ตอนที่ 338 ฆ่าคนต้องชดใช้ เรียกว่ายุติธรรม
“ผู้ตายปากไว ก็นับว่าก่อเรื่องก่อน แต่ควรแค่ลงมือ การสังหารผู้คนในที่สาธารณะเป็นความผิดโทษมหันต์ ในเมื่อศาลไม่รับเรื่อง เช่นนั้นก็ต้องมีคนออกหน้าลงโทษแทน!”
ค่ายหนึ่งรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว พวกตระกูลถานขี่ม้าตามมา คนที่มาร้องทุกข์ก็คิดถึงความลำบากที่ต้องเผชิญ เดิมคิดว่าคงต้องร้องทุกข์เป็นนานกว่าจะขอร้องได้สำเร็จ
คิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับรับปากโดยง่าย เห็นกองกำลังรวมพลออกไป พ่อค้าจากซานตงที่มาร้องทุกข์ก็รู้สึกหวาดกลัว
เรื่องมาถึงขั้นนี้ไม่ง่ายเลย อย่างไรก็ควรสงสัยว่าจริงหรือเท็จ หรือว่านายกองพันหวังมีอุบายร้ายอันใด หวังทงกล่าวคำเดียว กองทหารก็เคลื่อนกำลังออกมาได้ทันที
ถานเจียงเร่งม้าตามมา สีหน้ากังวลเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า
“นายท่านควรคิดรอบคอบก่อนหรือไม่ ทางนั้นเป็นหน่วยตรวจการจากเมืองเหลียวโจว ตอนข้าน้อยอยู่เมืองจี้โจวได้ยินชื่อซุนโส่วเหลียนมาบ้าง เห็นว่าเป็นคนสนิทของหลี่เฉิงเหลียง”
หวังทงเงียบไปก่อนจะกล่าวว่า
“การสังหารผู้อื่นในที่สาธารณะมิเพียงมีความผิดร้ายแรง ยังทำลายกฎระเบียบเทียนจินเรา หากสังหารคนไม่ถูกลงโทษ เช่นนี้หากทหารเมืองเซวียนฝู่หรือเมืองจี้โจวมาก่อเรื่องที่นี่ ทหารเมืองหลวงอีกเล่า หากสังหารองครักษ์เสื้อแพรเราเข้าล่ะ!”
กล่าวถึงตรงนี้ ถานเจียงก็เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“นายท่าน ขุนพลหลี่เมืองเหลียวโจวมีอำนาจบารมีมาก ล่วงเกินเขาเพราะคนปากเปราะผู้หนึ่ง ไม่คุ้มค่าเลย!”
“ล่วงเกินสิดี พวกต่างถิ่นจะได้ยำเกรงข้า หากข้าไว้หน้าหลี่เฉิงเหลียง ไม่รู้ว่าจะถูกสงสัยอย่างไรอีก ไม่สู้ล่วงเกินให้พวกนั้นสบายใจ”
กล่าวถึงตรงนี้ ถานเจียงก็ไม่กล่าวอันใดอีก ได้แต่ขี่ม้าตามหวังทงไป หวังทงสูดลมหนาวเข้าปอด กล่าวไปมากมายเพียงนี้ ถามใจเขาแล้ว เขาไม่มีทางยอมให้กับพฤติกรรมชั่วร้ายเช่นนี้ได้
หวังทงเป็นองครักษ์เสื้อแพรราชวงศ์หมิง หน้าที่เขาก็คือปกป้องสังคมให้สงบสุข ปกป้องแผ่นดินให้มีผาสุก แต่พวกทหารสังหารผู้บริสุทธิ์ในที่สาธารณะเช่นนี้นับเป็นความชั่วร้ายรุนแรงเกินขีดความอดทนที่เขาจะทนรับได้
**********
พวกหวังทงมาถึงโรงเตี๊ยมจตุรทิศอย่างรวดเร็ว หวังทงชักปืนไฟออกมา ก้าวเข้าไปยังโถงใหญ่ มองหาที่นั่งลง กล่าวว่า
“เชิญใต้เท้าซุนกับลูกน้องมาหน่อย!”
เสียงของเขาเย็นชา พลทหารเองรู้ว่าควรทำเช่นไร หลงจู๊โรงเตี๊ยมและคนงานต่างก็เชื่อฟัง รีบชี้ทางให้องครักษ์เสื้อแพร ปกติทางการมาเข้าพักก็มักจะเหมาเรือนพัก
หวังทงนั่งอยู่นั้นก็หยิบมือขึ้นมาใช้ผ้าเช็ดถูกรอบหนึ่ง ปืนเย็นเยียบอย่างน้อยต้องอุ่นไว้ก่อน จากนั้นค่อยบรรจุกระสุนและดินปืนก่อนจะขึ้นไกเตรียมพร้อม
ในเวลานี้ด้านหนึ่งของโรงเตี๊ยมมีเสียงร้องด้วยความตกใจพร้อมเสียงคำรามด้วยความโมโห ยังมีเสียงคำสั่งดังขึ้น
วุ่นวายกันไม่นาน กองกำลังองครักษ์เสื้อแพรก็ใช้ดาบคุมตัวพวกซุนโส่วเหลียนมารวมกันที่โถงด้านหน้า พวกเขาเดินมาด้วยท่าทางโมโหสุดขีด
พอเห็นชุดนายกองพันของหวังทง สีหน้าซุนโส่วเหลียนก็ยิ่งโมโหหนักขึ้น ตะโกนหยายคายไปว่า
“ข้าซุนโส่วเหลียน นายกองแห่งกองกำลังเหลียวหนิง หน่วยตรวจการเมืองเหลียวโจว กลางวันแสกๆ ชักดาบข่มขู่เช่นนี้ พวกเจ้าคิดจะทำอะไร ยังเคารพกฎหมายบ้านเมืองหรือไม่!!”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘กฎหมายบ้านเมือง’ หวังทงก็อดแสยะยิ้มขึ้นไม่ได้ วางปืนในมือลงบนโต๊ะกล่าวว่า
“กฎหมายบ้านเมือง พวกเจ้าอ้างกฎหมายบ้านเมืองได้หรือ ให้ยืนเรียงแถว!”
ภายใต้คำสั่ง บรรดาองครักษ์เสื้อแพรก็รีบถือทวนยาวเข้ามาตะโกนสั่ง ไม่ได้ลงมือจับมัด แต่ก็ใช้ดาบจ่อไว้ ด้วยอาวุธวาววับที่จ่ออยู่ แม้ว่าไม่ยินยอม สบถด่าไป แต่ก็ถูกบังคับให้ต้องยืนเรียงแถว
“ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลิวโสวโหย่วกับแม่ทัพเรารู้จักกัน นายกองพันเช่นเจ้าอย่าได้เหิมเกริม ถึงตอนนั้นเอาผิดขึ้นมา จะรายงานยาก”
อีกฝ่ายไม่ฟังพวกเขา ซุนโส่วเหลียนไม่ยอมหยุด ส่งเสียงดังข่มขู่ หวังทงนั่งอยู่ที่นั่นกล่าวเสียงดังกังวานว่า
“ผู้ใดคือซุนซื่อ ก้าวออกมา”
“แม่ทัพชีจี้กวงที่เมืองจี้โจวกับแม่ทัพใหญ่เราก็สนิทกัน หากเจ้าเหิมเกริม ไม่เกรงวันหน้าหรือไง!!”
“ผู้ใดคือซุนซื่อ ก้าวออกมา!! เมื่อวานกล้าฆ่าคน วันนี้ไม่กล้าก้าวออกมางั้นหรือ?”
หวังทงยังคงเพิกเฉยต่อคำขู่ของซุนโส่วเหลียน เสียงดังยิ่งขึ้น ในโถงตอนนี้กว้างขวางเพราะองครักษ์เสื้อแพรได้ย้ายโต๊ะเก้าอี้ออกไปแล้ว ล้อมทหารเมืองเหลียวโจวไว้ พอได้ยินเสียงตวาดหวังทง ทหารซุนโส่วเหลียนก็หันไปมองซุนซื่ออย่างไม่รู้ตัว
ยามนี้ไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหว หากมีสิ่งผิดปกติ เกรงว่าร่างกายคงถูกแทงเป็นรูพรุนเลือดสาดกระจายเป็นแน่ หลงจู๊และคนงานในร้านที่อยู่ไม่ไกลนักย่อมจำคนลงมือได้
ทุกคนส่งสายตาไปยังจุดเดียวกัน จะหลบซ่อนก็ซ่อนไม่ได้ ซุนซื่อมองซ้ายมองขวา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวออกมา ซุนโส่วเหลียนข้างๆ จะก้าวตามออกมา หากดาบที่รายล้อมก็เข้าประชิดทันที จึงไม่กล้าขยับ ได้แต่ฟังหวังทงถามว่า
“เจ้าคือซุนซื่อ!”
ซุนซื่อพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว หวังทงหยิบปืนบนโต๊ะ จับเชือกเหนี่ยวไกปืนเล็งไปที่ซุนซื่อ
เสียงดัง ‘ปัง’ ร่างของซุนซื่อเหมือนถูกฆ้อนทุบกลางหน้าอก กระเด้งถอยหลังล้มลงกระแทกพื้น
ไม่ว่าจะกองกำลังเหลียวโจวหรือองครักษ์เสื้อแพรค่ายหนึ่งในห้อง ต่างก็ตกใจเสียงปืนที่ดังก้องขึ้น พากันถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่ทันรู้ตัว
หลงจู๊และคนงานที่หลบอยู่หลังโต๊ะเก็บเงินตกใจส่งเสียงกรีดร้องลั่น หวังทงโบกมืออย่างรำคาญ พลทหารรีบมานำตัวออกไป
รอจนทุกคนได้สติ หน้าอกซุนซื่อก็เป็นรูใหญ่ เลือดไหลนองพื้น ตายสนิท ซุนโส่วเหลียนก้มหน้ามองครู่หนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นสีหน้าก็โกรธแค้นหนัก ชี้หน้าหวังทงด้วยมือที่สั่นระริก กล่าวเสียงเยียบเย็นว่า
“เยี่ยม เยี่ยมมาก นายกองพันท่านนี้…”
หวังทงลุกขึ้นกล่าวเสียงดังว่า
“วันนี้พลทหารซุนเมืองเหลียวโจวสังหารชาวบ้านกลางท้องถนน จึงถูกลงโทษในที่เกิดเหตุ ให้องครักษ์เสื้อแพรออกเอกสารนำศพส่งคืนกองทัพ”
ประกาศจบ ซุนโส่วเหลียนคิดจะด่าทอ แต่ลองคิดถึงคำพูดหวังทงอีกที ก็นิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น หวังทงไม่สนใจเขา กล่าวต่อว่า
“นำคนร้องทุกข์ออกมา”
พ่อค้าที่มาร้องทุกข์พวกนั้นรออยู่ด้านนอก พอได้ยินเสียงคำรามด่าทอดัง สุดท้ายก็มีเสียงดังขึ้น ในใจก็เต้นโครมครามจากนั้นพลทหารก็นำตัวเข้าไป
พ่อค้าชาวซานตงถูกพาไปที่ด้านหน้า หวังทงชี้ไปที่ศพแล้วพูดว่า
“ฆาตกรคือคนผู้นี้ใช่หรือไม่”
พ่อค้าไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้ ฆาตกรถูกจัดการที่ร้านแล้ว จึงอึ้งมองตาค้างพยักหน้าหงึกๆ หวังทงกล่าวว่า
“พวกเจ้าเรียกร้องความยุติธรรมก็ได้ไปแล้ว ฆ่าคนชดใช้ด้วยชีวิต พวกเจ้าไปแจ้งที่ศาลลงบันทึกไว้แล้วค่อยนำร่างสหายเจ้ากลับซานตง!!”
พ่อค้าชาวซานตงไม่ได้คาดหวังว่าจะมีบทสรุปเช่นนี้ เดิมคิดว่าจะต้องขึ้นศาลค้าความให้เสียเงินอีก ขอเพียงจับตัวได้ จากนั้นก็จะไปตามเจ้านายที่ซานตงมา อย่างไรก็คนซานตงด้วยกัน คนพวกนี้เรียกร้องความยุติธรรมก็ใช่ว่าจะไม่คิดปัดภาระพ้นตัว ที่ปรึกษาทางทหารที่ซานตงก็เป็นขุนนางท้องที่ อย่างไรก็ล่วงเกินไม่ได้
แต่เช้าวันนี้ไปขวางทางเรียกร้องความยุติธรรม ผ่านมาอย่างมากก็แค่หนึ่งชั่วยาม ฆาตกรก็ได้รับโทษตายเบื้องหน้าพวกเขา ยังไม่ทันได้ตั้งสติ ขณะกำลังงงอยู่ แต่ก็ยังรู้จักคุกเข่าลงขอบคุณ หลังจากขอบคุณเสร็จ ก็มีคนนำพวกเขาไปจัดการเรื่องที่ศาลต่อ
หลังจากจัดการทั้งหมดเสร็จ หวังทงก็หันไปหาซุนโส่วเหลียน เมื่อครู่ได้ปล่อยให้พวกที่จากมาเมืองเหลียวโจวด้วยกันค้างเติ่งอยู่ตรงนั้น ซุนโส่วเหลียนก็มองออกว่าหวังทงเอาเรื่องแค่ซุนซื่อคนเดียว ไม่ทำอะไรคนที่เหลือ ก็รู้สึกวางใจ ได้แต่แค่นยิ้มมองไป หวังทงหันมากล่าวว่า
“ข้านายกองพันองครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจิน หากมีคำถามในเรื่องที่ข้าเพิ่งตัดสินไป ก็ไปร้องเรียนได้เลย คิดว่าศาลคงต้องให้ความเป็นธรรม…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ ซุนโส่วเหลียนที่ทนไม่ไหวนานแล้ว จึงได้สบถด่าขึ้นว่า
“ข้าคุมนายกองพันหลายสิบนาย แต่เจ้า นายกองพันองครักษ์เสื้อแพร…”
“มาเทียนจินทำการค้า ข้ายินดีต้อนรับ หากมาก่อเรื่องผิดกฎหมาย ก็ไม่ต้องกลับเหลียวตงอีก วันนี้รบกวนแล้ว ขออำลา!”
หวังทงยิ้มประสานมืออำลาก่อนจะก้าวเท้ายาวออกไปทันที
ดาบรายรอบซุนโส่วเหลียนก็ถอยห่าง ทุกคนตามหวังทงออกจากโรงเตี๊ยมไป แม้ไม่มีอาวุธจ่อขู่อยู่ข้างกาย แต่ทหารที่รายล้อมซุนโส่วเหลียนก็ยังไม่กล้าส่งเสียง ภาพหวังทงขณะคุยไปยิ้มไปก่อนจะชักยิงปืนใส่ซุนซื่อนั้นยังติดตาอยู่ รอจนหวังทงขึ้นม้าจากไป จึงได้ไปรุมหน้าซุนโส่วเหลียนกล่าวเสียงดังว่า
“ท่านขุนพล เราไม่อาจปล่อยให้คนเมืองเหลียวโจวตายฟรีเช่นนี้ เจ้าเด็กน้อยท่าทางยังไม่โตนั่นไม่เห็นผู้ใดในสายตา”
ทุกคนต่างพูดด้วยความโกรธสุดขีด แต่ซุนโส่วเหลียนกำลังมองทิศทางที่หวังทงจากไปด้วยความสงสัย ปากก็พึมพำขึ้นเบาๆ แต่ชื่อ ‘หวังทง…หวังทง..’ ก่อนจะหันไปมองทหารคนสนิทที่เข้ามากระซิบเบาๆ ว่า
“ท่านขุนพล หรือว่าเราจะจัดเตรียมม้าคืนนี้เข้าเมืองไปจัดการโจรชั่วนั่นแก้แค้นให้ซุนซื่อ แล้วพวกเราค่อยขี่ม้าเร็วกลับเมืองเหลียวโจว ออกนอกด่านไปได้ดูว่าใครจะทำอะไรเราได้!”
ซุนโส่วเหลียนไม่สนใจสิ่งใด ตบมือดังพร้อมส่งเสียงดังตามมาว่า
“ที่แท้เป็นเขา…”
เสียงยังกล่าวไม่จบก็อึ้งไป ทหารรอบข้างมองสีหน้าซุนโส่วเหลียนที่เมื่อครู่ยังโมโหจนแดงก่ำ ตอนนี้กลับซีดเผือด ในห้องแม้ว่าอบอุ่น แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องเหงื่อไหล หากใบหน้าซุนโส่วเหลียนกลับเต็มผุดเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
ทหารรอบตัวเริ่มลนลาน หรือว่านายเราป่วยกะทันหัน รีบเข้าไปสอบถาม ในที่สุดซุนโส่วเหลียนก็กล่าวออกมาว่า
“นี่มันหายนะแท้ๆ”
****************
“ใต้เท้า โรงเตี๊ยมในเมืองนอกเมืองที่รับแขกพักได้ร้อยคน ได้ยินเรื่องราวผดุงความยุติธรรมของท่านแล้ว มีพ่อค้าหลายสิบคนที่กำลังจะออกก็ยอมพักต่อ”
วันที่ 16 เดือนสิบสองตอนเช้าก็มีคนนำข่าวมารายงานหวังทง หวังทงยิ้มหันไปกล่าวกับไช่หนานและหยางซือเฉินในห้องว่า
“พวกเจ้าเคยได้ยินการลงทุนสภาพแวดล้อมไหม?”
สองคนย่อมส่ายหน้า หวังทงยิ้มไม่กล่าวอันใด กำลังจะอ่านเอกสารต่อ ก็ได้ยินเสียงรายงานด้านนอกดังมา
“นายท่าน นายกองหน่วยตรวจการเมืองเหลียวโจวซุนโส่วเหลียนขอเข้าพบ”