Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 349

ตอนที่ 349 ชัยชนะที่ไม่ยอดเยี่ยมสักเท่าไร

พลธนูหลังการป้องกันของพลโล่ ค่ายห้ากับค่าสิบสองเริ่มกระจายตัวเป็นแถวตั้งห้าคน แถวนอนสี่คน เรียงหน้ากระด่านสองกอง ค่ายหนึ่งนอกจากพลธนูแล้วก็มีอีกกลุ่มอยู่รอบกายหวังทง

ผู้คนที่ปรี่ออกมาจากโรงบ้านตระกูลเป้านั้น ไม่เป็นรูปขบวนแต่อย่างใด อาวุธก็สะเปะสะปะ ใช้ดาบพัวเตา[1]เป็นส่วนมาก ยังมีบางคนใช้ขวานกับหอกยาวอีกด้วย

เนื่องจากปรี่ออกมาไร้ระเบียบ ดังนั้นจึงไม่ทันได้โจมตีพวกองครักษ์เสื้อแพรที่กำลังฟันประตูโรงบ้านอยู่

พอเห็นขบวนแถวที่เป็นระเบียบสองกลุ่ม พวกโจรที่เดิมเตรียมจะบุกสู้ตายก็ชะงักกึกทันที

สองค่ายองครักษ์เสื้อแพร พวกมีหอกยาวอยู่แถวหน้าและแถวสองยกแนวราบ แถวด้านหลังเอียงองศาขึ้น เงยหน้ามองไป ก็เหมือนกับตัวเม่นหยามแหลมอย่างไรอย่างนั้น

พื้นที่เปิดโล่งด้านหน้าของโรงบ้านเล็กมาก สองค่ายกับพวกด้านขวาของหวังทงมารวมกันก็เหมือนจะแน่นไป หัวหน้าโจรผู้หนึ่งสายตาดี มองเห็นช่องว่างพอจะแทรกได้ก็ตะโกนออกไปว่า

“พี่น้อง พวกสุนัขนั่นยืนโด่ตายกันไปแล้ว พวกเราวิ่งอ้อมไป ลุย!!”

ชายผู้นั้นตะโกนพลางยกดาบพัวเตาขึ้นกวัดแกว่ง พวกโจรทั้งกลุ่มก็กรูออกไปพร้อมเสียงเฮโลดัง

“ยิงธนู กระจายมุ่งเป้า!”

หวังทงออกคำสั่งเสียงดัง พลธนูค่ายหนึ่งที่วิ่งกลับมาก็ขึ้นสายน้าวยิง ที่เรียกว่ากระจายมุ่งเป้าก็หมายถึงเล็งโจรเบื้องหน้าให้ดีแล้วค่อยยิง

เดิมสองฝ่ายห่างกันก็ไม่ไกลนัก พลธนูยิงออกไป เบื้องหน้าก็ล้มลงถึง 20 กว่าคน ไม่ตายก็บาดเจ็บ

คนทั้งหมดไม่เกินสองสามร้อย พอถูกยิงไป 20 กว่า และยังเป็นพวกกล้าหาญแนวหน้าเสียด้วย ทั้งฝูงจึงเริ่มแตกตื่น

สองแถวพร้อมหอกยาวเริ่มก้าวเดินหน้ากระชับพื้นที่ ขบวนแถวเช่นนี้ราวกับตัวเม่นหนามแหลม แม้เจ้าจะกล้าหาญเพียงใด แต่มีแค่อาวุธพื้นๆ มาบุกสู้กับหอกยาวด้านหน้า ก็ย่อมหลบไม่พ้น ทุกคนย่อมรักชีวิต รู้ทั้งรู้ว่าไปตาย ใช่ว่าจะยอมทำ

พลทหารค่ายสองค่อยๆ ก้าวเดินขึ้นหน้า ด้านหลังเป็นคูน้ำ คิดจะถอยก็คงได้แต่กลับไปที่สะพานแขวน แต่จะกลับไปได้อย่างไร อีกฝ่ายครองพื้นที่ไว้แล้ว

พวกโจรด้านหลังเริ่มแตกตื่น มองเห็นที่ว่างด้านหลังสามารถวิ่งกลับเข้าโรงบ้านได้ก็กรูกันไป คิดไม่ถึงว่าพอก้าวขึ้นสะพาน ก็ถูกธนูยิงออกมาจากในโรงบ้าน

“นายท่านเป้าดีกับพวกเราไม่น้อย สุราอาหารหญิงงามมีให้พวกเราไม่ขาด ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องการใช้งานพวกเรา ผู้ใดคิดหนีเอาตัวรอด ข้าเป็นคนแรกที่จะไม่ยอม!!”

พูดได้มีคุณธรรมยิ่ง แต่นี่มันกองกำลังทางการ ด้านหน้าเป็นกองกำลังองครักษ์เสื้อแพร ด้านหลังยังมีอีกกอง คิดว่าคงหนีไม่พ้นแน่ คิดจะยอมแพ้ก็เกรงว่าจะถูกคนด้านหลังฟันหัวขาดก่อน

ทว่ายามนี้ก็มีคนเห็นช่องโหว่ของกองกำลังเม่นสองกองนั้นที่เดินขึ้นหน้าไม่หยุด หากที่ช่องว่างระหว่างสองกองยังพอมีอยู่

ยิ่งไปกว่านั้นหัวหน้าที่ตะโกนคำสั่งเดินหน้าเริ่มเคร่งเครียด สองกองเริ่มไม่พร้อมเพรียง ไม่ได้เป็นระเบียบเรียบร้อยดังเดิม ความเรียบร้อยเป็นระเบียบเมื่อครู่ก่อน ตอนนี้เริ่มสะเปะสะปะอยู่บ้าง

“พี่น้องเรา ทางไหนก็ต้องตาย ตามข้าบุกขึ้นไป ไม่แน่ว่าจะมีทางรอดได้!!”

พวกที่อยู่ด้านหน้าล้วนเป็นโจรที่กล้าหาญที่สุด พวกเขากล้าที่จะต่อสู้และกล้าที่จะบุก ยามปกติก็เป็นหัวโจก พอได้ยินเสียงตะโกนเช่นนี้ คนด้านหลังก็ตามมาอย่างไม่ทันได้คิดอันใด

พลธนูองครักษ์เสื้อแพรยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่ค่ายทั้งสองกำลังก้าวไปข้างหน้า หากยิงธนูตอนนี้ เป็นไปได้ที่จะทำร้ายคนของตัวเองโดยไม่ตั้งใจ พลธนูจึงไม่กล้ายิง

ในชั่วพริบตาพวกโจรกับสองค่ายก็เผชิญหน้ากัน สองฝ่ายห่างกันไม่ถึงสี่สิบก้าว โจรที่วิ่งอยู่ด้านหน้าล้วนเป็นพวกบ้าคลั่ง ด้านหลังตามมาเป็นลำดับ บ้างก็เร็ว บ้างก็ช้า พริบตาเดียวก็กรูเข้ามาเป็นขบวนรูปมุมแหลม

นี่เป็นครั้งแรกที่ทหารองครักษ์เสื้อแพรออกศึก แม้ว่าจะเดินแถวขึ้นหน้าเหมือนที่เคยฝึกปกติ แต่พอเห็นโจรด้านหน้าตะโกนส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง ท่าทางปรี่เข้ามาอย่างดุเดือด

พวกทหารส่วนใหญ่ก็เริ่มตื่นตระหนก แถวหน้าแม้จะเป็นพวกเก่งกาจที่สุด เคยร่วมต่อสู้ในนามกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินมาแล้ว แต่ตอนนี้ทุกคนต่างพากันตื่นตะหนกจนมือไม้สั่น

ในสนามรบเน้นเรื่องขวัญกำลังใจ ซึ่งก็คือสภาวะจิตใจ หากไร้ความมั่นใจและความกล้าหาญ สภาวะจิตใจของนักรบก็จะได้รับผลกระทบ ความกลัวที่แผ่ครอบคลุมไปทั่วจิตใจของทหารทุกคนไม่เพียงแต่ตัวจะสั่น หากปากและลำคอก็จะเริ่มแห้งผาก ก้าวเท้าก็จะเริ่มช้าลงและไร้ความพร้อมเพรียง

ขบวนแถวที่เมื่อครู่ยังเป็นระเบียบอยู่ยามนี้กลับเริ่มโค้งเป็น ‘อ่าว’ พริบตาเดียวก็เผชิญหน้ากับโจร หัวหน้าโจรพร้อมดาบในมือ อีกมือยังขว้างปาของเข้าใส่ โจรทุกคนที่ปรี่เข้ามาล้วนทำเช่นเดียวกัน

พวกที่เรียกว่าวีรชนต่อต้านทางการ เริ่มจากไม่มีอะไรที่ไม่นำมาใช้ ขอเพียงมีประโยชน์ก็จะนำมาใช้ นิยายกำลังภายในมักจะอวดอ้างว่าเป็นกลยุทธ์ศิลาบินอะไรพวกนั้น ที่แท้จริงนั้นก็คือเอาก้อนหินปา ในการรบนั้นขว้างใส่ก่อนได้เรียกว่าได้เปรียบ

วิ่งเร็วเช่นนี้ หินที่ขว้างออกมานั้นย่อมไม่โดนหัว แต่พลทหารองครักษ์เสื้อแพรที่ตื่นตระหนกอยู่นั้นก็ต้องหาทางหลบตามสัญชาตญาณ ขบวนที่เรียงแถวที่ว่างเช่นนี้ย่อมไม่อาจหาที่หลบได้ ถูกปาโดนย่อมไม่ถึงชีวิต แต่ความเจ็บจนต้องร้องออกมานั้นย่อมเลี่ยงไม่ได้

พวกโจรรีบปรี่เข้าไปอยู่ระหว่างช่องว่างของสองค่ายแล้ว พลทหารลืมลงมือ ปล่อยให้โจรแทรกตัวเข้าไป…

แต่พวกโจรที่แทรกตัวเข้าไประหว่างสองค่ายได้ก็ไม่มีโอกาสลงมือ เพราะหากจะตวัดดาบพัวเตาฟันจะต้องหยุดนิ่ง แต่ถ้าหยุดอาจจะถูกคนด้านหลังที่ตามมาติดๆ ผลักล้มลงแล้วเหยียบเอาได้

ทว่าช่องว่างนั้นก็มีพื้นที่จำกัด คนด้านหน้าแทรกตัวเข้ามา คนด้านหลังที่ตามมา ยังมีพลทหารองครักษ์เสื้อแพรตามมาอีก

“ลงมือ!! ลงมือ!! แทงหอก!!”

หัวหน้าค่ายโมโหมากเมื่อเห็นว่าขบวนสูญเสียการควบคุมจึงตะโกนดัง ทหารที่ยังคงพอรักษาท่าทีสงบนนิ่งได้ก็ยกหอกแทงเข้าใส่ไม่หยุด

ความโกลาหลที่เกิดจากความกลัวส่งผลกระทบร้ายแรงถึงชีวิต ไม่มีขบวนแถวที่แน่นหนา ไม่การป้องกันจากหอกยาว พวกโจรสามารถรุกเข้าฟาดฟันอย่างใจกล้าได้โดยไร้ความยำเกรง

โชคดีที่ทหารสองแถวสุดท้าย แม้ว่าพวกเขาจะตื่นตระหนก แต่อย่างไรก็ยังคงสติได้ พวกเขาเป็นทหารที่เชื่อฟังคำสั่งหัวหน้าอย่างแข็งขัน แถวหน้าหลายแถวนั้นแทงมั่วกันไปหมดแล้ว

อย่างไรก็ตามการลงมือกันเช่นนี้ก็ส่งผลดีอยู่ แม้โจรจะบุกเข้าฟันทหารได้หนึ่งนาย แต่ก็จะเกิดช่องว่างระหว่างแถวให้หอกยาวพุ่งออกมาแทงได้ทันที

ไม่ต้องพูดถึงหอกแทงสะเปะสะปะ พวกโจรที่ปรี่กันออกมาย่อมหลบไม่พ้น หอกยาวสามารถเว้นระยะห่างที่ปลอดภัยให้กับทหารทุกคน ทำให้ทุกคนได้มีเวลาโต้กลับได้ทันท่วงที

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น แม้แต่บรรดาระดับหัวหน้าในค่ายก็จับอาวุธออกมาต่อสู้ การต่อสู้ดำเนินต่อไป จิตใจบรรดาทหารค่อยๆ สงบลง ต่างค่อยๆ ขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น

หอกยาวหลายชั้นทำให้บรรดาโจรถูกแทงออกไป แต่จะบุกขึ้นหน้าก็มิได้ ระยะห่างของสองค่ายยิ่งขยายใหญ่ขึ้น บรรดาโจรไม่สนใจจะต่อสู้ต่อ จึงถือโอกาสเห็นช่องทางหลบ วิ่งหนีออกไปทันที

พวกที่หนีออกไปได้ต่างก็รู้สึกหายใจคล่องขึ้น ทุกคนรู้สึกว่ารอดแล้ว แต่เกรงว่าพวกเขาดีใจกันเร็วเกินไป

ทุกคนที่วิ่งออกมาอ้าปากค้าง ห่างออกไปหนึ่งร้อยก้าว มีม้าสิบกว่าตัวเรียงแถวหน้ากระดาน หัวหน้ากองนั้นในมือเหมือนมีหอกยาวเช่นกัน ตวัดลงด้านหน้าอย่างแรงทีหนึ่ง พลม้าทั้งสิบกว่านายก็ออกตัวพร้อมกัน ควบม้าวิ่งมาข้างหน้า

หัวหน้าที่ตะโกนว่าเห็นช่องหลบหนีผู้นั้นตอนนี้อยู่แถวหน้าสุด พอเห็นหอกยาวในมือแทงตรงมาที่เขา สองข้างล้วนเป็นพลม้า หนีก็ไม่พ้น หันหลังกลับก็ยิ่งรนหาที่ตาย ไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้แต่ยกดาบพัวเตาในมือขึ้น ตะโกนดังบุกขึ้นไปตายเอาดาบหน้า

ดาบนั้นโชคดีที่รับทวนได้พอดี แต่ด้วยพลังของม้าที่วิ่งพุ่งมา ทำให้เขาต้านทานไว้ไม่อยู่ มือโจรผู้นั้นถึงกับชาไปทั้งแถบ

ในเวลาต่อมา ม้าก็กระแทกเข้ามา คนไหนเลยจะชนชนะม้าได้ และยังพุ่งแทงมาอีก และยังเป็นพลทหารม้าทางการที่มือหนัก โจรผู้นี้จึงถูกชนกระเด็นลอยไปกลางอากาศก่อนจะกระอักโลหิตสดออกมา การชนครั้งนี้นับได้ว่ากระแทกจนช้ำใน พอร่วงกระแทกพื้นก็ไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้อีก

มีม้าสิบกว่าตัวทะยานเข้ามากวาดเอาบรรดาคนที่หนีออกมาให้หันหลังกลับไป พลทหารม้าที่ไล่ตามทันพวกโจรก็จะแทงหอกยาวในมือเข้าใส่ ดึงดาบและขวานบนอานม้าออกมา ตวัดซ้ายทีขวาที ฟันจากด้านบนลงมาด้านล่าง

นักรบบนหลังม้าเหล่านี้ ไม่ใช่พวกจะแตกตื่นกับการการรบและความตาย ฝีมือทุกคนสูงส่ง ย่อมมีใจที่สงบนิ่ง ท่ามกลางกลุ่มโจร ฟาดฟันซ้ายขวา สิ่งใดขวางทางย่อมระเนระนาดลง

ที่ยุ่งยากกว่าก็คือเสียงตะโกนคำสั่งเดินแถวของพวกที่แตกตื่นก่อนหน้านี้ดังขึ้นอีกแล้ว มีแถวนอนสองแถวเริ่มกระชับพื้นที่เข้ามาใกล้ ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อน แถวนอนสองแถวนั้น แถวแรกล้วนถือโล่

“ค่ายห้า ค่ายสิบสอง กลับหลังหัน!!”

คนบนหลังม้าตะโกนดัง ขบวนที่กระจัดกระจายไปบ้างเริ่มกลับหลังหัน

ตอนนี้ทั้งหน้าและหลังล้วนมีแต่พลองครักษ์เสื้อแพรปิดทางไว้ ทหารม้าโหดเหี้ยมตรงกลางก็ลงมือสังหาร ในยามนี้พวกโจรไม่อาจหนีได้อีกต่อไป

“จับเป้าตันเหวินได้แล้ว จับเป้าตันเหวินได้แล้ว!!”

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าม้าควบมามากมาย พลทหารม้าหลายสิบนายวิ่งมาทางนี้ พอได้ยิน พวกโจรที่ยังมีความกล้าหาญอยู่ไม่มากนักก็สติแตกกันทันที

พวกวงนอกคิดจะวิ่งหนี พวกวงในก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนเริ่มนำทิ้งอาวุธ พอทิ้งอาวุธในมือ ก็มีเสียงร้องไห้ตะโกนดังว่า

“ท่านขุนนาง ท่านขุนพล พวกข้าน้อยยอมแพ้แล้ว พวกข้าน้อยยอมแพ้แล้ว!!”

เมื่อมีคนหนึ่งตะโกนออกมา ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นโรคติดต่อ ทุกคนพากันทิ้งอาวุธ ตะโกนยอมแพ้กันอยู่ตรงนั้น ด้านหน้าม้าของหวังทงไม่มีใครกล้าขวางทางอีก

หวังทงควบม้าวิ่งออกไป ตะโกนน้ำเสียงเย็นเยียบว่า

“วางอาวุธ คุกเข่าลง ละเว้นชีวิต”

คำสั่งของเขาออกไป พลองครักษ์เสื้อแพรในสนามรบต่างก็ตะโกนตามอย่างพร้อมเพรียงกัน “วางอาวุธ คุกเข่าลง ละเว้นชีวิต!!” พอวาจานี้ตะโกนดัง บรรดาโจรที่เริ่มสติแตก ก็เริ่มคุกเข่าลง ไม่มีผู้ใดคิดต่อสู้อีก

ตัวหวังทงเปื้อนไปด้วยโลหิตจำนวนมาก ใบหน้าของเขาแลดูโหดเหี้ยม พระอาทิตย์ยังไม่ถึงเที่ยง สนามรบดำเนินมาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เป็นชัยชนะที่ไม่เลว

แต่สีหน้าของหวังทงดูเหมือนจะเป็นความพ่ายแพ้ หากมองขั้นตอนการรบที่ผ่านมา มันเกินจะทนรับได้….

————————————————————————-

[1] มีลักษณะหน้าดาบกว้างและด้ามจับยาว ใช้สองมือฟัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!