Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 312

ตอนที่ 312 คุกเข่าลงละเว้นชีวิต ไสหัวไป

ถนนละแวกหอกลองนั้นแออัดไม่น้อย บริเวณพื้นที่หน้าประตูที่เปิดพื้นที่ไว้เมื่อสักครู่ กลุ่มคนที่ถูกลูกธนูไร้หัวหยุดการเคลื่อนไหวไว้ก็หลบลงสองข้างทาง โดนเข้าไปไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ แม้ว่าระยะยังห่าง แต่ทุกคนก็ยังถอยหลบกันอัตโนมัติ และยังเหลือพื้นที่กว้างให้อีก

ตามหลักกำแพงล้มลงกระแทกพื้น อิฐหินก็ต้องกระจัดกระจาย แต่กลับล้มลงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เสียงล้มก็เหมือนเสียงไม้ธรรมดา

แต่ยามนี้ก็ไม่มีผู้ใดสนใจอันใดอีก กำแพงสูงตระหง่านล้มลง เผยให้เห็นกองกำลังทหารม้าที่เรียงกันอยู่หลังกำแพงอย่างเป็นระเบียบ ในมือถือทวนและดาบพร้อม

พวกนาวาสุคนธ์ยังไม่ทันตั้งสติได้ แต่ละคนยืนอ้าปากค้างมองเด็กหนุ่มบนหลังม้ายกดาบในมือขึ้นโบกไปด้านหน้าพร้อมเสียงตะโกนดัง

ทหารม้าในแถวแรกสะบัดแส้ เสียงม้าร้องดัง แต่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของพลทหารม้าให้เดินไปข้างหน้าเป็นแถว

ม้าสูงกว่าคนครึ่งตัวบวกกับทหารบนหลังม้าก็ยิ่งสูง สูงเกือบหนึ่งเท่าของคนที่ยืนบนพื้น ไม่ต้องพูดถึงว่าดูยิ่งใหญ่เพียงใด ในมือยังมีทวนยาวดาบใหญ่ คมดาบวาววับสะท้อนแสง

เมื่อครู่มันคนไหนตะโกนว่าพวกมันกลัวเราแล้ว หากกลัวจริงเหตุใดจึงพังกำแพงออกมา ดาบใหญ่ทวนยาวในมือนี่มันใช่หรือ

มีเวลาให้ตกตะลึงไม่นานนัก ผู้คนที่อยู่ข้างหน้าร้องลั่นหันหลังวิ่งหนี เบียดเสียดกันอลหม่าน ความเร็วในการกลับตัวต่างกันก็ย่อมต้องชนกัน

ใช้ลูกธนูไร้หัวยิง ใช้ไม้ไผ่ยาวแทง หรือการปิดประตูเงียบไม่กล้าสังหารผู้คนไม่มีให้เห็นอีกแล้ว เห็นแต่พวกขี่ม้ากรูกันออกมาอย่างองอาจ

หนีไม่พ้นวิ่งไม่ทัน ม้าก็เหยียบข้ามไป ดูแล้วเหมือนว่ากำลังจู่โจมประตูเมืองเพื่อบุกเข้าเมืองอย่างไรอย่างนั้น

คนที่อยู่ด้านหน้าย่อมถูกชนล้ม ไม่เพียงแต่แถวหน้า หากแถวหลังต่อๆ กันก็โดนชนกระเด็นไปเรื่อย ต่างลนลานถอยกรูดไปด้านหลัง หากไม่ทันก็ต้องชนกัน เบียดผ่านไม่ได้ก็ต้องทั้งต่อยทั้งเตะใส่กัน มีบางคนลนลานล้มลง แต่ก็ไม่มีคนสนใจ มีคนเหยียบข้ามไปไม่รู้เท่าไร

ม้าในลานบ้านทะยานออกไปทีละตัว ก่อนจะเรียงกันเป็นแถว แถวหน้าพุ่งชนฝูงชนจนไม่มีพื้นที่ถอยได้อีก ได้แต่หลบลงข้างทาง แถวสองหน้าจึงได้ควบทะยานต่อไปข้างหน้า

หลังจากพุ่งชนไปได้สามครั้ง คนด้านหลังสุดถอยห่างจากถนนหน้าจวนหวังทง ยามนี้สามารถควบม้าวิ่งได้แล้ว ถึงขั้นนี้ ผู้ใดยังคิดจะเอาเรื่องอีก ผู้ใดยังคิดทวงความยุติธรรมกับขุนนางสุนัขอีก ทวนยาวของอีกฝ่ายทะลวงแทงออกมาแล้ว อย่างไรก็หนีเอาตัวรอดก่อนดีกว่า หนีเถอะ

วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว ก็พบว่าถนนโดยรอบถูกทหารติดอาวุธพร้อมปิดกั้นไว้แล้ว พอเห็นพวกนาวาสุคนธ์หนีกระจัดกระจายมาถึง บรรดาทหารก็ตะโกนขึ้นพร้อมกันว่า

“คุกเข่าลงละเว้นชีวิต คุกเข่าลงละเว้นชีวิต!!!”

เสียงตะโกนขึ้นพร้อมเพรียงกันดังก้องเข้าสู่โสตประสาทของบรรดาชาวนาวาสุคนธ์ คุกเข่าลงก็ละเว้นชีวิตแล้ว มีคนยังคงงง มีคงยังคงวิ่งเข้าใส่พวกทหารราวกับแมลงวันไร้หัว วิ่งไปด้านหน้าก็ต้องโดนดาบฟันอย่างไม่ปราณี เสียงร้องโหยหวนยังไม่ทันดังก็ล้มฟาดพื้นไปก่อน

ตายไปหนึ่ง ทุกคนยังคงไม่ได้สติ ตายไปหลายสิบ ก็ไม่มีที่ให้วิ่งต่ออีกแล้ว สองข้างล้วนเป็นบ้านเรือนร้านค้าที่ปิดประตูแน่น จะเข้าไปก็ไม่ได้ คุกเข่าลงแล้วจะยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่คุกเข่าวิ่งลุยหน้าต่อไปย่อมไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้ จึงได้แต่กัดฟันกุมหัวคุกเข่าลง

พลทหารเดินย่ำไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เดินผ่านผู้ที่ยอมเชื่อฟังคุกเข่าลง ทหารแถวหลังก็รีบรุดขึ้นหน้ามาพร้อมเชือกในมือจับมัดไว้ คนที่คุกเข่ายิ่งมากขึ้น คนที่ถูกมัดก็ยิ่งมากขึ้น พอพวกนาวาสุคนธ์เริ่มผ่อนคลายลงก็พบเรื่องหนึ่ง

ทหารองครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้ได้เตรียมเชือกจำนวนมากเช่นนี้ พอเงยหน้าขึ้นมองอย่างกลัวๆ กล้าๆ ก็เห็นว่านอกจากทหารสองแถวหน้าแล้ว ด้านหลังล้วนแบกเชือกมา

เรื่องมาถึงบัดนี้ แม้ว่าคนโง่ก็ย่อมเข้าใจ อีกฝ่ายได้เตรียมเชือกไว้มัดคนไว้แล้ว นี่คือการเตรียมตัวดักรอให้ตนเองมาติดกับ

********

หวังทงนำพลทหารม้า 30 กว่านายบุกขึ้นไปรอบแรกเสียรูปขบวน แต่ไม่เป็นไร พวกนาวาสุคนธ์ไม่มีอาวุธมีคมในมือแม้แต่ชิ้นเดียว

ขี่ม้าพร้อมเกราะ ยังถืออาวุธยาวท่ามกลางกลุ่มคน ก็เหมือนเสือร้ายเข้าสู่วงล้อมแกะน้อย ทวนในมือก็ไม่จำเป็นต้องแทง ดาบในมือก็ใช้แค่สันดาบฟัน

คนที่ถูกฟาด ฟกช้ำดำเขียวนับว่าเบา พวกกระดูกหักจึงถือว่าปกติ เดินมาถึงก็ได้ยินแต่เสียงร้องเรียกหาบิดามารดา กลุ่มคนพากันตะเกียกตะกายวิ่งหนีกลับไปตามทางเดิมที่มา

แต่ทางที่มานั้นถูกทหารกองใหญ่ปิดกั้นไว้หมดแล้ว ตอนนี้รอบจวนของหวังทงได้ยินแต่เสียงดังเป็นระลอกว่า คุกเข่าลงละเว้นชีวิต!

“เจ้าขุนนางสุนัข เจ้ากล้าลงมือ!!”

หวังทงบังคับม้าทะยานใส่อย่างสะใจ ได้ยินคนชี้มาที่เขาพร้อมตะโกนด่าดัง หวังทงก็หยุดม้า หันไปหัวเราะเสียงดังใส่กล่าวว่า

“ประชาก่อการจลาจลควรสังหาร ลงมือแค่นี้ไม่เท่าไร!”

ชายผู้นั้นถูกฝูงชนกลบอย่างรวดเร็ว ฝูงชนเบียดเสียดอัดทะนานวุ่นวาย ม้าหวังทงวิ่งช้าลงเรื่อยๆ ในเวลานี้หลายคนไม่วิ่งไปข้างหลังอีกแล้ว แต่กลับพยายามเบียดมารายล้อมรอบตัวหวังทงแทน

หวังทงยกดาบในมือตวัดซ้ายขวา ไล่คนที่รายล้อมให้เปิดพื้นที่ คนเริ่มกระจัดกระจายแล้ว แต่ที่พวกเขายังคงแออัดกันอยู่ เพราะรอบนอกบีบอัดเข้ามา

แม้ว่าทุกอย่างจะเป็นดังคาด แต่ฝูงชนที่วุ่นวายกันอยู่ข้างหน้าก็ยังคงทำให้เขารู้สึกกังวลอยู่บ้าง ไม่ทันสังเกตการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติด้านหลัง

ดูเหมือนว่ามีคนกระโดดขึ้น หวังทงตอบสนองอย่างเร็ว พอหันกลับก็เห็นคนกระโดดพุ่งเข้ามาพร้อมมีดสั้น คิดจะหลบก็ไม่ทันแล้ว

ในช่วงเวลากระชั้นชิดนั้น ก็มีทวนยาวพุ่งมาฉกราวกับงูพิษ แทงทะลุลำคอของมือสังหารผู้นั้นอย่างแม่นยำ ก่อนจะตวัดร่างให้เบนออกด้านข้าง ร่วงลงกระแทกพื้น

หวังทงรู้สึกสะท้านวูบไปทั้งตัว พอหันไปมองก็เห็นหลี่หู่โถวถือทวนสะบัดอยู่ด้านหลัง หวังทงพยักหน้าให้ก่อนจะหันกลับไปตะโกนดังว่า

“คุกเข่าละเว้นชีวิต ไม่คุกเข่าสังหารไม่ให้เหลือ!”

กล่าวจบ สองเท้าก็กระแทกสีข้างม้าอย่างแรง ม้ารู้สึกเจ็บก็ทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว พวกนาวาสุคนธ์ที่อยู่ด้านหน้าไม่ทันได้ตั้งตัวย่อมหลบไม่ทัน หงายหลังกระแทกพื้นทันที

เกือกม้าเหยียบย่ำลงไป เสียงร้องดังโหยหวน หวังทงเคลื่อนไหวครานี้เป็นการเปิดพื้นที่อีกทาง พลทหารม้าที่เหลือถูกฝูงชนเบียดจนไม่อาจขยับตัว หวังทงตะโกนดัง ทุกคนก็ถ่ายทอดคำสั่งต่อกัน ทุกคนต่างควบม้ากระโจนไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจสิ่งใด เสียงร้องดังไปทั่วลาน

หวังทงควบม้ามาหันหลังชนกำแพง มือสังหารเมื่อครู่ทำให้เขาต้องเพิ่มความระมัดระวัง เสียงตะโกนดังว่า คุกเข่าละเว้นชีวิต ดังมาเป็นระลอก คนรอบนอกเริ่มคุกเข่า

*********

ในท้ายที่สุดนอกจากทหารองครักษ์เสื้อแพรแล้ว คนอื่นๆ ในลานหากไม่คุกเข่าลง ก็ล้วนเป็นศพ

สถานการณ์สงบลงได้ในที่สุด หวังทงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พระอาทิตย์ค่อนไปทางตะวันตก นั่นคือเวลาบ่ายคล้อยแล้ว หวังทงรู้สึกร่างกายเหมือนจะหมดแรง เหน็ดเหนื่อยยิ่ง

หากได้ลงมือสังหารจริง เกรงว่าคงไม่เหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ แต่ถ้าสังหารหมดจริง เกรงว่าคงต้องมีคำแก้ตัวอะไรบ้าง หวังทงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองดูทหารม้ารอบตัว รวมทั้งหลี่หู่โถว ทุกคนล้วนเหนื่อยล้า แต่ก็ยังฮึกเหิมยิ่งนัก

หวังทงส่ายหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“อย่าเพิ่งรีบพัก ต้องค้นตัวคนทั้งหมดนี้ก่อน”

สั่งจบ พวกพลทหารม้าก็รีบบังคับม้าไปด้านหน้า ตะโกนออกคำสั่ง ถนนทั้งเส้นแน่นขนัดไปหมด พื้นที่ว่างรอบหอกลองตอนนี้แน่นเต็มพื้นที่

ทหารรอบนอกเริ่มแยกกันคุมตัวพวกนาวาสุคนธ์ ให้พวกเขาออกไปยังถนนเส้นอื่น อย่างไรตอนนี้ทุกคนก็ล้วนปิดประตูบ้านกันหมด บนถนนจึงโล่ง

หวังทงสั่งการลงไป ทุกกองก็นำกำลังค้นตัว เริ่มแรกยังค้นไม่เจออะไร แต่ไม่นานก็มีคนถูกลากตัวออกมา หวังทงโดดลงจากหลังม้ามานั่งอยู่หน้าประตูที่ล้มลง อยู่ๆ ก็คิดได้เรื่องหนึ่ง จึงกล่าวพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นว่า

“ที่ตัวพกอาวุธ ตั้งข้อหามือสังหาร!”

ตะโกนจบลง พวกนาวาสุคนธ์ที่คุกเข่าก็เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข หลายคนเหมือนกับหลบอะไรสักอย่างพยายามคลานฉีกออกไปอีกทาง ถูกมัดไว้ทำให้ลุกไม่สะดวก ได้แต่คลานกระถดตัว

คนที่ถูกทิ้งไว้ตรงกลางก็มีเริ่มมีสีหน้าเปลี่ยนไป บ้างก็ตะโกนด่าทอ แต่ก็มีทหารมาลากตัวออกไปทันที

เห็นพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า การตรวจนับก็นับว่าเสร็จแล้ว ทั้งหมดจับมือสังหารได้ 15 คน

เวทีถูกสร้างขึ้นจากประตูและกำแพงที่ล้มลงเมื่อครู่ตามคำสั่งของหวังทง บรรดามือสังหารล้วนถูกนำตัวขึ้นไปด้านบน หวังทงยืนขึ้นหยิบขวานสั้นที่มีคมกว้างขึ้นไปบนเวที ขึ้นไปถึงก็ถามคนทางขวาคนแรกว่า

“ใครให้พวกเจ้ามาสังหารข้า!?”

คนผู้นี้อึ้งไป ก่อนจะเหลือบมองดูเพื่อนข้างๆ กัดฟันเด็ดเดี่ยวยิ่ง จ้องหน้าหวังทงกำลังคิดจะกล่าววาจาไม่ยอมก้มหัวให้ ขวานในมือหวังทงก็ฟันลงไปเรียบร้อย

ขวานหนักฟันลงไป ร่างครึ่งท่อนพร้อมหัวก็ปลิวกระเด็น โลหิตสดพุ่งกระเซ็นสาดสี่ทิศ คนบนเวทีล้วนเปื้อนไปด้วยโลหิต

เสียงกรีดร้องของชาวนาวาสุคนธ์ด้านล่างดังขึ้น บรรดามือสังหารบนเวทีก็ล้วนถดตัวไปด้านหลัง หวังทงสะบัดไหล่ รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก ถามคนที่สองต่อว่า

“ใครให้พวกเจ้ามาสังหารข้า!?”

คนผู้นี้มีแววตาหวาดกลัว หันไปมองเพื่อนข้างๆ ยังไม่ทันหันกลับมา หวังทงก็ฟันลงไปอีกที บริเวณใกล้กับเวทีมีคนเริ่มอาเจียนกันอย่างรุนแรง หวังทงถือขวานไปวางที่บ่าคนที่สามเช็ดเลือดไปมา ยิ้มถามว่า

“ใครให้พวกเจ้ามาสังหารข้า!”

“เผียวเฉวียน หัวหน้าเผียว….”

หวังทงหันไปมองมือสังหารคนอื่น ๆ ทุกคนพยักหน้าอย่างสุดชีวิต หวังทงหัวเราะดังลั่น

“ก่อจลาจลไม่พอ ยังส่งนักรบเดนตายมาสังหารข้า พวกเจ้าก็กล้า…”

ขณะที่กล่าวนั้น มีชายผู้หนึ่งแต่งตัวแบบขุนนางบุ๋นภายใต้การคุ้มกันของทหารสองนาย เบียดฝูงชนเข้ามาอย่างทุลักทุเลเต็มที มาถึงด้านล่างเวที ก็รีบตะโกนว่า

“นายกองพันหวัง ข้าน้อยทำงานร่างหนังสืออยู่ที่กองตรวจการ ประตูเมืองปิด ประชาหวาดกลัว เสียงานราชการ ขอใต้เท้าโปรดรีบ….”

กล่าวไม่ทันจบ หวังทงก็โดดลงจากเวที หันด้ามขวานมาฟันลงไป ชายผู้นั้นหลบไม่ทันถูกฟาดเข้าที่บ่า เสียงกระดูกแตกดังลั่น พร้อมกับเสียงร้องโหยหวน หวังทงถีบไปที่ท้องน้อย ก่อนจะตะโกนดังว่า

“ไสหัวไป!!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!