Skip to content
Home » Blog » องครักษ์เสื้อแพร 319

องครักษ์เสื้อแพร 319

ตอนที่ 319 ปฏิกิริยาขุนนางผู้ใหญ่ที่เหนือความคาดหมาย

หวังทงเป็นผู้ที่โอรสสวรรค์ให้ความไว้วางพระทัยที่สุด ขณะเดียวกันยังเป็นศัตรูกับมหาอำมาตย์จางและบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนัก เป็นที่รังเกียจของทุกคนยิ่ง

ตั้งแต่หวังทงได้เป็นคนสนิทโอรสสวรรค์ เมื่อใดที่มีประเด็นเรื่องของหวังทงก็มักต้องเกิดเรื่องถกเถียง หลายครั้งยังเป็นเหตุให้ขุนนางถูกปรับเปลี่ยนตำแหน่ง

เทียนจินเว่ยเมื่อก่อนเป็นเพียงพื้นที่นอกสายตา บรรดาขุนนางในราชสำนักย่อมไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่นั่นมันเมื่อก่อน หากตอนนี้ที่นี่มีหวังทง

สายพระเนตรฮ่องเต้มองมาที่นี่ ฮ่องเต้เป็นจุดศูนย์รวม แม้ว่าตอนนี้จะเป็นไทเฮาฉือเซิ่ง มหาอำมาตย์จางและเฝิงกงกงที่กุมอำนาจทุกอย่าง แต่ฮ่องเต้อย่างไรก็คือฮ่องเต้ ตอนนี้ยังทรงพระเยาว์ แต่วันหน้าก็พูดยาก

เมื่อฮ่องเต้ทรงสนพระทัยที่นี่ ยังมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ก็ต้องส่งสายลับมาจับตาที่นี่ไว้ มีเรื่องอันใดแม้เพียงลมพัดยอดหญ้าก็จะได้รายงานกลับไป อย่าได้รอให้ฮ่องเต้น้อยทรงกริ้วในที่ประชุมแล้วมหาอำมาตย์จางกับพวกไม่ยอมถอย แต่ตนเองกลับยังไม่รู้เรื่องที่มาที่ไปอันใด

คนเกือบหมื่นเข้าเมืองล้อมที่ทำการนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร เรื่องใหญ่เช่นนี้สายลับที่ส่งไปหากไม่ตาบอดก็ย่อมเห็น

บรรดาสายลับพอเห็นที่ทำการองครักษ์เสื้อแพรถูกล้อมไว้ ชาวบ้านต่างปาก้อนอิฐก้อนหินเข้าใส่ ทุกคนก็ต่างสรุปไปเองแล้วว่า ชีวิตการเมืองของหวังทงคงจบแต่เพียงเท่านี้แล้ว

พอสรุปเช่นนี้ ก็ย่อมส่งข่าวไปทันที แต่พอลองลอบดูนอกเมืองแล้วก็พบว่ากองกำลังใหญ่กำลังเข้าเมือง ประตูเมืองถูกปิด

แม้ว่าองครักษ์เสื้อแพรจะขอให้ทุกคนอยู่แต่ในบ้าน อย่าออกมา แต่พวกสายลับก็มีวิธีอยู่บ้าง ในเมืองเกิดเรื่องใดขึ้น พวกเขาก็พอจะรู้ได้บ้าง

ทุกคนรู้สึกประหลาดใจกับการที่องครักษ์เสื้อแพรสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ความคิดเห็นที่มีต่อหวังทงยังคงไม่เปลี่ยน

ประตูเมืองเปิด แต่ละสายข่าวก็รีบควบม้าด่วนกลับไปรายงานในเมืองหลวง

************

กองคุมกำลังพลที่เมืองเทียนจินเป็นที่หน่วยงานย่อยของศาลเหอเจียนที่ส่งมาประจำการเพื่อดูแลทุกข์สุขราษฎร ศาลเหอเจียนย่อมเป็นหน่วยงานที่ใต้เท้ากาวรายงานขึ้นไป

เขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าพวกนาวาสุคนธ์เกี่ยวข้องกับลัทธิไตรสุริยัน พอข่าวส่งไปถึง ศาลเหอเจียนยังต้องรายงานขึ้นไปทีละขั้น ซึ่งอาจทำให้การข่าวของที่นี่ช้ากว่าที่อื่นหลายวัน

***********

“องครักษ์เสื้อแพรหวังทงโหดเหี้ยมไร้เมตตา ข่มเหงประชา ประชาต้องลุกฮือ ต้องลงโทษ…”

“เมืองเทียนจินเป็นพื้นที่สำคัญขนถ่ายเสบียง หวังทงไร้สามารถและวู่วาม ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อม…”

“ฝ่าบาทครองราชย์มาได้หกปี ขุนนางคอยช่วยราชกิจ ใต้หล้าสงบสุข แต่ต้องมาเกิดจลาจลใหญ่ที่เทียนจิน เรื่องนี้เป็นความผิดหวังทง…”

“การเพิ่มภาษี ขูดรีดประชา กดขี่ราษฎร การกระทำที่สิ้นหนทางของประชาล้วนเป็นความผิดขุนนาง หวังทงวางอำนาจบาตรใหญ่ก่อให้เกิดหายนะใหญ่ ต้องลงโทษสถานหนัก…”

“ฝ่าบาทครองแผ่นดินด้วยธรรม มิใช่ด้วยเห็นแก่ผลประโยชน์ การแย่งประโยชน์จากประชา ขูดรีดภาษีขนส่ง ตั้งด่านชายทะเลขูดรีดราษฎรผู้บริสุทธิ์ ทำให้เกิดจลาจลในที่สุด คนเลวเช่นหวังทง ความผิดมหันต์ ฝ่าบาทคิดหาประโยชน์นั้นก็นับว่าเป็นเรื่องผิดพลาด โปรดทรงพิจารณา…”

ทุกอย่างนี้เป็นไปตามคาดหมาย หลังจากข่าวชาวบ้านโจมตีที่ทำการองครักษ์เสื้อแพรมาถึงเมืองหลวง ก็ย่อมก่อให้เกิดคลื่นลมพายุโหมกระหน่ำทันที

ขุนนางต่างยื่นฎีกา แม้ว่าไม่มีสถานะเป็นขุนนางก็ยังเขียนบทความโจมตี ไม่ว่าวงสุรา หรือพวกร้องงิ้ว พวกเล่านิทาน ต่างก็เอามาเป็นประเด็นใหม่แสดงกัน เกิดเป็นกระแสอย่างไม่เคยมีมาก่อน

บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักก็ย่อมรู้ข่าวเร็วกว่าขุนนางทั่วไป แต่พวกเขาแต่ละคนยังคงไม่เคลื่อนไหว รอให้การวิพากษ์วิจารณ์ในเมืองเป็นรูปเป็นร่างก่อน รอให้ผู้มีอำนาจเคลื่อนไหวก่อนแล้วค่อยเคลื่อนไหว

เมืองหลวงยื่นฎีกา กองตรวจการและกองเสบียงที่เทียนจินก็ยื่นฎีกาผ่านมาทางสำนักฎีกาส่งมายังสำนักส่วนพระองค์ จบขั้นตอนนี้ รอให้ทุกขั้นตอนเป็นทางการเสร็จสมบูรณ์ก่อน

ฮ่องเต้อาจทรงอยู่ตรงกลาง แต่ขุนนางในราชสำนักได้เตรียมนำเรื่องนี้มาถกกันแล้ว

*************

“บัดซบ!! พวกบัดซบ!!”

ในจวนมหาอำมาตย์จาง จางจวีเจิ้งที่แต่ไรก็สงบนิ่งดังภูผากำลังโมโหใหญ่ สารในมือถูกเขาปาทิ้ง

ข่าวจลาจลในเทียนจินมาถึง อี๋วชีผู้ติดตามคนสนิทของจางจวีเจิ้งเป็นนำข่าวขึ้นมารายงาน อย่าเห็นว่าอี๋วชีเป็นเพียงคนในจวนจางจวีเจิ้ง เพราะบรรดาขุนนางมีระดับที่เห็นเขายังต้องประสานมือคำนับด้วยรอยยิ้ม ทักทายอย่างสุภาพว่า “พี่เจ็ด” เป็นบุคคลที่มีอำนาจไม่น้อย เขารู้ว่านายท่านตนกับขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักไม่ค่อยพอใจหวังทงนัก ทุกคนจึงถือโอกาสนี้ร่วมมือกันพอดี

ไม่คิดเลยว่าจางจวีเจิ้งพออ่านสารก็ถึงกับโมโหหนัก อี๋วชีเดิมยังคิดว่าจะได้รับรางวัล ยามนี้ได้แต่ทิ้งมือข้างกายก้มหน้านิ่ง ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น

จางจวีเจิ้งสบถออกมาสองสามคำ จากนั้นก็สงบนิ่งลง อยู่ๆ ก็ตบโต๊ะดัง ตวาดขึ้นว่า

“อี๋วชี ไปตามหลิวโสวโหย่วมา ตามโจวซืออันกรมอาญามาด้วย!!”

โจวซืออันก็คือเสนาบดีกรมอาญา หลิวโสวโหย่วเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร อี๋วชีรู้สึกงง ในใจคิดว่ายามนี้แล้วต้องตามราชบัณฑิตและขุนนางในคณะเสนาบดีมาถึงจะถูก

แต่เขาก็ไม่กล้ากล่าวมากความ ได้แต่รีบออกไปถ่ายทอดคำสั่ง

แม้ว่าเป็นขุนนางเหมือนกัน หนึ่งเป็นเสนาบดีในหกกรม หนึ่งเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร สถานะใหญ่ทั้งสองคน แต่ต้องถูกจางจวีเจิ้งเรียกตัวมากพบราวกับบ่าวรับใช้ในจวน

“มีม้าเร็วจากเทียนจินมาส่งข่าว พวกเจ้าสองคนอ่านก่อน อ่านจบแล้วค่อยคุยกัน”

อี๋วชีรีบส่งเอกสารให้ หลิวโสวโหย่วกับโจวซืออันรีบรับไปอ่าน พออ่านไปได้ครู่หนึ่งก็พอเดาเรื่องได้คร่าวๆ สบตากันไปมา หลิวโสวโหย่วอย่างไรก็สนิทกับจางจวีเจิ้งมากกว่า จึงได้เอ่ยขึ้นก่อนอย่างระมัดระวังว่า

“ใต้เท้า หวังทงทำเช่นนี้ก็ช่างไร้ความ….”

“ข้าถามเจ้า เมืองเทียนจินเกิดเหตุครั้งนี้ เจ้ามีส่วนร่วมไหม?”

ไม่คาดว่าจางจวีเจิ้งจะถามคำถามนี้ขึ้นมา หลิวโสวโหย่วสั่นเทิ้มไปทั้งตัวรีบแก้ตัวว่า

“ใต้เท้า ข้าน้อยไหนเลยจะบังอาจทำเรื่องเช่นนี้ แม้ว่าข้าจะใจกล้าเพียงใดก็มิกล้า ขอใต้เท้าโปรดพิจารณาด้วย”

อารมณ์จางจวีเจิ้งจึงได้นิ่งลง สั่งการเสียงเย็นว่า

“ใต้เท้าหลิว ใต้เท้าโจว เรื่องเมืองเทียนจินนี้ ท่านสองคนต้องตามสืบให้ถึงที่สุด เป็นผู้ใดเคลื่อนไหว มีผู้ใดบงการ เกิดจากสาเหตุอันใด ต้องส่งรายงานให้ข้าภายในสิบวัน”

เห็นสีหน้าทั้งสองยังคงงงอยู่ อารมณ์เดือดของจางจวีเจิ้งก็เย็นลง เอ่ยว่า

“ข้าไม่ถูกชะตากับเจ้าหวังทงนั่น แต่เพื่อแผ่นดินราชวงศ์หมิง เพื่อฝ่าบาท ย่อมมิอาจเห็นแก่ความแค้นส่วนตัว เรื่องชาวบ้านเมืองเทียนจินล้อมโจมตีที่ทำการทางการไม่ว่าด้วยเหตุใด ก็ล้วนเป็นพวกกบฏ ไม่ว่าหวังทงทำอะไร เขาก็ถือเป็นขุนนางในพระองค์ เขาเป็นขุนนางราชวงศ์หมิง หากมีความอัดอั้นไม่พอใจใด ก็ควรฟ้องร้องขึ้นมา แต่กลับไปล้อมโจมตีที่ทำการ ข่มขู่ขุนนาง นี่มันใช้ได้ที่ไหนกัน!!?”

เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ หลิวโสวโหย่วและโจวซืออันก็เริ่มเข้าใจบ้างแล้ว พอกล่าวถึงตรงนี้จางจวีเจิ้งก็มีน้ำเสียงสูงขึ้นอีก

“หากไม่พอใจก็ไปล้อมที่ทำการ เช่นนั้นแผ่นดินจะยังมีกฏหมายหรือ จะยังมีธรรมเนียมอยู่อีกหรือ วันนี้หวังทงต้องโดนเช่นนี้ วันหน้าหลี่ทง หลิวทงอะไรจะโดนด้วยหรือไม่ ขุนนางราชสำนักจะปฏิบัติงานอย่างไร!! ต้องสอบสวนให้ถึงที่สุด!!”

หลิวโสวโหย่วกับโจวซืออันต่างคำนับรับคำสั่ง กล่าวขึ้นพร้อมกันว่า

“ใต้เท้าเห็นถูกต้องแล้ว ข้าน้อยจะรีบไปดำเนินการ”

หลังจากจางจวีเจิ้งพูดจบก็ส่งแขก สองคนรับคำสั่งออกไป จางจวีเจิ้งย่อมไม่ไปส่งด้วยตนเอง ตามไปส่งย่อมเป็นอี๋วชี

พอออกจากห้องไป หลิวโสวโหย่วยังคงรู้สึกสับสน โจวซืออันเองก็สับสนไม่แพ้กัน เขาสองคนไม่ค่อยได้ไปมาสู่กัน ย่อมไม่อาจเปิดประเด็นถกเถียงกันต่อได้

แต่พอหันไปเห็นอี๋วชี เห็นสีหน้าคนสนิทใต้เท้าจางก็สับสนเช่นกัน หลิวโสวโหย่วมักเข้าออกจวนนี้อยู่บ่อยครั้ง สองคนย่อมคุ้นเคย อดไม่ได้ที่จะกระซิบถามว่า

“อี๋วชี ความผิดหวังทงที่เทียนจินครานี้ใหญ่หลวงนัก เป็นผลดีกับใต้เท้าไม่ใช่หรือ เหตุใดใต้เท้าจึงได้…”

“ใต้เท้าหลิว ยังจำเรื่องศาลลู่อันที่เกิดเรื่องตอนเดือนหกปีนี้ได้หรือไม่?”

“ก็เรื่องเก็บตรวจสอบการถือครองที่ดินเพื่อภาษีที่นาไม่ใช่หรือ ที่สอบสวนมาได้ว่าบันทึกตรวจสอบเป็นเท็จนั่น…”

หลิวโสวโหย่วกระจ่างในทันที โจวซืออันข้างๆ กำลังตั้งใจฟัง เขาเป็นเสนาบดีกรมอาญา เป็นหัวหน้ากองอาญาในปีนั้น ย่อมได้ยินคดีพวกนี้มาบ้าง

มณฑลซานซีตรวจสอบพบมีการแอบซ่อนที่นาสี่หมื่นหมู่เอาไว้ ศาลทุกแห่งในมณฑลซานซีไม่อาจปัดความรับผิดชอบ ที่ดินมากมายเพียงนี้ถูกตรวจพบ ไม่รู้ว่าเกี่ยวพันกับคนมากมายสักเท่าไร ความแค้นของการตัดเส้นทางเงินทองเทียบได้กับการสังหารเชือดเนื้อเถือหนังเลยทีเดียว พวกนั้นย่อมไม่เลิกรา จึงพากันไปก่อเรื่องที่ศาลลู่อัน

หลายพันคนล้อมโจมตีศาล นายอำเภอและคนสนิทต้องลอดช่องสุนัขหนี หลังเกิดเรื่องสอบสวนพบว่าที่ดินพัวกันกันยุ่งเหยิงไปหมด จึงได้แต่ปล่อยให้แล้วๆ กันไป

สาเหตุตอนนั้นก็คือการตรวจสอบที่ดินเป็นการแย่งประโยชน์ราษฎร ขุนนางเกี่ยวพันทุกระดับ เมืองหลวงเองกองตรวจสอบหลายนายเกี่ยวข้องด้วย กล่าวกันว่าใต้หล้าและประชาล้วนเป็นของฝ่าบาท ที่ดินย่อมเช่นกัน แม้ว่าถูกจางจวีเจิ้งเก็บเรื่องไว้ แต่ก็รู้สึกคั่งแค้นยิ่ง

เรื่องที่เกิดที่เทียนจินนี้อาจกล่าวได้ว่าเหมือนกับขุดความแค้นที่ฝังเอาไว้ขึ้นมา แตะต้องขีดความอดทนขั้นสุดท้ายของจางจวีเจิ้ง

จางจวีเจิ้งเป็นขุนนางมีอำนาจ ไม่อาจยอมให้ผู้ใดมาสั่นคลอนสถานะได้ แต่เพื่อประโยชน์แผ่นดิน เพื่อรักษาขุนนางภักดีของแผ่นดินไว้ ประชาล้อมที่ทำการ ก็เท่ากับแสดงอำนาจกับทางการ ท้าทายอำนาจทางการ สั่นคลอนความสงบสุข มิน่าจึงได้โมโหเช่นนี้

************

เทียบกับข่าวที่ส่งมาถึงมือจางจวีเจิ้งแล้ว ข่าวในมือเฝิงเป่ากลับละเอียดกว่ามาก

เซี่ยงเหยียนเท่ากับเป็นสายลับ ‘ในที่แจ้ง’ เฝิงโหย่วหนิงยังจัดคนไม่น้อยแฝงกายอยู่ที่นั่น ข่าวด่วนสองแหล่งย่อมมาถึงมือเฝิงเป่าแทบจะในเวลาเดียวกัน

เฝิงโหย่วหนิงแห่งสำนักบูรพากำลังลอบมองสีหน้าเฝิงเป่า ตอนเริ่มต้นสีหน้ายังเคร่งเครียด สุดท้ายกลับแค่นยิ้ม

“หวังทงส่งเงินทองเข้าวัง แต่มิได้ขูดรีดพื้นที่ ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ประชา ไม่ได้เพิ่มเงิน ไม่ได้บีบคั้น ทำไมต้องก่อจลาจล ไม่มีคนยุยงส่งเสริม ประชาที่ไหนจะกล้าบุกเข้าเมืองมาก่อเรื่อง ทำไมกัน ตลอดเส้นทาง หน่วยงานแต่ละแห่งจึงได้วางเฉย ต้องสอบสวนมาให้กระจ่าง ไปจัดการมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!