Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 311

ตอนที่ 311 ถือโอกาสชุลมุนลงมือ ทหารม้าทะยานออกจากกำแพง

เจ็ดค่ายหลัก ค่ายที่หนึ่งอยู่ในจวนหวังทง สามค่ายอยู่ที่พักที่สามในเมือง อีกสามค่ายประจำการอยู่ที่ริมแม่น้ำทะเล ทิ้งค่ายหนึ่งไว้รักษาการที่ทำการค่ายใหม่นอกเมือง อีก 12 ค่ายร่วมกับพลม้าแย่งออกเป็นสามเส้นทางเข้าเมือง

กองกำลังเดินทัพกันมาอย่างเงียบ ๆ มีเพียงเสียงตะเบ็งคำสั่งของหัวหน้าค่ายและเสียงฝีเท้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อสักครู่ที่กองนาวาสุคนธ์เข้าเมืองไป เถ้าแก่และคนงานตลอดเส้นทางผ่านยังกล้าแอบมองลอดช่องประตู พวกที่กล้าหน่อยยังออกมาส่งเสียงทักทาย

แต่พอแอบหลังประตูดูกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรเดินทัพแล้วก็รู้สึกถึงไอสังหาร ทำให้ทุกคนรู้สึกหนาวยะเยือก เสียงฝีเท้าหนักแน่นแต่ละย่างก้าวกระหน่ำลงบนจิตใจของทุกคน

มองอยู่สักพักก็ไม่กล้าดูต่อ ในใจรู้สึกหวาดกลัวจนต้องหลบเข้าด้านใน ที่บ้านมีเทพเจ้าโพธิสัตว์องค์ใดก็จะรีบจุดธูปบูชาขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย

หลังจากที่ทหารของแต่ละค่ายเข้าเมืองมาก็มายืนเรียงอยู่หน้าประตูเมืองชั่วคราว ทหารรักษาประตูเมืองถูกเตะออกนอกเมืองไป จากนั้นประตูเมืองก็ปิดลง

แต่ละเส้นทางมีนายกองร้อยคนหนึ่ง ประสานงานกับพลม้าเดินอยู่แนวหน้า ทัพใหญ่ที่เหลือยังคงปักหลักที่เดิม ประตูด้านตะวันตกของเมืองเทียนจินมีรถม้าจอดรออยู่คันหนึ่ง

ถานเจียงที่อยู่บนหลังม้าเข้าไปใกล้กระซิบถามว่า

“ใต้เท้า ลำดับถัดไปให้ทำเช่นไร!”

ม่านรถม้าเลิกขึ้น อวี๋ต้าโหยวที่นั่งอยู่ด้านในสีหน้าอ่อนล้าเล็กน้อย เอ่ยว่า

“ทำตามที่นายท่านเจ้าสั่งละกัน ข้าเคยแต่ออกรบสังหารข้าศึก ให้มาทำการนี้ในเมืองรู้สึกขัดๆ ไงไม่รู้”

ถานเจียงยิ้มพยักหน้า กำชับคนขับรถม้าอยู่สักสองสามคำ รถม้ายามนี้อยู่ภายใต้การอารักขาของพลทหารสิบกว่านาย ก่อนจะเข้าประจำตำแหน่งตน

จะไม่เอ่ยถึงจวนหวังทงว่าเป็นเช่นไร ยามนี้ถนนแต่ละสายในเมืองเทียนจินเริ่มชุลมุนวุ่นวาย กองตรวจการของฟานต๋า ที่ทำการกองเสบียงของว่านเต้า หรือแม้แต่ที่ทำการกองคุมกำลังพลก็ล้วนปิดกั้นหัวถนนทั้งสองด้าน มีทั้งเจ้าหน้าที่และทหารรักษาการกำลังอารักขาป้องกันราวกับเผชิญกับศัตรูยิ่งใหญ่

พวกนาวาสุคนธ์ดูเหมือนจะล้อมจวนหวังทงไว้หมดแล้ว ดูไม่ใช่ความวุ่นวายเช่นปกติทั่วไป ทว่าพวกนักเลงหัวไม้ท้องถิ่นและพวกอันธพาลที่ฉกฉวยโอกาสปล้นชิงต่างหากที่เป็นตัวสร้างปัญหาแท้จริง

พวกบัดซบพวกนี้รู้ดีที่สุดว่าในเมืองบ้านไหนมีเงิน บ้านไหนมีลูกสาวสวย พอเห็นในเมืองจลาจลวุ่นวาย องครักษ์เสื้อแพรที่เป็นที่ยำเกรงที่สุดก็ไม่ปรากฏตัว ยังถูกล้อมไว้อีก เจ้าหน้าที่ทางการและทหารในพื้นที่ต่างก็สนใจแต่พื้นที่ทำการของตน ทุกคนจึงรู้สึกว่าโอกาสมาถึงแล้ว

สามถึงห้าคนรวมเป็นหนึ่งกลุ่ม ก่อนจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่เริ่มก่อความไม่สงบในเมือง ในเวลาชั่วพริบตา ในเมืองก็ฝุ่นตลบวุ่นวายกันไปทั้งแถบ

พวกตระกูลใหญ่กับร้านค้าที่มีคนงานและบ่าวรับใช้ในบ้านเยอะ พวกนักเลงอันธพาลไม่คิดจะลงมือ พวกนั้นมีคนไม่น้อย ไหนเลยจะลงมือต่อกรได้ง่าย

ที่โชคร้ายก็คงเป็นพวกตระกูลเล็กและตระกูลขนาดกลาง ย่อมต้องร้องเรียกหาบิดามารดากันเป็นแน่ ในปีที่เกิดจลาจลของกองเลี้ยงม้าทางการที่เทียนจินนั้น พื้นที่ที่มีเรื่องยังไม่เสียหายเท่านี้เลย

ถึงกับมีคนลงมือปล้นชิงแล้วยังวางเพลิงเผา รอจนไฟโหมกระหน่ำ สถานการณ์ก็ยิ่งฉุกเฉิน โอกาสที่จะใช้วิธีการใหญ่หวังผลเล็กน้อยดังคำกล่าวที่จับปลาในน้ำขุ่นก็มาถึง ในเมืองวุ่นวายมากเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าประตูเมืองทั้งสี่ทิศปิดแล้ว กองทัพใหญ่เข้าเมืองมาแล้ว

*********

ในหมู่คนพวกนี้ยังมีนักเลงอันธพาลทางตอนเหนือของเมืองเทียนจินที่เรียกตัวเองว่า “แปดคุณธรรมเหอเจียน” จริงๆ ก็แค่พวกนักเลงหัวไม้จากศาลเทพเจ้าเงินทองไฉ่สิ่งเอี๊ยนอกเมืองที่สาบานเป็นพวกกันนั่นเอง ทุกคนรวมตัวกันติดตามเทพเงินทองเจ้ากงหมิง ชื่อเสียงเลวร้ายไปทั่วในเมือง แต่ก็ไม่กล้าหาเรื่องกับร้านที่มีกระถางธูป ต่อมาก็มามีหวังทงอีก จึงได้แต่รังแกร้านค้าเล็กๆ ข้างทางเท่านั้น

เมื่อเห็นสภาพจลาจลในวันนี้ จึงคิดเองว่าโอกาสมาถึงแล้ว จึงทำตามข้อเสนอของเจ้าสี่ซึ่งเป็นพี่น้องลำดับสี่ในกลุ่มมารวมตัวกันอยู่ที่ร้านขายธูปและกระดาษไหว้ทางใต้ของเมือง

นอกเมืองในเมืองที่ไหนมีเรื่องต้องการเซ่นไหว้ ต่างก็ใช้ของที่ร้านนี้ มีเงินทองไหลเวียนมากมาย ได้ยินว่าเถ้าแก่ร้านนี้เพิ่งจะรับอนุใหม่ที่งดงามมากมานางหนึ่ง ทุกคนก็กำลังใจฮึกเหิมขึ้น

ร้านอื่นปิดประตูแน่น แต่ร้านนี้กลับเปิดประตู ใจกล้าไม่น้อย สำหรับพวกแปดคุณธรรมเหอเจียนนี้แล้วนับเป็นโอกาส จึงกรูกันเข้าไป

สีหน้าเจ้าของร้านและลูกจ้างตื่นล้วนตื่นตระหนก ด้วยเหตุที่ไม่ได้เตรียมป้องกันการบุกเข้ามาของพวกนักเลงอันธพาลที่มีทั้งมีดและขวาน ขณะที่กำลังตระหนกตกใจอยู่นั้น เถ้าแก่ก็ร้องตะโกนขึ้นหลังโต๊ะเก็บเงินว่า

“…นี่เป็นร้านนาวา…”

ตะโกนไม่ทันจบ ก็ถูกคนผู้หนึ่งผลักล้มกลิ้ง คนที่เหลือวิ่งเข้าไปด้านใน ลูกจ้างในร้านก็ไม่ทันได้ป้องกัน แปดคุณธรรมเหอเจียนนี่ก็ฝีมือฉกาจไม่เบา ลูกจ้างพวกนี้ไหนเลยจะรั้งไว้ได้ กลับถูกลงมือจนบาดเจ็บกันถ้วนหน้า

ไม่นาน เถ้าแก่กับลูกจ้างก็ถูกจับมัดรวมกัน เจ้าสี่ออกไปดูต้นทางหน้าประตูให้ บอกให้พี่น้องคนอื่นไปหยิบเงินทองหาสาวชิมกันไปก่อน ตนเองรอตามเก็บกินน้ำๆ ก็พอ

ช่างมีคุณธรรมเสียจริง หลายคนเริ่มทนไม่ไหวรีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที ได้ยินเสียงเปิดคว่ำหีบและตู้ด้านในดังแว่วมา จากนั้นก็เสียงกรีดร้องของหญิงสาว

เถ้าแก่เจ้าของร้านเริ่มได้สติ ตะโกนดังอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไปว่า

“นาวาสุคนธ์ปักธูปในเมือง พี่น้องทุกท่านโปรดยั้งมือ…”

วาจายังคงไม่ทันจะกล่าวจบ เช่นเดิมถูกเจ้าสี่นั่นเตะไปทีหนึ่ง เล่นเอาหน้ามืดตามัว ร้านนี้ใกล้ประตูเมืองที่สุด กำลังจะหน้ามืดลง ก็ได้ยินเสียงกองกำลังและม้าเข้ามาเมืองมา

เจ้าสี่รีบวิ่งไปที่ประตูแล้วตะโกนใส่กองกำลังและพลม้าที่เข้ามาเสียงดังว่า

“หอรุ่งเรือง หอเลิศรส!”

พอเห็นคนที่แต่งกายรัดกุมเฝ้าหน้าประตูดูต้นทาง พลทหารที่วิ่งอยู่หน้าสุดก็ชักดาบออกมา ได้ยินเสียงตะโกนเช่นนี้ ก็วางดาบลง

เจ้าสี่ส่งสัญญาณมือสองอย่าง กระซิบกระซาบอีกสองสามประโยค พลทหารม้าสามนายกับทหารด้านหลังสิบกว่านายก็ก้าวเข้าไปด้านใน พี่ใหญ่ของพวกแปดคุณธรรมเหอเจียนคว้าตัวอนุนางหนึ่งของเถ้าแก่มาได้ กำลังคิดจะลูบคลำ ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านหลัง จึงหันไปมองด้วยความตกใจ พลันเห็นดาบหนึ่งฟันลงมาตรงหน้าพอดี

หญิงในห้องพอเห็นพวกที่เข้ามาอย่างดุร้ายเมื่อครู่ต้องหัวแยกออกจากตัว โลหิตกระเซ็นไปทั่ว ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกดีใจที่มีคนมาช่วย กลับรู้สึกหวาดกลัวถึงขีดสุด ส่งเสียงกรีดร้องดัง ไม่นานก็เป็นลมไปสอง

ทหารองครักษ์เสื้อแพรที่เข้ามาสายตาเย็นเยียบ ไม่เข้าไปช่วย กลับใช้สันดาบฟันคนที่เหลือให้สลบก่อนจะออกไป

เถ้าแก่ด้านนอกกำลังตะเกียกตะกายอยู่ที่พื้นตะโกนดังขึ้นว่า

“โชคดีที่นายท่านมาช่วยไว้ มิเช่นนั้นข้าน้อยทั้งครอบครัวคงต้องประสบภัย นายท่านรีบมาปล่อยข้าน้อย ข้าน้อยจะต้องตอบแทน”

พลทหารม้าทั้งสามยืนเบื้องหน้าเขาสีหน้าเย็นชา หนึ่งในนั้นหันไปมองเจ้าสี่ข้างๆ รอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าของเจ้าสี่แห่งแปดคุณธรรมเหอเจียนจางหายไป มีแต่ใบหน้าที่เย็นชาไร้ความรู้สึก หันไปพยักหน้าให้กับพลทหารม้ากล่าวขึ้นไม่ดังนักว่า

“พวกนาวาสุคนธ์แอบปักธูปในเมือง ที่นี่ก็เช่นกัน!”

ดาบในมือของพลทหารม้าที่ยังคงเปื้อนเลือดของพวกอันธพาล พอได้ยินคำพูดของเจ้าสี่ ก็ยกดาบขึ้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกก่อนจะฟันฉับ เสียงร้องขอชีวิตน่าอนาถดังติดต่อกัน ชั่วพริบตา เถ้าแก่และลูกจ้างในร้านก็มีหัวและร่างแยกออกจากกันคนละทิศ ตายเรียบ

***********

เกิดเรื่องเช่นนี้ในเมืองหลายแห่ง มักจะเป็นพวกอันธพาลเข้าไปจู่โจมก่อน จากนั้นพลทหารองครักษ์เสื้อแพรก็จะตามมา แต่ไม่ใช่มาเพื่อช่วยเหลือ หากมาเพื่อสังหารทั้งอันธพาลและเจ้าทุกข์

สำหรับกรณีอื่น ๆ ที่เกิดจลาจลและปล้นชิงกลางกองเพลิงนั้น วิธีการขององครักษ์เสื้อแพรก็ง่ายมาก ไล่ปูพรมไปตามท้องถนนแต่ละสาย พอเห็นคนก่อความไม่สงบก็ลากออกไปตัดหัว พร้อมกำชับให้แต่ละครอบครัวปิดประตูให้แน่นอยู่แต่ในบ้าน มิเช่นนั้นจะถือว่าเป็นโจร

พวกอันธพาลกำลังดีใจอยู่ในบ้านเรือนประชาชน ปล้นชิงทรัพย์สิน ฉุดคร่าหญิงสาว กลับไม่ทันระวังพลทหารด้านหลังที่ตามมาราวกับพยัคฆ์ร้าย จึงถูกตัดหัวทิ้งในทันที

ในช่วงขณะกำลังวุ่นวาย ผู้ที่กล้าวิ่งออกไปตามท้องถนนล้วนเป็นโจรร้าย พวกผู้หญิง เด็กอ่อนแอและคนชราล้วนเป็นผู้ประสบภัย ที่องครักษ์เสื้อแพรต้องจัดการก็คือตัดหัวพวกก่อความไม่สงบทิ้งให้หมด ส่งผู้หญิง เด็กอ่อนแอและคนชราไปอยู่ในเรือนที่ปลอดภัยในละแวกนั้น

เมืองเล็ก ๆ ก็ราวกับถูกหวีเสนียดสางเหาหวีเอาเส้นผมทุกเส้น พื้นที่ที่ถูกสางก็จะสงบเงียบอย่างรวดเร็ว

**********

ในละแวกนั้นไม่มีก้อนอิฐและก้อนหินอีกแล้ว ลูกธนูไร้หัวที่เพิ่งถูกทางการยิงออกไปทำให้พวกนาวาสุคนธ์เริ่มใจกล้าขึ้น เดิมยังพอหวาดกลัวจวนนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรอยู่บ้าง ไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่แอบขว้างปาก้อนอิฐจากระยะไกล

พอเห็นว่าลูกธนูไร้หัว แต่ละคนก็พากันใจกล้ามากขึ้น ที่แท้องครักษ์เสื้อแพรก็กลัวพวกเรา ทุกคนต่างให้กำลังกันและกัน ก่อนจะกรูกันก้าวขึ้นหน้า

ยิ่งใจกล้ามากขึ้นจนคิดจะปีนกำแพงข้ามไป แต่คราวนี้กลับต้องหัวร้างข้างแตกแทน เพิ่งจะปีนขึ้นไป ก็มีคนด้านในกำแพงใช้ไม้พลองแทงสวนมา

แทงโดนจุดที่บอบบางที่สุด กลางหน้าอย่างจังเทียบเท่ากับถูกคนต่อยใบหน้าอย่างแรง เลือดไหลออกทั้งทางจมูกและปาก ร่วงฟุบไปทันที

แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยเลือด ร่วงลงไปร้องครวญครางที่พื้นแล้ว แต่คนด้านนอกก็ยังฮึกเหิมไม่หยุด ปีนข้ามไปอีก องครักษ์เสื้อแพรยังไงก็ไม่ใช้ดาบ ใช้แต่ไม้พลอง พวกเขากลัวเราแล้ว

ทุกคนยิ่งให้กำลังใจกันและกันต่อตัวเป็นบันใด แต่องครักษ์เสื้อแพรข้างในก็ปกป้องอย่างแน่นหนา ไม่มีผู้ใดปีนข้ามไปได้ ล้วนถูกแทงร่วงลงจากกำแพงทุกคน

อีกทางหนึ่ง ประตูหน้าทางนั้นสะอาดเรียบร้อยกว่ามาก มีลูกธนูยิงออกไปไม่หยุด ส่วนใหญ่ไร้หัว แต่ในนั้นยังมีหลายดอกที่เป็นลูกธนูจริง ได้ยินเสียงพวกนาวาสุคนธ์ส่งเสียงร้องโหยหวนเป็นระยะ อาจจะเป็นเพราะองครักษ์เสื้อแพรกำลังลนลานหวาดกลัวเลยลืมหักหัวลูกธนูออก

พลทหารที่สะบัดธงแดงยืนอยู่บนหลังคากำลังสังเกตการเคลื่อนไหวสี่ทิศ ลงมารายงานเป็นระยะ พอเห็นสี่ทิศไกลออกไปมีคนโบกธงแดงขึ้น

“ใต้เท้า ทุกแห่งพร้อมแล้วขอรับ!”

หวังทงได้ยินรายงาน ก็หันกลับไปบอกไช่หนานที่สีหน้าซีดเผือดอยู่ข้างๆ ว่า

“ไช่กงกง รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมหลายวันก่อนข้าถึงต้องซ่อมกำแพง!!”

“ใต้เท้ามองการณ์ไกล วันนี้ข้าน้อยรู้แล้วว่าเหตุใดใต้เท้าจึงได้ประสบผลสำเร็จยิ่งใหญ่เช่นวันนี้…”

“ไช่กงกง ตอนนี้เจ้าเป็นนายกองคุมกำลังค่ายหู่เวยข้า เรียกชื่อข้าหวังทงก็ได้ ไยต้องเกรงใจกันเช่นนี้!”

ขณะสองคนคุยกันอยู่นั้น หลี่หู่โถวกับพลทหารอีกสามสิบนายก็จูงม้ามาถึง ลานกว้างด้านหน้าไม่มาก จึงได้แต่จัดแถวเป็นแบบแนวนอนหกแนวตั้งสาม ม้าที่เหลือต้องแยกออกเป็นสองแถว

มีทหารและคนโรงบ้านเดินไปที่กำแพงด้านหน้าของลานบ้าน ยกมือวางบนประตูหน้าและกำแพงทั้งสองด้าน

หวังทงเดินลงบันไดมาขึ้นม้าบังคับไปยังด้านขวาของแถวแรก ตะโกนขึ้น

“เปิดประตู!!”

เมื่อได้ยินคำสั่ง ทหารและคนโรงบ้านหน้ากำแพงก็ขานรับคำออกแรงพร้อมกัน ประตูหน้าและกำแพงสองด้านก็ล้มพับไปด้านหน้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!