ตอนที่ 300 คับแค้นใจ เปิดเมืองท่าการค้า
คืนวันไหว้พระจันทร์กินขนมไหว้พระจันทร์ งานเลี้ยงรื่นเริง อากาศเริ่มเย็นลง ทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างที่ควรเป็น
เรื่องของเสนาบดีกรมโยธาไม่มีอะไรสำคัญ เมืองหลวงไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องนี้ นอกจากเจ้าหน้าที่กรมโยธาที่ดำรงตำแหน่งระดับสูงที่ต่างกำลังครุ่นคิดกันว่าโอกาสนี้จะนำประโยชน์ใดมาสู่ตนได้บ้าง อย่างน้อยก็ระวังไม่ให้เสียประโยชน์
นายกองแต่ละกองย่อมคิดว่าช่องทาง แต่พวกเขาก็ย่อมไม่กล้าหวังจะได้เลื่อนตำแหน่ง อย่าได้ถูกส่งไปที่สำนักอาวุธปืนที่เทียนจินนั่นก็พอ
เงินทองผ่านมือจากงานต่างๆ ในกรมโยธาก็ก้อนโตแล้ว แค่กวักมือเบาๆ ก็มีกินมีใช้ไม่หมด ไยต้องไปลำบากถึงเทียนจิน แม้นไม่ได้มีเรื่องโจรสลัดนี้เกิดขึ้น ทุกคนก็ไม่อยากไปอยู่ที่นั่น เพราะที่นั่นเป็นพื้นที่ของสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ เงินทองก็ไม่ได้มากเท่าไร ยังต้องคอยรองรับอารมณ์อีก
ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ทุกคนย่อมไม่อยากไปมากกว่าเดิม หวังทงก็ช่างน่ารำคาญ ไปแล้วยังล่วงเกินผู้อื่นอีก ว่ากันว่าเจ้านายท่านนี้ไม่ยอมให้เรียกเงินเรียกทอง ทุกคนใช่ว่าแม้แต่น้ำแกงก็ไม่ได้ดื่มหรอกหรือ
ในเมื่อทุกคนไม่อยากไป แต่อย่างไรก็ต้องมีคนไป นายกองเริ่นก็เป็นคนเดียวที่เป็นตัวเลือก “โดยความเห็นชอบทุกคน”
นายกองเริ่นในกรมโยธานั้นต่างจากผู้อื่น เขาชอบศึกษาของจากตะวันตก และชอบไปขลุกกับพวกช่างฝีมือ วันๆ อยู่ที่โรงช่างมากกว่าที่ทำการเสียอีก
ดีนะที่ผ่านการสอบบัณฑิตเข้ามา ไม่รู้หรืออย่างไรว่ากรมโยธาให้มาเป็นขุนนาง ไม่ได้ให้มาเป็นช่าง มีคนอดไม่ได้เอ่ยเตือน แต่นายกองเริ่นกลับบอกว่าตนเองชอบเป็นการส่วนตัว พอเกิดเรื่องเช่นนี้ ผู้ใดก็ไม่อยากเตือน ปล่อยตามใจเขา
ปีก่อนตอนหวังทงกำลังรุ่งเรืองในเมืองหลวง นายกองเริ่นไปมาหาสู่กับหวังทง นับเป็นโอกาสอันดี หากทำงานได้ดี ได้รู้จักโอรสสวรรค์ ไม่แน่ว่าวันนี้อาจได้เป็นรองเจ้ากรมไปแล้ว แต่เจ้าหมอนี่กลับเอาของไปขลุกกับพวกนั้นโรงช่างทั้งวัน ทำลายโอกาสดีๆ ไปเสียอย่างนั้น
งานในมือก็มีไม่น้อย หากแม้แต่ค่าธรรมเนียมก็ไม่ยอมรับไว้ คนที่ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันก็พลอยอดไปด้วย คนรอบข้างคิดจะแบ่งให้เขาหน่อยหนึ่ง เขากลับไม่ยอมรับ
ท่อนไม้ที่ไม่อาจร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทุกคนเช่นนี้จะเก็บเอาไว้ทำไป รีบส่งไปเทียนจินดีกว่า!
ฟ้าช่างเป็นใจ ทุกคนคิดเช่นนี้ เสนาบดีคนใหม่ก็ไม่รู้ทำไมจึงได้เลือกท่อนไม้เช่นนี้ไปประจำเทียนจิน
เดิมคิดว่าต้องจากเมืองหลวงไป เจ้าทึ่มนี้คงอาลัยอาวรณ์ คิดไม่ถึงว่าพอคำสั่งโยกย้ายมา นายกองเริ่นก็ดีอกดีใจยกใหญ่ บอกกว่านายกองพันหวังเป็นคนทำงานตัวจริง ไปที่นั่นได้จัดการโรงช่าง ต้องมีผลสำเร็จยิ่งใหญ่เป็นแน่ ถึงตอนนั้นคงได้สร้างอาวุธชั้นยอดให้ราชวงศ์หมิงได้มากขึ้น
คนเช่นนี้ ไม่ต้องพูดอะไรถึงเขาแล้วจริงๆ ….
********
“เสด็จแม่ อ๋องลู่ปีนี้อายุ 11 แล้ว ก็ควรได้รับการแต่งตั้งได้แล้ว เอาแต่อยู่ในวัง ไม่ใช่เรื่องที่จะกระทำได้ยาวนานพะยะค่ะ!”
ในงานเลี้ยงคืนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ทรงเสนอเรื่องนี้กับไทเฮาฉือเซิ่งว่าอ๋องลู่ควรได้รับการแต่งตั้งได้แล้ว ไทเฮาเดิมแย้มสรวลอยู่ พอได้ยินสีพระพักตร์ก็บึ้งตึงทันที
“เรามีฝ่าบาทและอ๋องลู่สองคน ตอนนี้ฝ่าบาทเจริญชันษา ทุกวันทรงราชกิจ เราคิดจะมีลูกน้อยไว้ข้างกายเป็นเพื่อน อยากให้อ๋องลู่อยู่ข้างกายเราไปอีกสักหน่อยไม่ได้หรือ?”
ไม่ว่าคนที่มีสติปัญญาเพียงใด หากเกี่ยวพันกับลูกตนก็ย่อมกลายเป็นไร้ปัญญาไป แม้ว่าเป็นลูกคนหนึ่งพูดถึงอีกคนหนึ่งก็ตาม
ได้ยินไทเฮาฉือเซิ่งตรัสเช่นนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็พระพักตร์นิ่งค้างไปทันที วางตะเกียบในพระหัตถ์ลงก่อนจะรับสั่งดังว่า
“ถอยไปให้หมด!”
ขันทีนางกำนัลต่างก้มกายคำนับก่อนจะถอยหลังออกไป พอออกไปกันหมด ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสด้วยน้ำเสียงแกมขอร้องว่า
“เสด็จแม่ อ๋องลู่อยู่ในวังต่อไป ช้าเร็วก็ต้องได้รับแต่งตั้งออกไป ข้างนอกลือกันมากแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะเสื่อมเสียต่อราชวงศ์ เปิดช่องทางให้พวกคิดร้ายได้…”
“ฝ่าบาท เรารักอ๋องลู่เช่นเดียวกับรักฝ่าบาท แม่รักลูกนั้นมีอันใดผิดหรือ คนข้างนอกพูดอันใดกัน กล้าพูดอันใดกัน?”
ไทเฮาฉือเซิ่งสงบพระสติลง ตรัสเหตุผลยาว ฮ่องเต้ว่านลี่ก้มพระพักตร์ผ่อนลมหายใจ พอเงยพระพักตร์ขึ้นก็แย้มสรวลตรัสว่า
“เสด็จแม่ หม่อมฉันห้าขวบก็ต้องอยู่ด้วยตัวเองแล้ว ทุกวันศึกษาเล่าเรียนกับท่านจาง อ๋องลู่ทำไมไม่อาจออกไปพำนักนอกวังได้ ต้องอยู่แต่ในวังให้เสด็จแม่ต้องคอยดูแลกันเล่า?”
“อีกสักปีสองปี ตอนนั้นค่อยให้ไป เราไม่วางใจ ยังทำใจไม่ได้ หากไปไกล เราไม่รู้จะได้พบอีกไหม”
“เสด็จแม่…”
“วังหลวงใหญ่เพียงนี้ เจ้ารับอนุชาแท้ๆ ไว้สักคนไม่ได้เชียวหรือ?”
เห็นฮ่องเต้ว่านลี่จะพูดต่อ ไทเฮาก็สีหน้าเย็นเยียบทันที วาจาก็เริ่มเข้ม ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรเห็นแล้วก็รีบประทับยืนขื้นตรัสว่า
“ลูกอกตัญญู ทำให้เสด็จแม่ทรงกริ้ว ลูกหวังดีต่ออ๋องลู่ หากได้รับการแต่งตั้งไปเร็วก็จะได้เคยชินกับการจากเมืองหลวงไปได้ ไม่ได้คิดเป็นอื่น”
ไทเฮาเห็นฮ่องเต้ทิ้งมือข้างพระวรกายประทับยืนนิ่ง สีพระพักตร์ก็ผ่อนคลายลง แย้มสรวลตรัสว่า
“เราเพียงแค่ไม่อยากให้เจ้าพี่น้องต้องจากกัน มารดาย่อมรักลูกเท่ากัน ล้วนหวังให้พวกเจ้าได้ดี ความคิดฝ่าบาทเมื่อครู่ก็เพราะหวังดีกับอ๋องลู่ เราครอบครัวเดียวกัน ไยต้องมากพิธี รีบเสวยเถอะ เย็นหมดแล้ว”
ฮ่องเต้ว่านลี่เพิ่งกลับขึ้นที่ประทับ ก็รีบเสคุยเรื่องอื่นทันที แม่ลูกสองคนจึงยิ้มแย้มเหมือนเดิม
ทว่าพอก้มหน้าเสวย แววพระเนตรฮ่องเต้ว่านลี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แววตาเหินห่างจากไทเฮาฉือเซิ่งมากขึ้น ผู้เป็นบุตรย่อมไม่ใช้สายตาเช่นนี้มองมารดาตนเอง
**********
แม้ว่าก่อนมีเรื่องฮ่องเต้ว่านลี่จะให้ทุกคนถอยออกไป แต่คนอยากรู้ก็ย่อมมีวิธีหาทางรู้ได้
“..ไทเฮากับฝ่าบาททรงสนทนากัน ฮ่องเต้เป็นฝ่ายยอม…..”
“หึๆ ตอนนี้ฝ่าบาทเริ่มรู้สึกได้แล้ว วังหลังยังมีแม่คอยกำกับ รู้สึกว่าตนมีเหตุผลก็ไม่อาจดำเนินการได้ และยังไม่กล้าแสดงอำนาจ เกรงว่าตนเองจะถูกปลด เช่นนี้ย่อมค่อยๆ ห่างเหินไปเอง…”
**********
แผ่นดินหมิงในตอนนี้มีอำนาจสามฝ่าย หนึ่งเฝิงเป่าราชสำนักฝ่ายใน สองจางจวีเจิ้งราชสำนักฝ่ายนอกและสามไทเฮาฉือเซิ่ง มีไทเฮาฉือเซิ่งเป็นศูนย์กลาง การแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางหรือดำเนินนโยบายแผ่นดิน ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นชอบไม่นับ ไทเฮาฉือเซิ่งรับรองจึงนับว่าผ่าน
แม้ว่าไทเฮาจะค่อยๆ ถอนตัวออก ไต่ถามเรื่องบ้านเมืองน้อยลงเรื่อยๆ แต่สำนักอาชาหลวงก็อยู่ในพระราชอำนาจของพระองค์มาโดยตลอด หน่วยองครักษ์ในวังก็อยู่ในมือพระนาง ทหารทั้งในและนอกเมืองก็อยู่ในมือพระนางเช่นกัน
ตอนว่านลี่ขึ้นครองราชย์พระชนมายุเพียง 10 ชันษา ตอนนี้แค่ 16 แต่ไรมาอำนาจต้องอยู่ในมือราชวงศ์ มิใช่ขันทีหรือขุนนาง นี่เป็นสิ่งที่ไทเฮาทรงสนับสนุนฮ่องเต้ที่สุด ไทเฮาเป็นเสาหลักของแผ่นดินหมิงในตอนนี้
แต่กระนั้นจะสนับสนุนก็ได้ ไม่สนับสนุนก็ได้ ปัญหานี้แต่ไรไม่มีผู้ใดกล้านำมาคิด และก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึง
**********
หวังทงมิได้ฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ เรื่องที่ต้องจัดการมีมากมาย ราชโองการในวังมาถึง เงินสองแสนต้องนำส่งเข้าเมืองหลวง เงินที่เหลือก็ต้องเหลือไว้เป็นค่าใช้จ่ายในกองพันองครักษ์เสื้อแพรและสำนักอาวุธปืนไฟ
สำนักรักษาความสงบเก็บเงินมาได้อีกห้าหมื่นตำลึง หวังทงจึงมีเงินทองใช้สบายในมือ
วันนั้นกักเรือไว้สิบสี่ลำ มีห้าลำเพิ่งจะเข้าเทียบ เรือนั้นบรรทุกสินค้าแดนใต้มาจำนวนมาก ได้ยินนโยบายหวังทงแล้วก็ต้องรีบปล่อยสินค้าในมือตนเพื่อกลับไปขนสินค้ากลับมาขายอีกหลายรอบก็รวยใหญ่แล้ว
ปล่อยสินค้าย่อมทำให้ราคาถูกลง ร้านสินค้าตระกูลหวังของกู่จื้อปินกับร้านของจางฉุนเต๋อใกล้แหล่งที่สุด จึงจ่ายเงินซื้อของไว้หมด
เพราะสินค้าจากแดนใต้ได้ขจัดการขูดรีดและภัยอันตรายต่างๆ อย่างเช่นเมื่อก่อนไปแล้ว ดังนั้นสินค้าจึงถูกกว่าที่ฝากขนมาแบบไม่เสียภาษีถึงสี่ส่วน กู่จื้อปินและจางฉุนเต๋อสามารถบวกราคาและขายออกไป พ่อค้าจากเขตปกครองเหนือและแถบซานตงก็มากวาดซื้อไปหมด
ไม่ว่าอย่างไร เส้นทางนี้ก็เท่ากับจ่ายภาษีแค่ที่เทียนจิน ค่าขนส่งทางทะเลยังถูก คิดสะระตะแล้ว พ่อค้าซานตงซื้อสินค้าไปแล้วขนส่งทางแม่น้ำกลับซานตง กลับถูกว่าจนส่งจากทางใต้ขึ้นมาทางคลองส่งน้ำหลายส่วน
ได้สินค้ามาถูก กำไรก็ยิ่งมาก พ่อค้าคิดแต่ผลกำไร ราคาถูกเช่นนี้ผู้ใดคิดรังเกียจ สินค้าพวกนี้ขายหมดลง พ่อค้าหลายคนที่ยังซื้อไม่ได้ก็เริ่มมาสอบถามว่าสินค้าจะมาอีกเมื่อไร
ร้านสินค้าทงไห่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเทียนจินนั้นไม่เห็นแม้เงา และก็ไม่อาจเป็นแหล่งรวมสินค้าได้อย่างเป็นระบบอีกแล้ว ร้านหย่งเซิ่งก็ปิดไปหลายวันก่อนจะออกมาแย่งซื้อของเหมือนคนอื่นต่อ
ผู้ที่มีสินค้าคือร้านกู่จื้อปินกับร้านจางฉุนเต๋อ พ่อค้าจากเขตปกครองเหนือ จากซานตง แม้กระทั่งจากซานซีก็วางมัดจำกันล่วงหน้า พวกที่มีร้านค้าสาขาที่เทียนจินก็ส่งคนที่ร้านสาขาคอยเฝ้าไว้ พวกไม่มีร้านสาขาที่นี่ก็จะทิ้งคนไว้คอยเฝ้า บางคนถึงกับกำเงินรอไม่ยอมไปไหน
ร้านกู่จื้อปินกับร้านจางฉุนเต๋อกลายเป็นร้านค้ายิ่งใหญ่มีหน้ามีตาในเมืองเทียนจินในชั่วพริบตา วันหน้าจะยิ่งใหญ่ที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องยาก ความแตกต่างระหว่างร้านกู่จื้อปินกับร้านจางฉุนเต๋อก็คือร้านกู่จื้อปินมีส่วนแบ่งหวังทงสี่ส่วน ร้านจางฉุนเต๋อมีเก้าส่วน
ริมฝั่งแม่น้ำทะเลเดิมเป็นเพิงพักง่ายๆ ไว้เก็บเสบียง ตอนนี้พวกที่มีสายตากว้างไกลก็เตรียมจะสร้างบ้านเรือนตั้งร้านค้าและโกดังกันที่นี่แล้ว วันหน้าคนต้องผ่านไปมาที่นี่มหาศาล ไม่อยากจะกำไรก็คงยากแล้ว
ทว่านายกองพันองครักษ์เสื้อแพรได้รายงานไปยังกองคุมกำลังพลแล้วว่า สำนักองครักษ์เสื้อแพรจะจัดระเบียบสองฝั่งแม่น้ำทะเล[1]
ริมสองฝั่งแม่น้ำทะเลในบันทึกของกองคุมกำลังพลนั้นเรียกได้ว่ารกร้าง บวกกับหวังทงมีที่มาไม่ธรรมดา ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวอันใด ได้แต่ส่งมอบพื้นให้ไปอย่างง่ายดาย
จากนั้นโรงหลอมและโรงช่างทั้งในและนอกเมืองเทียนจินก็ถูกย้ายไปที่นั่น กองพันองครักษ์เสื้อแพรคิดจะสร้างที่ทำการริมฝั่งแม่น้ำทะเลด้วยเช่นกัน
ขณะที่ทุกคนยังกำลังสับสนก็มีข่าวเล็ดรอดมาว่า ที่จะสร้างขึ้นนั้นสร้างเป็นรูปแบบร้านค้า และท่าเรือกับทางสัญจรก็จะสร้างขึ้นใหม่ให้เรียบร้อย
ข่าวที่เล็ดรอดมาทำให้ทุกคนยิ่งงง แต่ป้ายประกาศที่ท่าเรือกับนอกประตูเมืองทำให้ทุกคนเข้าใจกระจ่าง
“ร้านสองฝั่งแม่น้ำทะเล ค่าเช่าพิเศษ เช่าสามปีแรกรับป้ายสงบสุข ลดสามส่วนจากปกติ”
ชื่อหวังทงพร้อมตราประทับตำแหน่งนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรรับรอง!
……………….
[1] คลองส่งน้ำเป็นเส้นทางน้ำที่ตัดจากแม่น้ำหวงเหอขึ้นมาทางเหนือ มาสบกับแม่น้ำทะเลที่เป็นแม่น้ำออกสู่ทะเลป๋อไห่ทางตะวันออกที่เทียนจินเรียกว่า แม่น้ำทะเล