Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 346

ตอนที่ 346 ไม่เห็นแก่ยศถา ยินดีกลับเทียนจิน

สถานะฮ่องเต้มักเหมือนมีแสงออร่าลึกลับบางอย่างส่องประกาย แม้ว่าเขาและเจ้าจะอยู่ด้วยกันมาหนึ่งปี แม้ว่าเขาตอนนั้นจะเป็นเพียงเจ้าอ้วนขี้เกียจที่ไร้ความสามารถ

หลี่หู่โถวไม่เคยคิดเลยว่าพอได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่านลี่แล้วเขาก็จะได้ยินประโยคเช่นนี้ จึงอึ้งไปพักใหญ่ ได้ยินคนด้านหลังฮ่องเต้ว่านลี่กระแอมไอ มองไปเห็นจางเฉิงปิดปากพลางพยักหน้าอย่างเร็ว

“ฝ่าบาทเป็นโอรสสวรรค์ ย่อมสูงกว่า…ฝ่าบาทพระชันษามากกว่ากระหม่อมหลายปี พระวรกายสูงขึ้นก็สมควรแล้ว!”

ปีนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ 15 ชันษา หลี่หู่โถวปีนี้ยังไม่ถึง 12 เมื่อก่อนฮ่องเต้พระวรกายเตี้ยเพราะขาดการออกกำลังและขาดความสมดุลทางโภชนาการ

ได้ฝึกฝนร่างกายที่ลานฝึกหู่เวยทุกวัน ทั้งยังมีอาหารการกินที่มากมาย และยังเป็นร่างกายเติบโต ก็ย่อมสูงเร็วเป็นธรรมดา หลี่หู่โถวก็ไม่ได้สูงช้า อย่างไรก็อายุยังน้อย ตอนนี้ห่างกันแค่ครึ่งศีรษะเท่านั้น

แม้ว่าก่อนจะมาหอเลิศรส หลี่เหวินหย่วน โจวอี้และหลี่ว์วั่นไฉทั้งสามได้กำชับและสั่งสอนมาแล้ว ต่อเบื้องพระพักตร์ต้องถวายคำนับ ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนในลานฝึกหู่เวยแล้ว ตอนนั้นทุกคนทำตัวกันตามสบาย อย่าได้เอาความเคยชินยามนั้นมาใช้ยามนี้

อย่างไรก็มีนิสัยเด็กน้อยอยู่ ตอนอยู่ลานฝึกหู่เวย “หวงอี้จวิน” สูงพอ ๆ กับตน ตอนมีเรื่องยังต้องให้ตนปกป้อง ตอนนี้ตนต้องโขกศีรษะคำนับ ยังต้องกล่าวถวายคำนับอีก แต่ในเมื่อบอกว่าสูงว่าตนแล้ว หลี่หู่โถวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป โต้กลับไปประโยคหนึ่ง

การทำตัวสบายๆ เช่นนี้ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่พอพระทัยยิ่ง ทรงเอื้อมพระพัตถ์ไปวางบนหัวหลี่หู่โถว ก่อนจะย้ายมาที่พระองค์เอง ถึงหน้าผากแล้วจริงๆ

หากเป็นผู้อื่น ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องย่อตัวเตี้ยลงเพื่อให้ฮ่องเต้พอพระทัย แต่หลี่หู่โถวกลับยืดตัวตรง เกือบจะเขย่งเท้าด้วยซ้ำ

แต่อย่างไรก็เตี้ยกว่าเล็กน้อย ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสว่า

“ดูสิ เราสูงกว่าเจ้าหน่อยหนึ่ง”

“ฝ่าบาท กระหม่อมอายุยังน้อยพะยะค่ะ!”

หลี่หู่โถวเน้นย้ำใส่อารมณ์ สบตากับว่านลี่ สองคนหัวเราะดังลั่นขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ต่อยหมัดไปที่หน้าอกของหลี่หู่โถวหมัดหนึ่ง ตรัสถามอย่างตื่นเต้นว่า

“หู่โถว เทียนจินเป็นอย่างไร หวังทงเป็นไงบ้าง หม่าซานเปียวกับถานเจียงพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”

เรื่องราวเป็นอย่างไร จริงๆ ในจดหมายก็เล่าไปอย่างละเอียดแล้ว แต่ก็ต้องถามให้กระจ่าง หลี่หู่โถวยิ้มทูลว่า

“กระหม่อมอยู่เทียนจินเหนื่อยกว่าอยู่ลานฝึกหู่เวยอีก ทุกวันต้องฝึกหนัก ยังต้องเปลี่ยนการป้องกันทุกสองวัน ทหารในบังคับบัญชาก็ต้องคอยดูแล กระหม่อมต้องฝึกให้มากขึ้นอีก ไม่อาจยอมให้พวกเขาคิดว่ากระหม่อมอายุน้อยแล้วดูถูกได้”

ฮ่องเต้ว่านลี่พยักหน้า ก้าวกลับเข้าไปยังที่ประทับ หลี่หู่โถวคิดจะเดินตามไปนั่งด้วยอย่างไม่ทันคิดอะไร จางเฉิงรีบโบกมือ หลี่หู่โถวจึงหยุดยืนกับที่

“พวกเจ้าไปเทียนจินกันหมด ที่นั่นสนุกกว่าที่นี่มาก ทุกครั้งที่เราได้อ่านจดหมายหวังทง ก็คิดจะตามไปดูกับพวกเจ้าด้วย ดีกว่าทุกวันทำงานที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแบบนี้”

“ฝ่าบาทไม่ทรงทราบ เทียนจินทางนั้นลำบากนัก พี่หวังทุกวันนอกดึกดื่น และยังต้องเผชิญอันตรายมากมาย หลายครั้งพี่หวังนำพวกเราสู้ตายฝ่าวงล้อมออกไป”

แม้ว่าหลี่หู่โถวยังเป็นเด็ก แต่พอพูดถึงเรื่องเหล่านี้ น้ำเสียงก็อดไม่ได้ที่จะเข้มขึ้น คิดถึงความลำบากที่เทียนจิน คิดถึงความลำบากในค่ายฝึก คิดถึงเหตุล่าสังหารท่ามกลางความเป็นความตายเหล่านั้นขึ้นมา “

“กระหม่อมอยู่เทียนจินนั้นชีวิตไม่ง่ายเลย…”

พอหลี่หู่โถวเล่าจบ บรรยากาศในหอเลิศรสก็อึมครึมลง สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เริ่มเข้มขึ้น เงียบไปนานกว่าจะค่อย ๆ ตรัสว่า

“เรารู้ว่าคณะเสนาบดีใหญ่และหกกรมต่างไม่พอใจหวังทง เราก็ถูกเสด็จแม่และท่านจางควบคุม ช่วยอะไรไม่ได้ เห็นชัดๆ ว่ากำลังช่วยเรา แต่กลับถูกขับออกจากเมืองหลวง ไปเทียนจินยังโดนคนรังแกต่างๆ นานา เราก็ช่าง…”

พูดไปแล้วก็หดหู่ ฮ่องเต้ว่านลี่เอื้อมพระหัตถ์เคาะโต๊ะ จางเฉิงที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ยิ้มเฝื่อน ขยิบตาให้หลี่หู่โถว หลี่หู่โถวก็ไวพอ รีบกระแอมไอเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า

“ทูลฝ่าบาท ก่อนมาเมืองหลวง พี่หวังกำชับหู่โถวว่า ให้ทูลข่าวดีแก่ฝ่าบาท หากไม่มีอะไรผิดพลาด ปีหน้าก่อนเดือนสาม เงินก้อนจินฮวาหนึ่งล้านตำลึงก็จะครบแล้ว เดิมบอกว่าปีหนึ่ง ตอนนี้ครึ่งปีก็ครบแล้ว”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้น้อยก็เผยรอยแย้มสรวล พยักหน้าตรัสว่า

“หวังทงไม่ได้ไปลำบากที่เทียนจินอย่างเปล่าประโยชน์ เราบอกว่าจะเพิ่มก้อนเงินจินฮวาอีกหนึ่งล้าน คณะเสนาบดีและหกกรม ขุนนางในเมืองหลวงทุกคน รวมทั้งเฝิงต้าปั้นที่แม้ว่าจะไม่พูด แต่เรารู้ว่าพวกเขากำลังหัวเราะเยาะเรา รอเราทำไม่สำเร็จ แต่หวังทงกลับหามาได้หนึ่งล้าน ให้เราได้หน้าใหญ่”

สนทนาหัวข้อทั่วไปทำให้บรรยากาศดีขึ้นมาก ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงถามถึงเรื่องที่เผชิญมาทั้งหมดที่เทียนจิน เรียกเกณฑ์ทหารอย่างไร ยึดแม่น้ำทะเลอย่างรวดเร็วได้อย่างไร จัดการกับพวกนาวาสุคนธ์ได้อย่างไร เก็บภาษีเส้นทางเดินเรือได้อย่างไร ลี่เทากับซุนซิงอยู่เทียนจินเป็นอย่างไร ที่เทียนจินมีอะไรที่เมืองหลวงมีหรือไม่มีกินบ้าง ยังมีเรื่องทะเลอีกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ทุกเรื่องล้วนสอบถามโดยละเอียด

หลี่หู่โถวก็ตอบทีละประเด็นอย่างละเอียด พอเล่าถึงตอนสนุก ฮ่องเต้น้อยก็จะฟังอย่างจ้องมองตั้งใจ ไม่อยากพลาดแม้แต่จุดเดียว ผ่านไปด้วยการที่เราถามเจ้าตอบเช่นนี้ราวหนึ่งชั่วยาม จางเฉิงก็สั่งให้เจ้าจินเลี่ยงเข้ามาต้มน้ำชงชา ยังมีขนมที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้หลายอย่าง ยกเข้ามาพร้อมกัน

ฮ่องเต้ว่านลี่เรียกให้หลี่หู่โถวนั่งลง หลี่หู่โถวไม่เข้าใจธรรมเนียมมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ ขอบพระทัยแล้วก็นั่ง นั่งกินขนมจิบชาไปพร้อมกันกับว่านลี่

ปกติฮ่องเต้ว่านลี่ดื่มชาคำหนึ่ง เสวยขนมสองชิ้นก็อิ่ม แต่พอเห็นหลี่หู่โถวกินได้เยอะมาก พระองค์ก็เริ่มอยากเสวยต่อ สองคนจัดการขนมและชาหมดในพริบตา

นั่งพักหายใจอยู่ตรงนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่มองจางเฉิงข้างๆ แล้วก็แย้มสรวลตรัสว่า

“หู่โถว ครั้งนี้มาแล้วก็อย่ากลับไปเลย มาอยู่ข้างกายเราดีกว่า!”

เมื่อได้ยิน หลี่หู่โถวก็สะดุ้ง ส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋ง ทูลว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นลูกคนเดียว ตัดไอ้นั่นเข้าวังไม่ได้”

เดิมฮ่องเต้ว่านลี่อมน้ำชาอยู่ พอได้ยินคำตอบก็พ่นพรวดออกมาหมด จางเฉิงกระแอมไอดัง ได้แต่ก้มหน้าลงไม่กล่าวอันใด เจ้าจินเลี่ยงรีบแหวกม่านออกไป

ฮ่องเต้น้อยหยิบผ้าซับพระโอษฐ์ออกมาซับ ชี้หน้าหลี่หู่โถวด้วยสีหน้ายากจะบรรยาย

“หู่โถว สมองเจ้าทื่อหรือไง เราให้เจ้าอยู่ต่อ ก็เพื่อให้เจ้าปฏิบัติงานในเมืองหลวง”

ตรัสจบก็หันไปทางจางเฉิงตรัสต่อว่า

“จางปั้นปั้น ให้หู่โถวไปเป็นนายกองร้อยที่กองราชองครักษ์ส่วนหน้า ทุกวันคอยติดตามอารักขาเรา…”

กองราชองครักษ์ส่วนหน้าเป็นกองพิเศษกองหนึ่ง ราชองครักษ์ถูกเรียกว่า “องครักษ์ติดอาวุธ” เป็นกองกำลังเพียงหนึ่งเดียวในวังหลวงที่รับหน้าที่อารักขาแต่ละตำหนัก ทหารราชองครักษ์ชั้นในก็หมายถึงคนกลุ่มนี้นี่เอง สำนักอาชาหลวงแม้ว่าเป็นสี่กองกำลังประจำพระองค์และกองรบ แต่ล้วนพักอยู่ในค่ายที่กำหนด ไม่อาจไปไหนมาไหนตามใจได้

สามารถรับตำแหน่งในกองราชองครักษ์ส่วนหน้าได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นขุนนางบู๊ระดับเจ็ดขึ้นไป ประวัติต้นตระกูลขาวสะอาด ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานนยทหารระดับกลางประจำกองกำลังเมืองหลวง ลูกหลานเหล่านี้ล้วนได้ดีในเวลาไม่กี่ปี แต่พวกชนชั้นสูงในเมืองว่างงานกันจนชิน มักจะเรียกตัวองครักษ์เสื้อแพรหรือพวกสำนักบูรพาไปทำงานแทน

เมื่อฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสจบ ก็กลับทรงปฏิเสธเอง ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า

“หู่โถวร่ำเรียนทักษะนำทัพมา ไปอยู่นั่นน่าสงสาร หู่โถว สำนักอาชาหลวงตอนนี้เราก็แทรกแซงได้ ส่งเจ้าไปเป็นนายกองป้องกันที่นั่นเป็นไง”

นายกองป้องกันเป็นตำแหน่งขุนนางตำแหน่งหนึ่งที่ปกติมักต้องเป็นขุนนางระดับห้า หากอยู่ประจำในพื้นที่นอกเมืองหลวงก็จะคอยอารักขาศาล เป็นตำแหน่งขุนพลทหารที่มีอำนาจสั่งการ

ได้ยินเช่นนี้ สบสายพระเนตรฮ่องเต้น้อยที่ทรงมองมา หลี่หู่โถวก็จริงจังขึ้น ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะถอยห่างจากที่ประทับคุกเข่าลง ทูลอย่างจริงจังว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมปีนี้อายุ 12 เข้าร่วมในกองทัพไม่ถึงครึ่งปี ทุกอย่างล้วนอยู่ในขั้นตอนเรียนรู้ กระหม่อมขออยู่เทียนจินติดตามพี่หวังเพื่อเรียนรู้เอาไว้มารับใช้ฝ่าบาท…”

กล่าวจบก็โขกศีรษะลงไป ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป เมื่อครู่วาจาพระองค์ถือเป็นมอบยศถาบรรดาศักดิ์และเงินทองให้ แต่หลี่หู่โถวเหตุจึงปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด ตัดสินใจรวดเร็วเกินไปแล้ว

พระองค์ไม่อาจทรงกริ้วได้ เพราะหลี่หู่โถวยังเด็กไม่ว่า ความคิดยังเรียบง่ายบริสุทธิ์ ย่อมไม่ลดเลี้ยวไปมา บอกว่าต้องเรียนรู้ ก็คงเป็นเช่นนั้นจริง

ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก็ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า

“หู่โถว เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในโลก เทียนจินเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ริมทะเล อะไรที่ทำให้เจ้าไม่อาจจากมาได้…”

หลี่หู่โถวเกาหัวเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีเกรงพระทัยว่า

“ฝ่าบาท พี่หวังทางนั้นบอกว่าหลังวันที่ 7 เดือนหนึ่งก็จะยกกำลังออกจากเทียนจินไปจับโจร นับว่าเป็นการฝึกฝนกองกำลังหู่เวย กระหม่อมไม่เคยออกรบมาก่อน ต้องตามไปรบด้วยให้ได้ วันหน้าการออกรบเช่นนี้ย่อมมีไม่น้อย หากมาอยู่เมืองหลวง ก็คงน่าเบื่อ”

ฮ่องเต้ว่านลี่ชี้พระหัตถ์ไปที่หลี่หู่โถว ก่อนจะแย้มสรวลด้วยไม่รู้จะทำเช่นไรต่อ หลี่หู่โถวคุกเข้ายิ้มแหะๆ สุดท้าย ฮ่องเต้ว่านลี่ได้แต่ส่ายพระพักตร์รับสั่งว่า

“จางปั้นปั้น สั่งให้ห้องเครื่องทำอาหารมา เรากับหู่โถวจะกินข้าวด้วยกันสักมื้อแล้วค่อยกลับวัง”

**************

วันที่ 27 – 30 เดือนสิบสอง อุทยานปัจจิมก็มีคนนอกวังเข้ามาเดินชมไปพร้อมกับขันทีในวัง คอยเสนอแนะอยู่ตลอด ว่ากันว่าซุนไห่กงกงตามช่างก่อสร้างนอกวังเข้ามา คนผู้นี้เชี่ยวชาญการสร้างศาลา ว่ากันว่ายังเคยก่อสร้างให้กับหอฉินก่วน

ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ ตอนนี้อุทยานปัจจิมสวยงามจนต้องตกตะลึง ปีหน้าจะถึงระดับไหนกัน ทุกคนต่างรอชม

**************

บ่ายวันที่ 30 เดือนสิบสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 6 นายกองร้อยขึ้นไปในสังกัดหวังทงก็มารวมกันที่ทำการองครักษ์เสื้อแพร โถงกลางแขวนแผนที่ผืนใหญ่ที่ไม่ละเอียดนักไว้ผืนหนึ่ง หวังทงถือก้านไม้ไผ่ชี้ไปกล่าวไปว่า

“อำเภอจิ้งไห่ไปทางใต้ 90 ลี้ อำเภอชิงไปทางเหนือ 60 ลี้มีโรงบ้านแห่งหนึ่ง โรงบ้านแห่งนั้นคือจุดหมายเราในครั้งนี้…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!