Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 325

ตอนที่ 325 เงินก้อนจินฮวา โอรสสวรรค์อภิเษก

เดิมคิดว่าจะสร้างความวุ่นวายในเมืองเทียนจิน แต่ไม่นานก็สงบลงได้เช่นนี้

นายกองตรวจการและขันทีดูแลเสบียงที่มารับตำแหน่งใหม่ รวมทั้งขุนพลประจำการที่มาใหม่ ต่างก็พอเข้าใจว่ารุ่นก่อนถูกล้มลงได้อย่างไร หากไม่ขัดแย้งราวน้ำกับน้ำมันกับนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร ไหนเลยจะต้องประสบกับการสูญเสียเช่นนี้ได้

เจ้าเป็นคนของมหาอำมาตย์ ข้าเป็นคนของเฝิงกงกง แต่หวังทงเป็นสหายฮ่องเต้ เป็นผู้ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยที่สุดยามนี้ ฮ่องเต้เยาว์วัยกับขุนนางเยาว์วัย วันหน้าไม่รู้ว่าจะมีอนาคตถึงเพียงใด!

มีความเข้าใจนี้และเพิ่งมารับตำแหน่งใหม่ ตอนมาถึงก็ย่อมระมัดระวังตัวให้มาก ทุกอย่างรอบคอบให้ถึงที่สุด

การก่อสร้างสองฝั่งแม่น้ำทะเลดำเนินไปอย่างรวดเร็ว อีกราวครึ่งเดือนหิมะจะกลายเป็นน้ำแข็ง ในตอนนั้นการก่อสร้างจะต้องหยุดชะงักลง อย่างมากก็ทำได้แค่ขุดดินโคลนริมแม่น้ำทะเลและริมคลองส่งน้ำเท่านั้น

แต่ในเวลานี้หากออกเดินทางสู่แม่น้ำทะเล ก็จะเห็นว่าโกดังสินค้าและร้านค้าสองข้างทางเรียงตัวกันเอย่างเป็นระเบียบ

สินค้าบนเรือทะเลถูกขนถ่ายลงเรือเล็กไปวางซ้อนกันในโกดังและลานกว้างด้านหน้า ค้าขายแลกเปลี่ยนกับร้านค้าที่ใกล้ที่สุด จากนั้นที่เหลือค่อยขายต่อ

เส้นทางการขนส่งสั้นและค่าใช้จ่ายในการขนสินค้าต่ำ แม้ว่าจะเก็บภาษีและมีค่าป้ายสงบสุข แต่ก็ไม่เสียเวลา ทำงานได้รวดเร็วง่ายดาย

เงินที่ต้องจ่ายไปทั่วไร้เหตุผลพวกนั้นก็ไม่ต้องแล้ว ประหยัดเวลาไปอีก พ่อค้าทะเลคิดบัญชีดูแล้วก็เห็นว่าเหมือนเมื่อก่อนไม่เก็บภาษี แต่ที่ต้องจ่ายกลับไปสูงอยู่ที่ค่าขนย้าย ค่าใช้จ่ายจิปาถะ และยังไม่อาจกำหนดเวลาขนสินค้าที่แน่นอนได้อีก ดีกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไร

สำหรับพ่อค้าที่เปิดร้านค้า พวกเขาซื้อสินค้าราคาถูกจากทางใต้และสินค้าจากต่างประเทศ ร้านสาขาพวกเขาสามารถขนส่งโดยตรงผ่านแม่น้ำทะเลและคลองส่งน้ำ พ่อค้าท้องถิ่นยังได้ประโยชน์จากพื้นที่ มีพ่อค้าเหนือใต้มาซื้อของ ก็นับว่าสะดวกยิ่ง

ที่ริมแม่น้ำทะเล ถึงแม้ว่าร้านจะไม่ใช่ของตน แต่ค่าเช่าก็ไม่สูงมาก ทุกอย่างก็สะดวกดี โกดังให้พักของก็มี แรงงานขนสินค้าก็มี เจ้าหน้าที่ถือดาบคอยลาดตระเวน หากจ่ายภาษีตรงเวลา พวกเขาก็ไม่มารบกวน

ทุกฝ่ายต่างยินดีปรีดา ยกเว้นพวกนาวาสุคนธ์ที่ทำงานใช้แรงงานเป็นวัวเป็นม้าอยู่

**********

หลังจากฟานต๋าถูกริบทรัพย์ รายการทรัพย์สินเงินทองเกือบ 160,000 ตำลึง ว่านเต้ามีถึง 120,000 ตำลึงเงิน ลงบัญชีไว้ชัดเจน หวังทงนำส่งไปยังเมืองหลวงเข้าคลังหลวงทั้งหมด

คำนวณดูแล้ว เงินก้อนจินฮวาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น หวังทงดำเนินการได้มาถึงหกส่วนแล้ว แต่บรรดาขุนนางเมืองหลวงกลับแอบหารือกันว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป มีเงินเข้าจากการริบทรัพย์ขุนนางเช่นนี้อีก จะต้องหยุดปฏิบัติการนี้ เพราะหากทำการริบทรัพย์ขุนนางเข้าคลังหลวงต่อไป ใช่ว่าใต้หล้าจะต้องวุ่นวายหรือ

นอกจากนี้ในใจทุกคนยังแอบซ่อนความนัยที่ไม่อาจพูดออกมาได้ว่า หากตรวจสอบมาเจอตนเองจะทำเช่นไร หากตรวจสอบไปเจอญาติพี่น้องตนจะทำเช่นไร ไม่อาจปล่อยให้เกิดกระแสเช่นนี้ได้

**********

เรือบรรทุกเปล่ามากกว่าหนึ่งร้อยลำหวังทงจับมา สอบถามบรรดาคนงานบนเรือและหัวหน้าเรือแล้วก็ไม่ได้ความอันใดเพิ่ม ถามไม่ได้อะไรทั้งสิ้น

คนงานบนเรือต่างบอกว่าตนออกเดินเรือตามคำสั่งไปตามเส้นทางน้ำแล้วก็เอาของในห่อขนลงไป จากนั้นก็บรรทุกของใหม่ขึ้นมา เรื่องอื่นไม่รู้ทั้งสิ้น

ห่อเกลือและห่อเสบียงน้ำหนักและรูปร่างดูแล้วย่อมต่างกัน แต่คนงานบนเรือกลับปากแข็งพูดเหมือนเดิม หากพวกเขาก็รับคำสั่งทำงานจริง คนถามก็ไม่รู้จะทำเช่นไร

ใคร ๆ ก็รู้ว่าการลักลอบค้าเกลือนั้นใครๆ ก็ทำกัน แต่ไม่สามารถนำขึ้นรายงานทางการเปิดเผยได้ เรือมากกว่าร้อยลำลักลอบค้าเกลือ ความผิดนี้เกรงว่าไม่ใช่แค่ตัดหัวก็จะจบเรื่องได้

องครักษ์เสื้อแพรสอบความไม่ถึงสามวัน หวังทงก็ได้รับเงินภาษีมาจากทุกทางเรียบร้อย ฟานต๋าเสียสติและว่านเต้าฆ่าตัวตายนั้นทำให้บรรดาคนของกองตรวจการและกรมขนส่งกรมอากรตกใจอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าพวกนั้นใจกล้ามาจากไหนจึงได้กล้าไปที่ทำการองครักษ์เสื้อแพรหาหวังทง

บอกว่าแม่น้ำทางเหนือใกล้จะต้องปิดเพราะเป็นน้ำแข็งแล้ว ต้องให้เรือรีบกลับทางใต้ ไม่เช่นนั้นจะเสียเวลาขนส่งเสบียงมาตอนเหนือในปีหน้า แม้แต่การขนส่งต่อไปเขตปกครองเหนือก็พลอยล่าช้าไปด้วย

แต่เมื่อได้รับจดหมายลับจากจางเฉิงและคนของแม่ทัพชีจี้กวงที่จี้โจวมาด้วยตนเอง หวังทงก็ได้แต่ปล่อยพวกนั้นกลับไป เรื่องภาษีเกลือ มีคนรู้ไม่มากนัก และก็ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับขุนนางมากมายเพียงใด เงินทองมากมาย พัวพันลึกซึ้งหลายระดับ

พูดไปแล้วก็ไร้หนทางจริงๆ ทางหวังทงนั้นจึงไม่อาจสอบเรื่องลอบค้าเกลือต่อ แต่การที่ทางเมืองหลวงตำหนิหวังทงมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องเปิดทะเลและเก็บภาษีสองเรื่องนี้ของหวังทง ช่วงนี้กลับหยุดมือ ก็ไม่รู้ว่าเป็นการให้รางวัลตอบแทนหรืออย่างไร

ทรัพย์สินของครอบครัวของฟานต๋าและว่านเต้ารวมกันแล้วเกือบ 300,000 ตำลึง ไม่รู้ว่าหลี่ต้าเหมิ่งมีสมบัติเท่าไร แต่ลูกชายสองคนของหลี่ต้าเหมิ่งล้วนเป็นพวกสำมะเลเทเมา ชอบเที่ยวผู้หญิง ไม่ได้รับการถ่ายทอดการต่อสู้จากบิดาเลยแม้แต่น้อย

เมื่อคำสั่งถูกปลดมาถึง ลูกชายสองคนก็ให้ทหารรับใช้ในจวนออก คนพวกนี้ปีหนึ่งต้องใช้เงินเลี้ยงดูไม่น้อย ต้องใช้เงินใช้ทองมากเกินไป

ไม่มีความคิดจะแก้แค้น และก็ไม่มีความสามารถจะแก้แค้น จึงไม่มีภาวะคุกคามต่อหวังทง หวังทงเองก็ขี้เกียจจะสนใจ และก็ไม่คิดจะรวบเอาเงินทองจากตระกูลนี้

แต่อย่างไรก็ตามทรัพย์สินของคนสามคนนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 500,000 ตำลึงหรือมากกว่านั้น จำนวนน่าตกใจไม่น้อย ทั้งสามอยู่เทียนจินมาเกือบห้าปี การลอบค้าเกลือขบวนการใหญ่เช่นนี้ ยังมีผลกำไรจากเรือทะเล ได้เงินทองมาเท่าไรกัน คงไม่ใช่แค่ 500,000 ตำลึงเท่านี้ เพราะน่ายังมีเงินที่ได้จากการเปิดทางให้เรื่องพวกนี้และให้การปกป้องทั้งในที่ลับและที่แจ้ง หัวหน้าใหญ่จึงจะยิ่งน่าตกใจ เพียงแต่เงินมากมายเพียงนี้ไม่รู้ว่าตกอยู่ในมือผู้ใดกัน

เช่นนี้ เงินก้อนมหาศาลนี้ตกอยู่ในมือผู้ใด นำไปเพื่อการใด คิดแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจนัก

ที่น่าสงสัยก็มีสามแห่ง ร้านจิ้นเหอ ร้านทงไห่และร้านหย่งเซิ่ง ร้านจิ้นเหอถูกปืนใหญ่ถล่มไปได้เจ็ดวัน ร้านและของในร้านก็ถูกเทขายในราคาต่ำกว่าท้องตลาด เลิกจ้างคนงานทั้งหมด คนที่ร้านใหญ่ส่งมาก็ถูกเรียกตัวกลับ จึงตัดร้านนี้ออก เหลือร้านทงไห่กับหย่งเซิ่งสองร้านใหญ่

ร้านทงไห่ก่อนนี้ปิดร้านไปก่อนพวกนาวาสุคนธ์จะก่อการ ส่วนร้านหย่งเซิ่งเปิดร้านมาเป็นปกติจนถึงตอนนี้ และยังไปจองพื้นที่ค้าขายสองฝั่งแม่น้ำทะเลตำแหน่งดีสองสามตำแหน่งอีกด้วย

พูดไปแล้ว ร้านทงไห่น่าสงสัยที่สุด แต่คนจากไปทิ้งร้านให้ร้าง จึงสืบอันใดไม่ได้ ร้านหย่งเซิ่งก็ไม่รู้จะสืบอย่างไร เพราะเบื้องหลังร้านหย่งเซิ่งนั้นคือ หย่งเซิ่งป๋อ นามว่าฟางเชียนหลี่

บรรพบุรุษของหย่งเซิ่งป๋อฟางเชียนหลี่นั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นโหว ต่อมาตั้งแต่รุ่นปู่ก็มิได้สืบบรรดาศักดิ์ต่อ เขาเองเป็นขุนนางที่อาศัยดาบฟาดฟันกับพวกนอกด่านที่เมืองต้าทงจนได้ตำแหน่งขุนนางมา

อย่างไรก็ตามตำแหน่งของหย่งเซิ่งป๋อนั้นไม่ได้มาจากผลงานด้านการรบ แต่เป็นเพราะหลานสาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องลู่ อย่างไรก็ต้องได้อวยบรรดาศักดิ์ จากนั้นก็พักผ่อนอยู่แต่บ้าน

ในวังแต่งสะใภ้ก็ต้องเลือกจากตระกูลบัณฑิตร่ำเรียน นี่เป็นคำสั่งของต้นตระกูลบรรพชน แต่ไทเฮาฉือเซิ่งทรงรักโอรสองค์เล็กมาก จึงได้หาคนที่อย่างน้อยก็ช่วยประคองได้ นับว่าต้องเฟ้นหามากมายจนเลือกผู้ที่ต่อสู้จนได้ตำแหน่งขุนนางมา และยังมีหลานสาวที่ไม่เลวอย่างฟางเชียนหลี่

**********

สำหรับหวังทง ในเมื่อเกี่ยวโยงกับอ๋องลู่ ก็ต้องระวังให้มากยิ่งขึ้น เป็นคนในวัง และยังเป็นพี่น้องกับว่านลี่ ตนเองกล่าวผิดไปเพียงนิดก็คงได้สูญสิ้นแม้ชีวิต

ยิ่งไปกว่านั้นหวังทงยังเพียงแค่คาดเดา ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน คิดไปคิดมา หวังทงจึงยังไม่ได้เขียนสิ่งเหล่านี้ในจดหมายลับ

ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง ว่านลี่กำลังจะแต่งงาน…

***********

ฮ่องเต้อภิเษกสมรส เป็นงานใหญ่ที่สุดของใต้หล้า แต่ต้นฤดูหนาวในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 6 ทุกคนต่างไม่รู้สึกอันใดในเรื่องนี้

ตอนนี้ผู้กุมอำนาจแผ่นดินหมิงตัวจริงก็คือไทเฮาฉือเซิ่ง มหาอำมาตย์จาง และเฝิงเป่า ว่านลี่นั้นเป็นคนเดียวที่ไม่ใช่ แม้แต่คนสนิทที่เทียนจินยังทรงปกป้องอย่างยากลำบาก ฮ่องเต้ที่แม้แต่ในราชสำนักยังต้องมองสีหน้ามหาอำมาตย์ย่อมไม่อาจคิดการใดด้วยพระองค์เองได้

หากฉากนอกนั้นอย่างไรก็ต้องสมพระเกียรติ กรมพิธีการ กรมอากรและในวังทั้ง 24 หน่วยงานก็ต้องเตรียมความพร้อมเตรียมพิธีการต่างๆ ไว้ให้แล้วเสร็จ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และคัดเลือกคนทำหน้าที่ดำเนินงาน

เสนาบดีกรมพิธีการเซินสือหังหลายวันนี้ ก็ล้วนทุ่มเทอยู่แต่เรื่องนี้ เมืองเทียนจินเกิดเรื่องมากมาย นอกจากที่คุยกันในการประชุมแล้ว ก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวเรื่องนี้แต่อย่างใด

การแสดงออกเช่นนี้ทำให้เป็นที่ชื่นชมของไทเฮาฉือเซิ่งมาก ทรงบอกว่าทุกคนล้วนหาทางส่งคนสนิทตนไปแก่งแย่งตำแหน่ง มีเพียงเซินสือหังที่สนใจแต่งานอภิเษก หาได้ยากยิ่ง

**********

วันที่ 25 เดือนสิบ ค่ำคืนในวังต้องห้าม ความวุ่นวายในวังก็กลับคืนความสงบเช่นปกติ

ว่านลี่และภรรยาที่แต่งมาเป็นฮองเฮาต่างก็ถอดฉลองพระองค์ชุดพิธีการออก เหลือเพียงอาภรณ์ปกติ

การแต่งงานของฮ่องเต้ย่อมต่างจากชาวบ้าน ไม่มีงานเฉลิมฉลองมากนัก มีแต่พิธีให้วุ่นวายมากกว่า แม้แต่ตอนเข้าหอ ฮ่องเต้และฮองเฮาถอดฉลองพระองค์ชุดพิธีการออก เปลี่ยนเป็นอาภรณ์ปกติ ไปที่ห้องบรรทม ขั้นตอนเหล่านี้ล้วนมีขันทีและนางกำนัลอยู่ด้วย ยังมีคนขานพิธีการเสียงลากยาวตลอดช่วงพิธี

ในที่สุดก็เหลือเพียงสองคนในห้อง แต่ว่านลี่กลับรู้สึกเบื่อหน่ายที่สุด เจ้าสาวปีนี้อายุ 14 เท่านั้น น้อยว่าเขาสองปี ตามธรรมเนียมก็ย่อมเลือกหญิงสาวที่ใสสะอาดจากตระกูลในเมืองหลวง

ว่านลี่ผู้รู้เรื่องชายหญิงมานานแล้วก็ย่อมไม่สนใจผู้หญิงที่หน้าตาแค่เรียกได้ว่าเรียบร้อยผู้นี้แม้แต่น้อย เห็นหญิงสาวนิ่งเงียบเช่นนี้ทำให้ทรงนึกถึงบรรดาขุนนางในที่ประชุมเหวินเหยียนเก๋อเป็นที่สุด

หรี่ตามองด้านข้าง ว่านลี่ก็ไร้อารมณ์หันหน้าหนี ฮองเฮายังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ นางทำตามมารยาทที่นางกำนัลสูงวัยในวังสั่งสอนทุกประการ

ห้องหอเงียบอยู่พักหนึ่ง ว่านลี่ก็ยืนขึ้น ฮองเฮาจึงขยับตัว ว่านลี่โบกมือเพื่อบอกว่าไม่เป้นไร ตนเองจะออกไปเดินข้างนอก

พอเปิดประตู ขันทีและนางกำนัลที่รออยู่ข้างนอกก็มองมาที่เขาด้วยความตกใจ ว่านลี่ไม่สนใจ ลมหนาวปะทะมา รู้สึกความอึดอัดลดลงไปมาก

มีไม่มีฮองเฮาก็ไม่ต่างกัน งานอภิเษกยิ่งใหญ่มีประโยชน์อันใด ฮ่องเต้ว่านลี่คิดฟุ้งไปไกล อยู่ๆ ก็ทรงคิดได้เรื่องหนึ่ง หลังพิธีอภิเษก พระองค์ไม่ต้องไปถวายบังคมไทเฮาอีกแล้ว และก็ไม่ต้องไปเสวยพระกระยาหารค่ำที่นั่นอีกแล้ว

ไม่ต้องเข้าเฝ้าทุกวัน ไม่ต้องตอบคำถามทุกวัน สามารถจัดเวลาให้ตนเองได้แล้ว สามารถทำสิ่งที่อยากจะทำได้แล้ว …

พิธีอภิเษกนี่ก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน พระพักตร์ว่านลี่เผยรอยแย้มสรวลขึ้นมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!