กล่าวกับใต้เท้าตรงๆ ข้าน้อยเคยกวาดล้างทรัพย์สินในวังนอกวังมาหลายครั้ง มีแต่ก้อนเงินมากก้อนทองน้อย แต่คนแซ่หลูนี่กลับสลับกัน พบเห็นได้น้อยมาก”

“ประเทศวัวนั้นมีทองมาก ไม่รู้ว่าคนแซ่หลูนั้นขายอาวุธไปเท่าไรแล้ว”

หวังทงสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวขึ้น เรื่องใดก็มิต้องกล่าวให้มากความ แค่ผลก็เพียงพอแล้ว ซุนต้าไห่ถือเอกสารวิ่งเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน รายงานว่า

“ใต้เท้า เรือที่สบคบคิดโจรสลัดลำนั้นยอมสารภาพแล้วขอรับ!!”

พวกที่อย่างไรก็ไม่ยอมเผยความลับนั้นมี แต่ย่อมมิใช่พวกที่ละโมบและยอมส่งอาวุธให้กับโจรสลัดเป็นแน่ องครักษ์เสื้อแพรยังไม่ทันได้ใช้เครื่องมือลงทัณฑ์ที่เรียกว่า “ประสบการณ์ใหม่” ที่นำมาจากเมืองหลวงก็ได้คำตอบแล้ว

ตอนนี้ประเทศวัวมีไดเมียว ตระกูลโอโตโมะทรงอิทธิพลที่สุดในเกาะคิวชู ตระกูลอื่นๆ ได้แต่ตั้งรับ เดิมอาวุธของแต่ละตระกูลยังสามารถหลอมขึ้นได้เองบ้าง ยังสามารถจัดหาซื้อจากพ่อค้าได้อีก ก็นับว่าเพียงพอ

แต่การกดขี่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ปิดเส้นทางทะเลเข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ พ่อค้าจากเกาะคิวชูย่อมปล่อยให้การค้าเล็กๆ นี้เกิดขึ้นจนต้องล่วงเกินไดเมียวยิ่งใหญ่อย่างเช่นตระกูลโอโตโมะนี้

ไดเมียวที่ประเทศวัวรบร่าฆ่าฟันกันไม่หยุด ไม่มีอาวุธก็เท่ากับหาเรื่องตายให้ตนเอง การค้าทางทะเลในราชวงศ์หมิงจึงได้ค้นพบเส้นทางทำมาหากินเช่นนี้

พวกโจรสลัดที่คิดอยากได้อาวุธชั้นดีก็ย่อมคิดหาหนทางลักลอบติดต่อกับหลูกงกง ต่อมาจึงได้คิดหาทางขนส่งสินค้า

ประเทศวัวมีทั้งทองคำและก้อนเงิน หากต้องการควบคุมสถานการณ์ก็ต้องยอมซื้ออาวุธจากราชวงศ์หมิงในราคาสูง

โจรสลัดราชวงศ์หมิงขนส่งสินค้าเถื่อนก็เป็นผลดีต่อพ่อค้าประเทศวัว มีเรือนับพัน หลายหมื่นคนเป็นโจรสลัด ไดเมียวประเทศวัวย่อมไม่เข้าข้องเกี่ยว

การค้านี้จึงได้กระทำติดต่อกันมาปีแล้วปีเล่า ในห้วงความทรงจำของหัวหน้าหลายคนในสำนักอาวุธปืน มีสองปีที่ขายได้กระบอกละสามพันตำลึง ส่งไปขายหลายกระบอก แม้ต้นทุนหลอมจะเพียงแค่ไม่กี่สิบตำลึง อาวุธเช่นนี้ในราชวงศ์หมิงนับว่าเล็กน้อยมาก หากส่งไปประเทศวัวได้จะเรียกกันสวยหรูว่า “กระบอกใหญ่”

สิ่งที่ทำให้คนร้องไห้ก็ไม่ได้ หัวเราะก็ไม่ออกก็คือ โจรสลัดราชวงศ์หมิงนอกจากขายอาวุธให้ประเทศโจรสลัดวัวโค่วแล้ว ยังขนอาวุธจากนั่นกลับมายังราชวงศ์หมิงอีกด้วย ดาบพวกวัวโค่วได้รับความนิยมมากในราชวงศ์หมิง มีบางส่วนซื้อจากทางนั้นมาขายบนแผ่นดินหมิง สามารถได้กำไรถึงสองเท่า พวกโจรสลัดทั่วไปซื้ออาวุธจากหลูกงกง ยังมีพวกโจรสลัดวัวโค่วมาซื้ออีก ย่อมได้ราคาดี ต่อมาพวกไดเมียวจึงได้มาติดต่อซื้อขายโดยตรง ราคาถูกลงหน่อย แต่ใช้ทองคำแท่งซื้อ

เดิมโจรสลัดรับทองก้อนมาจากประเทศวัว ที่จ่ายให้หลูกงกงกลับเป็นก้อนเงิน อัตราก้อนเงินก้อนทองระหว่างสองประเทศนั้นแตกต่างกันมาก นับว่าได้เงินก้อนมหาศาล

แน่นอนทุกอย่างมาถึงตอนนี้ก็ย่อมจบลง ของสะสมที่มีก็ถูกหวังทงยึดทรัพย์เข้าทางการ คนที่เกี่ยวข้องต่างมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต

“หลักฐานหากส่งไปเมืองหลวงได้ก็ส่งไป คำให้การรีบให้ม้าเร็วส่งไป ส่งทหารค่ายกองหนึ่งคุ้มกันคนส่งไปเมืองหลวง เผือกร้อนก้อนนี้ไม่อาจอยู่ในเมืองพวกเราได้นาน วันนี้ก็ออกเดินทางได้ ออกเดินทางวันนี้เลย!”

หวังทงไม่ลังเล ออกคำสั่งทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!