ตอนที่ 299 ครอบครัวฮ่องเต้ไร้พี่ไร้น้อง
พ่อแม่รักลูกคนเล็กนั้นเป็นเรื่องปกติ ในวังนอกวังก็เช่นเดียวกัน
ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ว่ากตัญญู หากทรงขาพิการแต่เด็ก อุปนิสัยก็ไม่นุ่มนวล อ๋องลู่กลับมีสุขภาพแข็งแรงและยังเชื่อฟังน่ารัก พี่น้องสองคน ไทเฮาฉือเซิ่งก็ย่อมทรงรักใคร่เอ็นดูอ๋องลู่มากกว่าเล็กน้อย
ธรรมเนียมราชวงศ์หมิง อ๋องน้อยที่เจริญได้ 8 ชันษาก็ไม่อาจพำนักในวังต่อไปได้ อย่างมากไม่เกิน 12 ชันษาก็ต้องออกไปพำนักนอกวัง แต่ในวังหลังผู้เป็นใหญ่ก็คือไทเฮาฉือเซิ่ง ในเมื่อทรงโปรดเช่นนี้ เป็นเรื่องในครอบครัวฮ่องเต้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจกล่าวอันใดได้
ในวังมีข่าวลือว่า รอให้ 12 ชันษาก็จะได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องเต็มตัว และก็จะได้ออกไปมีอาณาเขตดูแลเป็นของตนเอง ตอนนี้ไทเฮาฉือเซิ่งรั้งให้อยู่ที่เมืองหลวงต่ออีกสักสองสามปี
ขันทีนางกำนัลในวังต่างรู้ว่าหากไม่ระวังล่วงเกินฝ่าบาท เฝิงกงกงกับจางกงกงจะช่วยพูดแทนได้ แต่หากล่วงเกินเอาอ๋องลู่ ผู้ใดก็ไม่กล้าออกหน้า ไทเฮาจะทรงกริ้วมาก ฮ่องเต้เองยังกลัว
อ๋องลู่อยู่ในวังนอกจากที่พำนักของพระสนมฮ่องเต้ที่แต่งตั้งใหม่ไม่กี่คนแล้ว ที่อื่นๆ ล้วนเสด็จไปได้หมด มีหลายครั้งที่แม้แต่ขันทีสิบสองสำนักยังทูลฮ่องเต้ว่านลี่ว่า อ๋องลู่ทรงเกินไปแล้ว ควรให้ทรงระวังพระกิริยาบ้างถึงจะดี คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้กลับทรงกริ้วหนัก ตรัสว่าอนุชาแท้ๆ ของเรา ตามใจเขา
ในห้องทรงอักษรพื้นที่จำกัด และมิใช่ที่เก็บหนังสือล้ำค่า ส่วนใหญ่เป็นบันทึกภูเขาพื้นที่ทั่วไป หรือไม่ก็บันทึกประวัติฮ่องเต้สมัยก่อนๆ หรือไม่ก็หนังสือประวัติศาสตร์อะไรเหล่านี้
ตอนก่อตั้งราชวงศ์หมิงขึ้นในสมัยแรกเริ่ม มีคนกล่าวว่านักปราชญ์จูซีเป็นบรรพบุรุษของจูหยวนจาง แต่จูหยวนจางกลับบอกว่าตนเองเป็นชาวนา ไม่กล้าเกี่ยวโยงกับบุคคลระดับนั้น
แต่อย่างไรก็แซ่เดียวกัน และยังเป็นนักปราชญ์ใหญ่ ตำราจูซีจึงเป็นหนึ่งในตำราที่ลูกหลานฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงต้องอ่าน ดังนั้นในห้องทรงอักษรจึงมีตำราจูซีอยู่
หากอ่านหนังสือจริงจังย่อมอยากอ่านฉบับจริง ฉบับแรกสุดหาได้ยากยิ่ง เก็บความได้ใกล้เคียงต้นฉบับแรกเริ่ม พระอาจารย์อ๋องลู่เป็นบัณฑิตใหญ่ด้านนี้ มายืมตำรานี้อ่านก็เป็นเรื่องธรรมดา
ห้องทรงอักษรแม้ว่าเป็นสถานที่สำคัญ แต่หากอ๋องลู่จะเข้ามา ขันทีและองครักษ์ด้านนอกก็ไม่อาจรั้งไว้ได้ อ๋องลู่ค่อยๆ เสด็จเข้ามา
หากเจ้าจินเลี่ยงกลับออกมาคุกเข่าเบื้องหน้าอ๋องลู่ ทูลอย่างเคารพนอบน้อมว่า
“กระหม่อมบังคมท่านอ๋อง ท่านอ๋องลู่ เบื้องหน้านี้เป็นห้องทรงอักษรของฝ่าบาท เสด็จเข้าไปไม่ได้พะยะค่ะ”
อ๋องลู่มองขันทีน้อยที่ขวางหน้าอยู่ ก็อดไม่ได้นิ่งไปครู่หนึ่ง ตามมาด้วยอาการแย้มสรวลตรัสว่า
“ไม่เป็นไร ข้าเพียงแค่เข้าไปหยิบตำรา ครั้งก่อนเจ้าก็ได้พบเราเข้าไปยืมหนังสือแล้วไม่ใช่หรือ?”
ขณะพูดคุยก็เดินอ้อมไป เจ้าจินเลี่ยงรีบคลานไปดักหน้า โขกศีรษะทูลว่า
“ท่านอ๋องโปรดหยุดก่อน ฝ่าบาททรงรับสั่งไว้ว่า ไม่ได้รับพระอนุญาตไม่อาจให้ผู้ใดเข้าห้องทรงอักษรพะยะค่ะ”
รอยแย้มสรวลบนพระพักตร์เลือนหายไป สุรเสียงเริ่มเยียบเย็น ตรัสว่า
“เราเป็นพระอนุชาแท้ๆ ฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรย่อมไม่ห้ามเรา เจ้าบ่าวรับใช้กล้ามาขวางทาง ไม่ไว้ใจข้าหรือ ข้าจะต้องเข้าไปให้ได้”
เจ้าจินเลี่ยงรีบคลานเข้าไปขวางเบื้องหน้าอ๋องลู่พร้อมโขกศีรษะ ได้แต่ทูลว่า
“ขอทรงโปรดอภัย ขอทรงโปรดอภัยพะยะค่ะ ฝ่าบาทมีรับสั่ง หากกระหม่อมไม่ทำตามก็ขัดราชโองการ ขอทรงโปรดอภัยพะยะค่ะ!!”
เสียงเจ้าจินเลี่ยงเริ่มดัง พอไปขวางก็ถูกผลัก องครักษ์หลายนายเริ่มชะเง้อหน้าเข้ามามองดู อ๋องลู่หันหน้าไปหรี่ตามอง คนเหล่านั้นรีบหดหัวกลับไป สีหน้าอ๋องลู่พลันปรากฏรอยยิ้ม ย่อพระวรกายลงลูบหัวเจ้าจินเลี่ยง ยิ้มตรัสว่า
“คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เจ้าลำบากเพียงนี้ เช่นนั้นก็แล้วไป ข้ารอให้เสด็จพี่เลิกประชุมแล้วค่อยมาใหม่ก็ได้”
กล่าวจบก็แย้มพระสรวลหันหลังเสด็จจากไป ได้ยินเสียงขันทีและองครักษ์ด้านนอกน้อมส่ง เจ้าจินเลี่ยงก็เงยหน้าขึ้น หน้าผากโขกพื้นจนมีโลหิตไหลซึม
“เสด็จพี่ ตำราจูซีของฮ่องเต้ซ่งตวนจงเล่มนั้นในห้องทรงอักษรยืมข้าอ่านหน่อยได้หรือไม่ ช่วงนี้อาจารย์สอนเรื่องนี้อยู่!”
ตกบ่ายกลับจากประชุมขุนนาง ฮ่องเต้ว่านลี่พอเสด็จกลับมาห้องทรงอักษรได้ราวหนึ่งชั่วยาม อ๋องลู่ก็มายืมหนังสืออีก ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสว่า
“ทั้งวันเอาแต่อ่านหนังสือ ไม่กลัวอ่านจนสายตาเสียหรือไร จางปั้นปั้น ให้คนส่งไปตำหนักอ๋องลู่ด้วย”
จางเฉิงที่รับใช้อยู่ข้างๆ ก็รีบก้มกายรับรับสั่ง อ๋องลู่ยิ้มร่าเดินเข้าไปหน้าโต๊ะทรงอักษร เอ่ยว่า
“เสด็จพี่ ตอนเช้าน้องมา แต่ขันทีรับใช้ด้านนอกไม่ให้น้องเข้ามา ตอนนี้เลยตอนที่ท่านอาจารย์สอนเมื่อเช้าไปแล้วพะยะค่ะ”
เมื่อฮ่องเต้ว่านลี่ได้ยินก็ขมวดพระขนงมุ่น เงียบไปครู่หนึ่งก็ตวาดด้วยสุรเสียงกริ้วจัดว่า
“เจ้าจินเลี่ยง!! ไสหัวเข้ามาเดี๋ยวนี้!!”
เจ้าจินเลี่ยงที่เฝ้ารอถวายรับใช้อยู่ด้านนอกประตูก็รีบวิ่งเข้ามา ถวายคำนับที่หน้าประตูก่อนจะคุกเข่าลง ฮ่องเต้ว่านลี่ชี้หน้าด่าเสียงดังไปว่า
“อ๋องลู่เป็นอนุชาแท้ๆ ของเรา จะทำอะไรก็เหมือนเราทำ เจ้าทำบัดซบเช่นนี้ได้อย่างไร ใครอยู่ด้านนอก!!”
ขันที่ด้านนอกหลายคนรีบเข้ามา ฮ่องเต้ว่านลี่ชี้ไปที่เจ้าจินเลี่ยงรับสั่งดังว่า
“ลากออกไป ลากออกไปโบยให้ตาย!”
“เสด็จพี่อย่าได้ทรงกริ้ว เจ้าจินเลี่ยงทำตามรับสั่ง แค่เรื่องยืมหนังสือเล็กน้อย เสด็จพี่ไยต้องกริ้วถึงเพียงนี้ เขาอายุยังน้อยยังไม่รู้ธรรมเนียม อย่าได้ทรงเอาเรื่องเลยพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ว่านลี่โยนหนังสือลงบนโต๊ะ ก่อนจะสะบัดพระหัตถ์ขึ้นโบกด้วยความหงุดหงิด ตวาดดังว่า
“เห็นแล้วอารมณ์เสีย ไสหัวออกไป!!”
เจ้าจินเลี่ยงโขกศีรษะสองสามทีก่อนจะรีบถอยออกไป ตอนออกไปบาดแผลบนหน้าผากเริ่มปริออกอีกครั้ง เห็นแล้วก็รู้สึกน่าสงสารยิ่ง
พอดีสวนกับจางเฉิงเข้ามาพอดีได้เห็นสภาพเจ้าจินเลี่ยงที่กำลังถอยออกไป แต่ตอนเข้ามาในห้องก็ต้องทำสีหน้าเรียบเฉยทูลถามว่า
“ฝ่าบาท ตามคนมาย้ายหนังสือแล้ว ย้ายไปตำหนักอ๋องลู่เลยไหมพะยะค่ะ!”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักหน้า อ๋องลู่รีบถวายคำนับก่อนจะทูลว่า
“ไม่รบกวนเสด็จพี่แล้ว น้องทูลลา จะรีบไปอ่านหนังสือ พรุ่งนี้ท่านอาจารย์จะทดสอบแล้ว!”
“ถนอมสายตาด้วย แล้วคืนนี้ไปเสวยกระยาหารค่ำที่ตำหนักเสด็จแม่อย่าให้ค่ำไป อย่าให้เสด็จแม่ต้องรอ”
ฮ่องเต้ว่านลี่กำชับ เห็นอ๋องลู่ออกไป พอลับตาไปก็ปิดประตูห้อง จางเฉิงอดไม่ได้ทูลถามว่า
“ฝ่าบาท เกิดอันใดขึ้นกับเสี่ยวเลี่ยงจื่อ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่วางม้วนกระดาษในพระหัตถ์ลงบนโต๊ะ สีพระพักตร์กริ้วโกรธจางหายไป เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ตรัสว่า
“ให้เขาเข้ามาได้”
พอเจ้าจินเลี่ยงเข้ามา ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสถามด้วยสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“เมื่อเช้าอ๋องลู่เสด็จมาหรือ?”
เจ้าจินเลี่ยงรายงานติดๆ ขัดๆ เพราะได้รับบาดเจ็บบนหน้าผากถึงสองรอบ รู้สึกเจ็บแผล กล่าวได้ไม่กี่ประโยคก็กระทบบาดแผล แต่เขาไม่ร้องไห้
หลังจากฟังรายงานของเจ้าจินเลี่ยงจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็หันไปจ้องจางเฉิง จางเฉิงก้มหน้านิ่ง เรื่องพวกนี้แม้แต่เฝิงเป่าและจางจวีเจิ้งก็ไม่อาจกล่าวอันใด เรื่องในครอบครัวฮ่องเต้ เป็นเรื่องต้องห้ามอย่างที่สุด
“เจ้าจินเลี่ยง เจ้าไม่ได้ทำผิด เมื่อครู่ลำบากเจ้าแล้ว”
“…เป็นหน้าที่กระหม่อมพะยะค่ะ…”
“ออกไปได้ วันหน้าหากมีเรื่องเช่นนี้อีก ก็ทำเหมือนวันนี้”
หลังถวายบังคมขอบพระทัยเสร็จ เจ้าจินเลี่ยงก็ถอยออกไป ฮ่องเต้ว่านลี่หยิบม้วนกระดาษขึ้นมาอีกครั้ง อ่านไปได้พักหนึ่งก็โยนลงบนโต๊ะ สุรเสียงเยียบเย็น
“ตอนเช้ามาแล้ว หากตอนบ่ายไม่มาจะดูไม่เหมือนที่อ้างหรือไง ตอนบ่ายมาอีกเพื่อให้เรื่องนี้จบสมบูรณ์งั้นสินะ ยังไงก็เป็นคนของเราที่ทำไม่ถูกต้องสินะ!”
จางเฉิงก้มหน้าต่ำยิ่งกว่าเดิม ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสต่อว่า
“จางปั้นปั้น ของสำคัญท่านต้องเก็บให้ดี อย่าให้ผู้ใดเห็นได้”
“ฝ่าบาท อ๋องลู่บางทีอาจทรงมายืมหนังสือเท่านั้น ไยต้องทรงกริ้วด้วยพะยะค่ะ”
วาจาเช่นอาจไม่ตรงกับใจ แต่อย่างไรก็ต้องกล่าวออกมา ฮ่องเต้ว่านลี่แค่นยิ้มตรัสว่า
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรก บางทีอาจจะยืมหนังสือ บางทีอาจจะทำอย่างอื่น หลังจากเสด็จแม่รั้งให้อยู่ต่อในวัง ตอนนี้ยังไม่ให้แต่งตั้งเป็นอ๋องเต็มตัว หากเป็นเรา เราคงอยากโบยบินไปแล้ว!”
จางเฉิงไม่กล้าที่จะตอบรับคำ ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนพระปัสสาสะ ตบโต๊ะเบาๆ ก่อนจะตรัสด้วยอารมณ์ว่า
“ในวังนอกวัง คนที่จริงใจกับเราก็มีแต่จางปั้นปั้นกับหวังทง พวกท่านสองคนล้วนจงรักภักดี ที่เหลือเชื่อใจผู้ใดไม่ได้เลย น่าตลกหรือไม่”
แต่ละประโยคล้วนเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก จางเฉิงไม่กล้าที่จะตอบรับคำอันใด ว่านลี่กล่าวมาหลายประโยคก็เริ่มยากจะระงับอารมณ์ สุดท้ายก็แย้มสรวลตรัสว่า
“จางปั้นปั้น เจ้าจินเลี่ยงตอนนี้ตำแหน่งอะไร?”
“ทูลฝ่าบาท เจ้าจินเลี่ยงปีนี้ 10 ขวบ ยังศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาฝ่ายใน ขันทีรับใช้ในห้องทรงอักษรตามธรรมเนียมแล้วไม่มีระดับชั้นพะยะค่ะ”
“อายุยังน้อย หากรู้จักวางตัวดี หาตำแหน่งว่างฝ่ายในให้สักตำแหน่ง คนที่ไม่ติดตามเรามักจะมีชีวิตที่ดีกว่าติดตามเรา”
“ฝ่าบาท สำนักดูแลพระราชฐานมีตำแหน่งว่าง ตำแหน่งนี้รับหน้าที่ปัดกวาดดูและตำหนักต่างๆ เจ้าจินเลี่ยงเหมาะสมอยู่ แต่ตำแหน่งนี้ระดับเจ็ด หากให้ไป เกรงว่าผู้อื่น….”
“ให้ตำแหน่งระดับเจ็ดหรือแปดไปก่อน จากนั้นหาคนมาทำหน้าที่แทน อายุให้ครบกำหนดค่อยรับตำแหน่งจริง อายุยังน้อยประสบการณ์ไม่พอแล้วยังไง หรือต้องเลือกพวกอายุมาก ประสบการณ์มาก แต่ไม่ยอมฟังคำสั่งเรางั้นหรือ?”
การมาห้องทรงอักษรของอ๋องลู่ระยะนี้ ทำให้ว่านลี่รู้สึกไม่สบายพระทัย พระทัยว้าวุ่นอย่างมาก จางเฉิงอยากจะเตือนแต่ก็ยากจะเอ่ย
********
“หลินปั้นปั้น วันนี้ไปห้องทรงอักษรเกิดเรื่องเช่นนี้ ทำให้เสด็จพี่ฮ่องเต้ไม่ทรงกริ้วหรือไม่ ทำให้พระองค์ทรงระแวงหรือไม่?”
“ท่านอ๋องมิต้องกังวล เจ้าจินเลี่ยงอายุน้อยน่าจะหวาดกลัวเกิดเรื่อง คิดไม่ถึงว่าจะแข็งขืนเช่นนี้ได้ แต่ก็ไม่มีเรื่องใหญ่อันใด ได้เห็นจดหมายนั้นดีที่สุด ไม่ได้เห็นก็แล้วไป”
หลินซูลู่แม้เป็นถึงมหาขันทีแห่งสำนักอาชาหลวง ก็ยังปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิม นั่นก็คือติดตามอ๋องลู่
เมื่อคืนหลังอ๋องลู่เสวยพระกระยาหารค่ำเสร็จ ก็อยู่เป็นเพื่อนคุยกับไทเฮาทั้งสอง พอกลับมาถึงตำหนัก ก็มีแต่หลินซูลู่คอยรับใช้ คนอื่นไม่ให้เข้าใกล้
“อา ทำเสด็จพี่ฮ่องเต้ทรงกริ้ว วันหน้าไม่รู้ว่าจะได้อยู่ที่นี่อีกนานเท่าไร เกรงว่าคงได้ไปเหอหนานเร็วๆ นี้แล้ว…”
“ท่านอ๋องมิต้องกังวลไป ได้อยู่ต่อหรือไม่ ไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่เป็นไทเฮา”