ตอนที่ 331 ซุนไห่นำเที่ยวอุทยานปัจจิม
“เสี่ยวเลี่ยง เรียกเช่นนี้มีโทษหนักล่วงเกินเบื้องสูง เราล้วนเป็นบ่าวรับใช้ ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทเรียกว่ากงกงได้อย่างไร”
มหาขันทีผู้ช่วยหัวหน้าสำนักอาชาหลวงซุนไห่อยู่ด้านนอกแอบยิ้มดุเบาๆ เป็นการล่วงเกินเบื้องสูงจริง แต่ซุนไห่เป็นสิบอันดับมหาขันทีในวังหลวง เจ้าจินเลี่ยงเองก็เป็นคนสนิทฝ่าบาทหน้าห้องทรงอักษร ความเข้าใจผิดและดุว่าเช่นนี้ไม่ได้ต้องการเอาเรื่อง
“จินเลี่ยงวันหน้าต้องจดจำให้ดี ให้ซุนไห่เข้ามาได้!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ด้านในตรัสสุรเสียงดังออกมา เจ้าจินเลี่ยงสีหน้าแดงก่ำเปิดประตูออก ซุนไห่ยื่นมือไปลูบศีรษะเจ้าจินเลี่ยงก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
ในห้องมีกาน้ำชาวางบนเตา ฮ่องเต้ว่านลี่มีรับสั่งเป็นธรรมเนียมว่า หากไม่ทรงเรียก แม้แต่เติมน้ำชาก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามาในห้อง
เจ้าจินเลี่ยงรอปิดประตูค่อยเดินลงบันไดไปกวักมือเรียก มีขันทีที่รออยู่นอกลานผู้หนึ่งรีบวิ่งเข้ามา เจ้าจินเลี่ยงกระซิบไปว่า
“ไปบอกจางกงกงว่าซุนไห่มาเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
ขันทีผู้นั้นเมื่อครู่กำลังคิดไม่ตกอยู่ ได้ยินเจ้าจินเลี่ยงกล่าวเช่นนี้ ก็รีบย่อกายคำนับวิ่งออกไป
เจ้าจินเลี่ยงหันหน้าวิ่งเหยาะๆ กลับไปหน้าห้องทรงอักษร เสียงซุนไห่ด้านในไม่ได้พยายามบังคับเสียงให้เบา ด้านนอกจึงได้ยินชัดเจน
เมื่อครู่ซุนไห่ลูบศีรษะแม้ว่าสนิทสนม แต่เจ้าจินเลี่ยงจำได้ดีว่า ตั้งแต่ตนเข้าวังมา เป็นครั้งแรกที่ได้พบซุนไห่ และเป็นครั้งแรกที่พูดจาด้วย
ซุนไห่ปีนี้อายุ 43 แต่ดูหน้าตาแล้วเหมือนกับคนอายุ 35-36 รูปร่างปานกลาง เขาค่อนข้างมีสถานะพิเศษในวัง
สำนักอาชาหลวงเป็นหน่วยงานกองกำลังในวังหลวง ดูแลกองรบและสี่กองกำลังประจำพระองค์ ก็เท่ากับกุมความเป็นความตายของวังหลวงเอาไว้ในมือ
หน่วยงานเช่นนี้ มหาขันทีที่สั่งการก็ย่อมเป็นคนสนิทของเจ้านายในวัง หัวหน้าสำนักอาชาหลวงจางจิงเป็นคนเก่าคนแก่ในจวนอ๋องอวี้มาก่อน เป็นฝ่ายเดียวกับเฝิงเป่าและจางเฉิง หลินซูลู่เองก็เป็นคนเก่าแก่จวนอ๋องอวี้เช่นกัน อีกทั้งยังเป็นขันทีติดตามรับใช้อ๋องลู่ จะว่าไปก็นับว่าเป็นคนสนิทของไทเฮาฉือเซิ่ง มีแต่ซุนไห่ที่เป็นคนสนิทของไทเฮาเหรินเซิ่ง
ไทเฮาเหรินเซิ่งมาจากตระกูลเฉิน เป็นฮองเฮาในฮ่องเต้หลงชิ่ง พระมารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้ว่านลี่ก็คือไทเฮาฉือเซิ่งซึ่งเป็นพระสนมเอกในสมัยนั้น
ความสัมพันธ์ของสองพระองค์ค่อนข้างดี ไทเฮาเหรินเซิ่งในตอนนั้นสุขภาพไม่ค่อยดี ตั้งแต่สมัยนั้นก็ได้ไทเฮาฉือเซิ่งคอยจัดการทุกอย่าง แต่ก็ยังคงให้ความเคารพและยอมลงให้กับไทเฮาเหรินเซิ่งมาโดยตลอด ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือไทเฮาเหรินเซิ่งไม่มีพระโอรสดังนั้นจึงรักและเอ็นดูว่านลี่มากเป็นพิเศษ
เทียบกับไทเฮาฉือเซิ่งที่อบรมเข้มงวดแล้ว ไทเฮาเหรินเซิ่งในสายตาว่านลี่กลับเป็นมารดาที่เมตตากว่า พระองค์รู้สึกเคารพและกตัญญูต่อไทเฮาเหรินเซิ่งไม่น้อยไปกว่าพระมารดาแท้ๆ
ไทเฮาเหรินเซิ่งแม้ว่าไม่ทรงต้องการสิ่งใด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่สนใจสิ่งใด ซุนไห่จากสำนักอาชาหลวงนี้ก็เป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์
มหาขันทีผู้ช่วยหัวหน้าสำนักอาชาหลวงแม้ว่าเป็นขันที แต่ต่างจากหน่วยอารักขาข้างนอก ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักนี้ก็เหมือนกับขุนพลนำกองกำลัง เป็นผู้นำของสี่กองกำลังประจำพระองค์ที่มีอำนาจจริง และยังรู้จักสั่งการเคลื่อนกำลัง รู้การจัดระเบียบกองกำลัง และถึงขั้นต่อสู้เป็น ซุนไห่จัดการตัวเองเป็นขันทีตั้งแต่เด็ก ได้เรียนรู้ฝึกยุทธ์กับบรรดาองครักษ์ในจวนอ๋องอวี้ เป็นคนขยันแสวงหาความก้าวหน้า จึงค่อยๆ ก้าวสู่ตำแหน่งในวันนี้
ซุนไห่อยู่ในวังก็ค่อนข้างถ่อมตน หนึ่งเป็นเพราะในวังมีไทเฮาฉือเซิ่งจัดการดูแล สองเป็นเพราะทุกวันการฝึกซ้อมสี่กองกำลังประจำพระองค์และกองรบทำให้ปลีกตัวไปไหนไม่ได้
ก็ไม่รู้ว่าวันนี้มาที่ห้องทรงอักษรด้วยเหตุใด เจ้าจินเลี่ยงครุ่นคิดหนัก ทุกวันเขาปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้าห้องทรงอักษร บรรดาขันทีผู้น้อยเห็นเขาต่างก็แย่งกันเอาอกเอาใจ แต่ก็ไม่เคยได้ข่าวอันใดไป
เจ้าจินเลี่ยงคิดไปคิดมาอย่างหนัก ขันทีด้านนอกที่ไปรายงานก็วิ่งอย่างสุดชีวิต เขาอายุมากว่าเจ้าจินเลี่ยงก็ย่อมรู้ความสำคัญของเรื่องนี้ดี
หลายวันนี้แม้หิมะจะกวาดสะอาด แต่หนทางก็ลื่นมาก เดินไปได้ครึ่งทางก็ลื่นล้มไปหลายที แม้เสื้อผ้าจะหนาแต่ก็เจ็บไม่น้อยเหมือนกัน
พอไปถึงสำนักส่วนพระองค์ รายงานว่ามีเรื่องด่วนที่ห้องทรงอักษร องครักษ์ด้านนอกไม่กล้ารั้งไว้ รีบปล่อยให้เข้าไปทันที
พอรายงานเสร็จ จางเฉิงได้ยินแล้วก็ทำสีหน้าไร้อารมณ์หันกลับเข้าห้องไป
**********
ในห้องเฝิงเป่ากำลังหลับตาพักอยู่ กำลังใช้มือนวดขมับเบาๆ จางหงและคนอื่นๆ ข้างๆ กำลังใช้พู่กันขีดเขียนตรวจสอบบัญชีอยู่ตรงนั้น
พอเสียงประตูดัง เฝิงเป่าไม่ได้ลืมตาขึ้น หากถามขึ้นเบาๆ ว่า
“เกิดเรื่องอะไร?”
จางเฉิงหรี่ตาไปมา ก่อนจะเข้าไปใกล้กระซิบเบาๆ ว่า
“ซุนไห่ไปที่ห้องทรงอักษรเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
เฝิงเป่าหยุดนวดขมับ หากค่อยๆ ลืมตาขึ้น ถามอย่างสงสัยว่า
“เขาไปทำอะไร?”
“หนึ่งปีกว่ามานี้ไทเฮาเหรินเซิ่งไม่ได้มีราชโองการอันใด เหล่าหลินที่สำนักอาชาหลวงจับตาดูแน่นหนา อาจจะถูกบีบ…”
เฝิงเป่ายิ้มๆ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ขันทีข้างๆ สองสามคนดูเหมือนกำลังขีดเขียนอันใดไม่หยุด แต่จริงๆ กำลังหูผึ่งฟังอยู่ มีแต่จางหงผู้เดียวที่ทำงานอย่างขะมักเขม้น
รอจนจางเฉิงเดินกลับไปที่โต๊ะ ขันทีผู้หนึ่งก็ถือฎีกาฉบับหนึ่งขึ้นมาแค่นยิ้มกล่าวว่า
“ปีนี้คลังหลวงกว่าจะมีเงินเหลือได้ก็ไม่ง่ายเลย ก็ไม่รู้ว่าบรรดาเมืองต่างๆ ได้ยินข่าวได้ไวเช่นนี้ได้อย่างไร นี่ยื่นฎีกามาของบแล้ว”
**********
“ทูลฝ่าบาท หลายวันก่อนกระหม่อมกำลังจัดวางกำลังอารักขาในวัง ผ่านไปที่อุทยานปัจจิม ทิวทัศน์ที่นั่นไม่เลวแม้ว่าเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว กระหม่อมนำกำลังไปตรวจตรามารอบหนึ่ง ตอนเดินออกมา มีลมพัดมาเบาๆ รู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง ในวังมีสถานที่ดีเช่นนี้ กระหม่อมจึงอยากทูลให้ทรงทราบพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ว่านลี่เดิมเอาแต่ทอดพระเนตรเอกสารในพระหัตถ์ พอได้ยินซุนไห่กล่าวเช่นนี้ พระพักตร์ก็มีรอยแย้มสรวล วางเอกสารในพระพัตถ์ลงบนโต๊ะ
พระองค์รู้ว่าซุนไห่เป็นคนของไทเฮาเหรินเซิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ว่าไม่ร่วมการแก่งแย่งในวัง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้จักพรรคพวก ฮ่องเต้น้อยยังคิดว่าซุนไห่มาขออะไร หรือว่ากล่าวถึงผู้ใด ฮ่องเต้น้อยเตรียมจะโต้กลับไปอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่ากลับเอ่ยถึงสถานที่ที่น่าไปเที่ยวเล่นเช่นนี้
อุทยานปัจจิมเป็นส่วนหนึ่งของวังหลวง สมัยฮ่องเต้เจียจิ้งที่ทารุณนางกำนัลจนถูกนางกำนัลอาศัยจังหวะกลางคืนลงมือสังหารขณะบรรทม โชคดีที่ไม่ทรงเป็นอะไร แต่นั้นมาก็ไม่กล้าประทับในวัง
ฮ่องเต้เจียจิ้งเชื่อศรัทธาศาสนาเต๋า งมงายในเรื่องพิธีกรรม จึงสร้างอารามเต๋าไว้ที่นั่น และยังประทับที่อุทยานปัจจิมยาวนานถึง 20 กว่าปี ทุกอย่างสร้างได้งดงามอลังการยิ่งนัก
จนฮ่องเต้หลงชิ่งขึ้นครองราชย์ ราชสำนักจึงได้เริ่มตระหนักถึงความผิดพลาดในรัชกาลก่อน ความงมงายในศาสนาเต๋าก็เป็นหนึ่งในความผิดพลาดนั้น ดังนั้นอุทยานปัจจิมจึงได้กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามและถูกปิดตาย
ปิดก็ส่วนปิด แต่ไม่มีคำสั่งเป็นทางการ กอปรกับอยู่ในเขตวังหลวง พวกองครักษ์ก็ย่อมต้องคอยตรวจตราไม่ขาด
“อุทยานปัจจิมหรือ…เราจำได้ว่าตอนตามเข้าวังมาในสมัยนั้น อดีตฮ่องเต้มักจะนำเราไปเดินเล่นแถวนั้น ได้เห็นนกกระเรียนเซียนและเต่าอะไรพวกนั้น เรารู้สึกสนุกสนานไม่น้อย…”
ซุนไห่ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่หวนรำลึกถึงอดีต ซุนไห่คุกเข่าอยู่ที่พื้นกล่าวต่อว่า
“ฝ่าบาทปฏิบัติราชกิจทุกวันก็ควรจะได้พักผ่อนพระอิริยาบถบ้าง กระหม่อมจะให้คนทำความสะอาดที่นั่น ทูลเชิญฝ่าบาทหากมีเวลาว่างเสด็จไปเยี่ยมชมพะยะค่ะ”
“ยามอะไรละนี่?”
“ทูลฝ่าบาท ตอนกระหม่อมมา ได้ยินเสียงระฆังและเสียงกลองบอกเวลาน่าจะยามโหย่ว แล้วพะยะค่ะ”
ว่านลี่ลุกจากที่ประทับตะโกนดังออกไปว่า
“เสี่ยวเลี่ยง ถ่ายทอดรับสั่งเราไปว่า เราจะไปอุทยานปัจจิม”
ด้านนอกเงียบไปครู่หนึ่ง เจ้าจินเลี่ยงรีบทูลตอบก่อนจะรีบวิ่งออกไปถ่ายทอดรับสั่ง ว่านลี่แย้มสรวลให้กับซุนไห่ที่คุกเข่าพลางตรัสว่า
“ลุกขึ้น ซุนไห่เจ้าไปสวมเสื้อหนากว่านี้หน่อย ตามเราไปชมอุทยานปัจจิมด้วยกัน!!”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา!!”
ซุนไห่รีบโขกศีรษะรับคำ ก่อนจะลุกขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี
การเดินทางในวังเดินนั้นง่ายมาก มีคนกลุ่มหนึ่งเตรียมความพร้อม พอได้รับคำสั่ง ทุกคนก็เตรียมตัวพร้อม ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จเข้าเกี้ยวที่ประทับ ในนั้นก็มีเตาให้ความอบอุ่นพร้อมแล้ว
ก่อนฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จขึ้นเกี้ยว เจ้าจินเลี่ยงรีบวิ่งเข้ามากราบทูลเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาท ยามนี้ควรไปตำหนักฮองเฮาแล้ว”
ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ด้วยความรำคาญ ไม่สนใจไยดี
เฝิงเป่า จางเฉิงล้วนอยู่ที่สำนักส่วนพระองค์ จางจวีเจิ้งอยู่ที่คณะเสนาบดีใหญ่ ไทเฮาฉือเซิ่งให้เวลาว่านลี่ส่วนตัวเต็มที่ ตอนนี้ไม่มีผู้ใดควบคุมพระองค์ แต่ฮ่องเต้น้อยก็ยังรู้สึกว่าน่าเบื่อและแห้งแล้ง
ฮองเฮาแสนประหลาดน่าเบื่อหน่ายผู้นั้นไม่น่าสนใจสำหรับว่านลี่แม้แต่น้อย ซุนไห่มาในเวลาที่ทรงรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่พอดี ทำให้ฮ่องเต้น้อยมีสถานที่ใหม่ที่น่าสนใจ เป็นสถานที่ที่น่าไปฆ่าเวลาและยังมีความทรงจำในวัยเยาว์อีกด้วยอย่างเช่นอุทยานปัจจิมนี้
**********
องครักษ์เฝ้าประตูใหญ่อุทยานปัจจิมค่อยๆ แง้มประตูออก ขันทีอ้วนผู้หนึ่งตะโกนดังขึ้นว่า
“ฝ่าบาทเสด็จ~~”
ขันทีผู้ทำหน้าที่ตะโกนบอกล้วนมีเสียงดี เป็นผู้ที่กล่าวเมื่อใดทุกคนย่อมได้ยินทั่ว ยามนี้ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังตื่นเต้นรอคอยอยู่หน้าประตู พอขันทีข้างๆ ตะโกนดังขึ้นก็ตกพระทัยสะดุ้งทันที
กำลังจะกริ้ว ทว่าภาพเบื้องหน้าก็ทำให้ทรงลืมไป ต้นไม้สองข้างทาง ศาลากลางน้ำ พระตำหนักริมน้ำ โคมไฟแต่ละดวงค่อยๆ สว่างไล่ลำดับมา ภาพอุทยานปัจจิมปรากฏอยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่
ภาพทิวทัศน์หิมะยามต้องแสงโคมยิ่งทำให้เกิดภาพราวกับความฝัน อุทยานปัจจิมยามนี้มีโคมไม่น้อยกว่าร้อยดวง หรืออาจเรียกได้ว่า หลายร้อยคนเตรียมการอยู่ที่นี่ การจัดการเช่นนี้ได้ก็ย่อมต้องเคยฝึกฝนมาหลายครั้ง
แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้คิดถึงข้อนี้ พระองค์ทรงหลงใหลไปกับภาพเบื้องหน้าที่ราวกับห้วงฝัน ขณะกำลังดื่มด่ำอยู่นั้น ก็มีเสียงดนตรีลำไผ่แว่วมา น่าจะการบรรเลงอยู่ในที่ที่ลับตาสักที่
ภาพทิวทัศน์หิมะเคล้าคลอเสียงดนตรี อุทยานปัจจิมยามนี้ราวกับดินแดนเทพเซียน ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งอยู่หน้าประตู ซุนไห่เข้าไปกระซิบว่า
“ฝ่าบาทโปรดเสด็จเข้าไปชมทิวทัศน์พะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยังไม่ได้พระสติ จึงต้องเรียกอีกครั้ง พอได้พระสติก็หัวเราะเสียงดัง ยกพระหัตถ์ตบบ่าซุนไห่ ตรัสเสียงดังว่า
“ทำได้ดี ทำได้ดี”