Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 32

ตอนที่ 32 ภาพอักษรพู่กันแคบสองเชียะ

ผู้อาวุโสดื่มไปสองสามคำก็ลุกขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“หวังทง เจ้าเป็นลูกหลานขององครักษ์เสื้อแพร รู้จักรุกรู้จักถอย อีกทั้งยังมีความมุ่งมั่น และยังอ่านออกเขียนได้ รู้จักวางแผนงาน เจ้ามิใช่ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในสระน้ำ หากเจ้าเป็นผู้รอวันกางปีกโบยบิน ‘ทำการรอบคอบ’ สี่พยางค์นี้จำไว้ให้มั่น”

“ผู้อาวุโสสอนสั่ง ข้าน้อยจักจดจำไว้”

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกล่าวประโยคนี้เพื่ออะไร แต่หวังทงยังตอบรับอย่างสุภาพ ผู้อาวุโสผู้นั้นเดินไปถึงประตูก็หยุด ตบหน้าผากยิ้มกล่าวว่า

“ถึงกับลืมจ่ายเงิน เฝิงหู่เจ้าเอามาด้วยหรือไม่?”

ชายติดตามร่างสูงล้วงมือลงไปในอกเสื้อ ผู้อาวุโสก็โบกมือก่อนจะหันมากล่าวกับหวังทงว่า

“ได้มาเยือนที่นี่สักครา เช่นนั้นก็เขียนอักษรมอบให้แทนละกัน เอาพู่กันกับหมึกมา!”

ตั้งแต่ผู้อาวุโสผู้นี้เข้ามาในหอเลิศรส หวังทงก็ถูกอีกฝ่ายออกคำสั่งให้ทำนี่ทำนั่น ถูกควบคุมไปทั้งหมด นี่เป็นอำนาจบารมีโดยแท้

คำกล่าวว่าผู้มีอำนาจนานวันย่อมเปล่งบารมี มีรังสีแห่งอำนาจเปล่งออกจากตัวเอง ก็คงเป็นเช่นนี้ หวังทงในยุคปัจจุบันเป็นชาวบ้านธรรมดา มาในสมัยนี้ก็เป็นพลทหารเล็กๆ ต่อหน้าบุคคลที่ยิ่งใหญ่ระดับนี้จึงรู้สึกว่าถูกข่มไว้จริงๆ เมื่อครู่ผู้อาวุโสผู้นั้นกำลังออกจากร้านไป จะไปทันคิดเรื่องเก็บเงินอีกฝ่ายได้อย่างไร

คนผู้นี้ต้องการเขียนพู่กัน ปฏิกิริยาของหวังทงก็ฉับไว แม้ว่าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด แต่คนใหญ่โตเช่นนี้จะเขียนพู่กันให้กับทางร้าน ก็จะเป็นของประจำร้าน หากมีพวกนักเลงหัวไม้ที่ไหนมาก่อเรื่อง พอเห็นภาพอักษรพู่กันนี้ จะต้องยอมล่าถอยไปอย่างแน่นอน

พู่กัน แท่นฝนหมึก กระดาษและหมึกดำ หอเลิศรสและในบ้านหวังทงเองนั้นไม่มี ร้านค้าบนถนนทักษิณนั้นก็ไม่เปิดร้าน เถ้าแก่เจ้าที่ร้านสินค้าแดนใต้นั่นเป็นชาวปักกิ่งมาหลายชั่วอายุคน ร้านน่าจะยังเปิดขายสินค้าฉลองปีใหม่ที่ประณีตจากทางใต้อยู่

ห่างกันไม่ไกลนัก หวังทงจึงวิ่งตรงไปที่ร้าน พอเข้าไปในร้านกลับไม่เห็นใครสักคน หน้าโต๊ะเก็บเงินว่างเปล่าไร้ผู้คน น่าแปลกใจอย่างที่สุด

จึงได้ตะโกนเรียกไปสองคำ ไม่นานเถ้าแก่เจ้าก็วิ่งออกมา พอบอกเล่าเรื่องราวแล้ว เถ้าแก่เจ้าก็รีบกลับเข้าไปหยิบให้ หากหวังทงกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องนัก เถ้าแก่เจ้าปกติท่าทางฉลาดหลักแหลม แต่ท่าทางที่เข้าๆ ออกๆ เมื่อสักครู่นี้ดูล่องลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ต่างจากปกติยิ่งนัก

แต่ละคนล้วนมีเรื่องราวลำบากใจ เรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายก็ไม่อาจถามให้มากความ หวังทงรับพู่กัน แท่นฝนหมึก กระดาษและหมึกดำมาแล้วก็กล่าวขอบคุณ ในร้านยังมีคนรออยู่

“พู่กัน หมึก กระดาษไม่ดีนัก แต่ก็พอใช้เขียนได้อยู่!”

ผู้อาวุโสกางกระดาษลงบนโต๊ะกินข้าว หลังฝนหมึกเสร็จก็ลงมือเขียนทันที จากนั้นก็หยิบเอาตราประทับออกมากดลงไปที่มุมหนึ่ง ยังไม่ทันรอให้หวังทงเอ่ยขอบคุณ ก็โบกมือออกจากร้านไป

ในเวลาที่ฉุกละหุกนี้ไม่มีพู่กันด้ามใหญ่สำหรับเขียนอักษรขนาดใหญ่ ได้แต่ใช้พู่กันด้ามเล็กเขียนอักษรขนาดเล็กกว้างเพียงสองเชียะเท่านั้น เขียนเพียงสามคำ ‘หอเสิศรส’ หากคำลงท้ายนั้นหวังทงเองก็มองไม่ชัดเพราะยืนอยู่ด้านข้าง พอผู้อาวุโสจากไป จึงได้หันกลับมามองใกล้ๆ อย่างละเอียดอีกที

‘ขันทีเฝิงเป่า นามรองซวงหลิน’ พร้อมตราประทับอักษรสีแดงริมกระดาษที่ไม่ใช่แบบอักษรที่ใช้ปัจจุบัน จึงไม่สามารถอ่านออกในทันที ‘เฝิง เป่า ประทับ’ สามคำ

เฝิงเป่าคือผู้ใด? หวังทงอึ้งไป ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ ในชั่วเวลาพริบตาเดียว หวังทงรู้สึกว่าตนเองเหมือนกับขันทีหูผู้นั้น รู้สึกสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ร่างกายทุกส่วนสั่นสะท้าน

เฝิงเป่าคือใคร ค็็คือมหาขันทีควบตำแหน่งหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์กับหัวหน้าขันทีสำนักอาชาหลวง และยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักบูรพา เป็นขันทีใกล้ชิดของอดีตฮ่องเต้หลงชิ่งที่ทรงฝากฝังงานบริหารแผ่นดินก่อนสิ้นพระชนม์ ปัจจุบันเป็นพันธมิตรกับมหาอำมาตย์ใต้เท้าจางจวีเจิ้ง แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ยังต้องเรียกขานอย่างเกรงอกเกรงใจว่ายามนี้ ‘เฝิงต้าปั้น[1]’ เป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจอย่างที่สุดบนแผ่นดินราชวงศ์หมิง

บุคคลระดับนี้ ทำการสิ่งใดก็ล้วนเป็นเพราะความห่วงใยใต้หล้า เพียงวาจาประโยคเดียวก็จะเป็นนโยบายประเทศ บุคคลเช่นนี้มาหอเลิศรสเล็กๆ แห่งนี้ทำไมกัน!

หรือว่าจะผ่านมาทางนี้ หวังทงไม่คิดว่าบุคคลยิ่งใหญ่ระดับนี้จะมาใส่ใจจนผ่านมาที่ร้านเล็กๆ ในตรอกซอยเช่นนี้ หรือว่า…หวังทงคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ตามมาด้วยการส่ายหน้าปฏิเสธ ความเป็นไปได้นี้เกรงว่าจะจินตนาการสูงเกินไป

หากก็สงสัยอยู่ไม่นานนัก หวังทงล้วงเงินสิบตำลึงออกมา เรียกพ่อครัวคนหนึ่งในร้านมาหาและสั่งว่า

“ไปหาช่างลงกาวภาพม้วนมา ให้เอาอุปกรณ์ขึ้นม้วนภาพมาปิดกาวที่ร้านเรา ราคาเท่าไรตกลงกันได้ แต่ต้องเร่งวันนี้ก็ควรมาเลย แล้วหาช่างทำป้ายไม้มาด้วย ต้องมาวันนี้เช่นกัน”

สิบตำลึงนับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ แต่การเร่งลงกาวขึ้นม้วนภาพ ทำเป็นป้ายให้เสร็จ กำไรที่จะได้นั้นสิบตำลึงนี้ยังเทียบไม่ได้

หากการที่จะมีคนแอบอ้างเป็นเฝิงเป่าหรือไม่ อันดับแรกท่าทางมีอำนาจวาสนาของผู้อาวุโสผู้นั้น อันดับสองอ้างเป็นหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์และผู้บัญชาการสำนักบูรพา คงเบื่อชีวิตตนเองกับคนในครอบครัวแล้วกระมัง?

พ่อครัวที่ยังคงงงอยู่บางคนถูกหวังทงไล่ให้ออกไปหาช่างขึ้นภาพม้วน หวังทงกลับนั่งอยู่ที่มุมร้าน แม้ว่าจะก้าวเดินอย่างรอบคอบ แต่ใจก็รู้สึกหนักหน่วงยิ่งนัก

การที่เฝิงเป่าปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหวังของหวังทง ตนเองเป็นเพียงแค่พลทหารธรรมดาคนหนึ่ง ขุนนางอาวุโสคนสำคัญที่ดูแลหนุนนำประเทศกลับปรากฏตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว สถานะที่แตกต่างกันเช่นนี้ ไหนจะการกระทำที่แปลกประหลาดของเฝิงเป่าอีก ก็ยิ่งทำให้ใจเต้นแรง คาดเดาเจตนาที่มามิได้

สำนักส่วนพระองค์เป็นสำนักขันทีใหญ่สุดที่ปกครองสำนักขันทีทั้งหมด หัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์จึงเป็นขันทีอันดับหนึ่งในบรรดาขันทีทั้งหมด แต่การมาเยือนหอเลิศรสของเฝิงเป่าย่อมมิใช่มาเพราะการเชิญชวนของขันทีระดับล่างที่มากินข้าวกันแน่นอน ขันทีหูผู้นั้นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ หวังทงคิดไปคิดมา ทั้งหมดต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าเด็กอ้วนผู้นั้น….

หวังทงนั่งคิดตรึกตรองอยู่ที่มุมร้าน ทำไมเฝิงเป่าจึงกล่าวเน้นว่าตนรู้จักอักษรนี้ คิดถึงตรงนี้หวังทงก็ตบหน้าผากทีหนึ่ง นี่มันชัดเจนมาก

กององครักษ์เสื้อแพรส่วนใหญ่มีผู้สืบทอดต่อเป็นลูกหลาน ไม่มีการสอบคัดเลือก ที่แอบมามั่วกินมั่วอยู่ก็มาก ไม่เรียนหนังสือ ไม่ฝึกวิทยายุทธ ลูกหลานองครักษ์เสื้อแพรที่รู้หนังสือก็มีน้อยมากๆ ราวกับเม็ดทรายในท้องสมุทร ถึงกับมีเรื่องตลกเล่าว่าองครักษ์เสื้อแพรออกไปถ่ายทอดคำสั่งนอกเมืองหลวง กลับไม่รู้ตัวอักษรสักตัวบนคำสั่งนั้น ก่อนออกเดินทางต้องขอให้เจ้าหน้าที่อักษรกองบัญชาการบอกเล่าเนื้อหาให้ท่องจำ จึงกล้าออกจากเมืองหลวงไปปฏิบัติภารกิจ

หวังลี่ไม่รู้หนังสือ ตระกูลหวังก็เป็นลูกหลานองครักษ์เสื้อแพรปกติทั่วไป จะมีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร ไปเรียนมาจากที่ไหน หากอธิบายไม่ชัดเจนก็จะเป็นข้อน่าสงสัย

ใกล้จะเที่ยงแล้ว ขันทีและองครักษ์ในวังก็ทยอยกันมา โต๊ะที่วางลายพู่กันของเฝิงเป่าก็ยังอยู่ที่เดิม ที่ร้านของหวังทง พวกเขานับว่าสุภาพอยู่ บางคนเห็นตัวอักษรพวกนั้นแล้วก็หัวเราะคิกคักกับคนข้างๆ ซุบซิบกัน แม้เป็นขันทีก็ใช่ว่าจะรู้หนังสือทุกคน มีขันทีน้อยผู้หนึ่งหัวเราะจนถูกคนผลักออกมา ก็ก้มตัวอ่านขึ้นว่า

“หอเลิศรส อักษรนี่เขียนได้ไม่เลว ลงท้ายว่า ขันทีซวง…”

พออ่านถึงตรงนี้ ก็ดูเหมือนมีอะไรมาอุดปากไว้จนใบ้กิน พูดอะไรไม่ออกอีกเลย ขันทีน้อยที่รู้หนังสือผู้นี้ใบหน้าพลันซีดขาว มองไปยังหวังทงที่นั่งอยู่มุมร้าน

หวังทงเงยหน้ามองมา ก็เห็นความเงียบผิดปกติในร้าน ลูกค้าก็ไม่น้อย แต่ขันทีและองครักษ์ในวังกินข้าวกันไปเงียบๆ

บางทีมีคนที่กินเสร็จแล้วยังจัดชามจัดตะเกียบให้เรียบร้อยก่อนจ่ายเงินจากไปอย่างสุภาพเกรงใจ มีบ้างที่ลุกขึ้นมองมาทางหวังทง สบตากับหวังทงก็รีบก้มตัวโค้งคำนับ

……………..

[1] ต้าปั้น เป็นคำเรียกขานที่ฮ่องเต้ใช้เรียกขันทีอาวุโสคนสนิทในสมัยราชวงศ์หมิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!