Skip to content
Home » Blog » องครักษ์เสื้อแพร 367

องครักษ์เสื้อแพร 367

ตอนที่ 367 ฝ่ายตรงข้ามไม่มา เช่นนั้นก็ไปเยือนถึงที่

โลกสงบสุขมาเป็นเวลานาน แม้ว่าตอนเหนือจะมีพวกชนเผ่านอกด่าน พวกเลี้ยงม้าให้ทางการแถบซานตงจะเคยก่อเรื่อง ทว่าอย่างไรในเมืองก็ย่อมเป็นพื้นที่สงบสุข

ทุกคนล้วนยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติตามกฎ กลางวันแสกๆ เช่นนี้ กลุ่มทหารพร้อมอาวุธท่าทางดุร้ายวิ่งมุ่งมาโอบล้อมทุกคนกลางท้องถนน กลิ่นไอสังหารกระจายไปทั่ว ไม่สนใจว่าผู้ใดจะหวาดกลัว ล้วนเป็นขุนนางระดับสี่และห้าในราชสำนัก ในใจพากันคิดว่าหรือว่ามีผู้ใดกล้าถึงขั้นนี้จริง

ทุกคนย่อมมีการข่าวฉับไว รู้ว่าหวังทงมีพฤติกรรมโหดเหี้ยมมากมาย ทุกคนเป็นแค่ขุนนางบุ๋นหรือไม่ก็ขุนนางบู๊ในกลุ่มคนชั้นสูง หรือไม่ก็ขันทีชำนาญบัญชี เมื่อเจอสถานการณ์คับขันเช่นนี้ ทุกคนก็ได้แต่กายอ่อนยวบลง

หากไม่ใช่มีคนจูงม้าอยู่ด้านหน้ากระชากบังเหียนม้าไว้ เกรงว่าขุนนางบนหลังม้าแต่ละท่านคงได้ร่วงลงมาเป็นแน่ แม้แต่นายกองพันเก่อลี่ยังมีสีหน้ายังซีดเผือด เสิ่นฉุนแห่งสำนักอาชาหลวงตะเบ็งเสียงดังขึ้นว่า

“ข้าเป็นคนของซุนไห่กงกงแห่งสำนักอาชาหลวง ข้าเป็นคนของซุนไห่กงกงแห่งสำนักอาชาหลวง……”

อวี๋จี้หย่งและสวีกว่างมีท่าทีย่ำแย่ยิ่งกว่าคณะตรวจสอบเสียอีก ทิ้งตัวคว่ำนิ่งบนหลังม้า ตัวสั่นเทำไม่หยุด เพราะพวกเขาเคยได้เห็นการลงมือของหวังทงมาก่อน

มีเพียงหูจื้อจงจากสำนักส่วนพระองค์ผู้เดียวที่ยังคงนิ่ง เขาบังคับม้าก้าวออกมาด้านหน้า ตวาดถามเสียงเยียบเย็น

พลทหารที่ล้อมเขาไว้ไม่สนใจเสียงตวาดดังของหูจื้อจงแม้แต่น้อย ประสานมือกล่าวเสียงดังว่า

“กองพันค่ายสามองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินรับคำสั่งมาคุ้มกันใต้เท้าทุกท่าน!!!”

น้ำเสียงดังกังวาน พอได้ยินว่า คุ้มกัน พวกกลัวกันหัวหดก็เริ่มมีความกล้าคืนมา ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นโกรธแค้น ในใจคิดว่าเจ้าหวังทงปฏิบัติหน้าที่เหิมเกริมเกินไปแล้ว เก่อลี่หน้าแดงก่ำสบถด่าเสียงดัง

“รับคำสั่งมาคุ้มกันใต้เท้าทุกท่าน!”

ทหารรายรอบพากันตะโกนดังขึ้นพร้อมเพรียง เสียงประสานพร้อมเพรียงเช่นนี้ทำเอาคนในวงล้อมตกใจสะดุ้ง ม้าที่นั่งก็ตกใจไปด้วย หากไม่ใช่คนจูงม้าดึงเอาไว้ เกรงว่าคงกระโดดยกขาหน้าขึ้นแล้ว

ทหารรายรอบพากันเก็บอาวุธ เรียงเป็นสองแถว ให้คนกลุ่มนี้ได้อยู่ตรงกลาง หัวหน้ากองกำลังครั้งนี้ออกคำสั่ง ทุกคนเดินหน้าพร้อมเพรียง

คนนอกที่ไม่รู้เรื่องมองมา ยังคิดว่าเป็นทหารองครักษ์เสื้อแพรจับกุมนักโทษ

**********

“ช่างน่ารังเกียจๆ เจ้าหวังทงช่างไม่เห็นผู้ใดในสายตา”

“การตรวจสอบคราวนี้จะต้องตรวจให้ละเอียด ตรวจหาความผิดของเจ้าลืมตัวผู้นี้ให้ได้ ลงโทษให้หนัก!”

ภายในห้องหรูของโรงเตี๊ยมจตุรทิศ อาหารชั้นยอดยกขึ้นตั้ง ยังมีสาวงามร้องรำทำเพลง แต่บรรดาผู้ร่วมโต๊ะกลับไม่มีอารมณ์จะสำราญ ทุกคนหน้าดำคร่ำเครียด

ทุกคนไม่ใช่คนโง่ ผู้ใดจะดูไม่ออกว่าหวังทงแสดงอำนาจให้ทุกคนได้เกรงกลัว ต่างรู้ว่าคนผู้นี้ใจกล้า แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะถึงกับชั่วร้ายถึงขั้นนี้ได้ ทุกคนขายหน้ากันกลางวันแสกๆ อับอายอย่างที่สุด

“หูกงกง ท่านเห็นแล้วใช่ไหม หวังทงนั่นมันชั่วร้ายจริงๆ อ้างพระนามฝ่าบาทก่อการเหิมเกริม ตนเองละเมิดกฎหมายไม่ว่า ยังทำลายชื่อเสียงราชสำนักอีกด้วย ท่านต้องกลับวังไปรายงานเฝิงกงกงนะ”

สวีกว่างขันทีดูแลเสบียงหลวงประจำเทียนจินยกจอกสุราขึ้นพลางกระซิบข้างหูจื้อจงที่นั่งอยู่ข้างๆ คนอื่นพากันยกจอกสุราขึ้น มีเพียงหูจื้อจงที่ยกชามข้าวขึ้นกินเอากินเอา ไม่สนใจคนเหล่านี้แม้แต่น้อย

การด่าทอหวังทงนับได้ว่าเป็นวาทกรรมร่วมกันของทุกคนในที่นี้ กัวผิงกว่างแห่งกรมทหารกระแทกจอกสุราลงบนโต๊ะอย่างแรง ด่าทอหยาบคายว่า

“จะต้องไม่ผิดต่อเบื้องบนที่ไว้วางใจ ต้องตรวจสอบให้ละเอียด หากไม่ตรวจสอบเทียนจินนี้ให้กระจ่างได้ จะไม่ยอมกลับเมืองหลวงเด็ดขาด!!”

ทุกคนด่ากันหน้าดำหน้าแดง ประสานเสียงด่าทอ

*************

เดิมอวี๋จี้หย่งเตรียมกำหนดการไว้ว่า เมื่อทุกคนจากเมืองหลวงลำบากลำบนมาถึงที่นี่ พื้นที่เทียนจินแสนทุรกันดาร แต่ก็มีสิ่งที่เมืองหลวงไม่มี และยังเจริญรุ่งเรืองไม่น้อยอีกด้วย

รอให้ทุกคนได้ผ่อนคลายสักสองสามวัน นางรำขับร้องย่อมมีไม่ขาดตกบกพร่อง รอให้ทุกคนพักผ่อนกันพอแล้ว เติมพลังกันเต็มที่แล้วค่อยเริ่มปฏิบัติหน้าที่ แต่เรื่องวันนี้ทำให้ทุกคนโมโหกันยกใหญ่ จะต้องปฏิบัติหน้าที่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

อย่างไรก็ตามมีคำพูดที่ว่าทุกคนไม่สะดวกที่จะกล่าวออกมา พลทหารรังสีสังหารรุนแรงพวกนั้นช่างน่าหวาดผวายิ่ง เดินมาตามท้องถนนราวกับเป็นคนคนเดียวกัน ทุกย่างก้าวที่กระแทกพื้นทำเอาทุกคนรู้สึกหวาดผวา ไม่ต้องพูดถึงประกายแสงวาววับจากหอกยาวดาบสั้นพวกนั้น เห็นแล้วก็ทำเอาทุกคนขวัญผวา

ทุกคนล้วนคิดถึงว่าหวังทงจิตใจโหดเหี้ยม อย่าอยู่เทียนจินนานนักจะดีกว่า คนผู้นี้ทำอะไรไม่ค่อยคิดถึงผลร้ายที่ตามมา เช่นนี้ก็อาจโชคร้ายยิ่ง

อย่างไรก็ตามได้ยินมาจากทางเมืองหลวงว่า ความผิดจริงบ้างเท็จบ้างของหวังทงมีมากมาย หากตั้งใจตรวจสอบ กลัวจะจับความผิดอันใดไม่ได้หรืออย่างไร ถึงตอนนั้นค่อยพักผ่อนหาความสำราญกันก็ยังไม่สาย

ในใจทุกคนล้วนคิดการไว้เช่นนี้ รอวันพรุ่งนี้ คิดว่าทหารที่ ‘คุ้มกัน’ พวกเขามานั้นดูไม่น่าไว้ใจ อวี๋จี้หย่งจึงได้ขอให้ขุนพลซุนจื้อปินแห่งศาลชิงจวินที่มาแทนขุนพลหลี่ต้าเหมิงที่หายตัวไปส่งกำลังสักกองมาคุ้มครอง เช่นนี้จึงจะวางใจได้ เบื้องต้นก็แจ้งหวังทงไปว่าจะเริ่มตรวจสอบแล้ว

*************

ที่เรียกว่าตรวจสอบนั้นหากจะให้คณะตรวจสอบนี้ตระเวนไปทั้งในและนอกเมืองสอบถามคงเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายก็อยู่กับที่ตรวจสอบบัญชี สมุดจดและดูเอาจากสภาพการณ์เบื้องหน้า

ครั้งนี้ก็พาขุนนางทางฮกเกี้ยนที่คุ้นเคยกับทางเรื่องภาษีทางนี้มาด้วย ในเมื่อต้องตรวจสอบก็ทำตามระเบียบปฏิบัติส่งหนังสือไปเชิญหวังทงมาที่กองตรวจการ และให้นำสมุดบัญชีและคนที่เกี่ยวข้องอะไรพวกนั้นมาด้วย

คนส่งเอกสารเป็นคนสนิทผู้ติดตามของกัวผิงกว่างแห่งกรมทหาร อายุยังไม่มากนัก หน้ำตาหล่อเหลา กัวผิงกว่างให้ความไว้วางใจมาก คนที่ได้รับความไว้วางใจมากก็ย่อมมีอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย กอปรกับตนเป็นคนตรวจสอบ ตอนมายังที่ทำการองครักษ์เสื้อแพรจึงเชิดหน้าเย่อหยิ่ง

หลังแสดงเจตจำนงที่มาในครานี้ที่หน้าประตูแล้ว เดิมคิดว่าอีกฝ่ายจะรีบเชื้อเชิญตนเข้าไปด้านใน คิดไม่ถึงว่าทหารหน้าประตูถึงกับตรวจเอกสารด้วยท่าทีเย็นชา แล้วยังวิ่งกลับเข้าไปถามด้านในอีก กว่าจะเชิญเขาเข้าไปได้

พอเห็นการต้อนรับบกพร่องเช่นนี้ ผู้ติดตามคนสนิทของกัวผิงกว่างก็โมโหคุกรุ่น ไม่ทันสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ของกองตรวจการและสำนักเสบียงที่พาเขามานั้นเริ่มมีท่าทางหวาดกลัว พอเดินเข้าไปยังห้องโถงกลาง ก็เห็นชายท่าทางเหมือนพนักงานจดบัญชีหลายคนกำลังรายงานอย่างนอบน้อมกับเด็กหนุ่มผู้หนึ่งอยู่ ไม่มีผู้ใดสนใจทักทายเขาสักคน รอจนรู้สึกโมโหขึ้นมา จึงได้ตะโกนเสียงดังออกไปว่า

“ผู้ใดคือหวังทง ผู้ใดคือหวังทง!!?”

เมื่อตะโกนเช่นนี้ออกไป คนในห้องต่างก็มองมาที่เขาด้วยสายตาแปลกใจ เด็กหนุ่มนั่นกล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า

“ข้าคือหวังทง”

“ข้ารับคำสั่งใต้เท้าทุกท่าน สั่งให้หวังทงไปที่กองตรวจการ เตรียมสมุดจดบัญชีและเอกสารต่างๆ และคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปด้วย รีบไปในทันที อย่าได้รอช้า”

หลังจากผู้ติดตามกัวผิงกว่างกล่าวจบ หวังทงก็ลุกขึ้นยืน ผู้ติดตามก็เชิดหน้าขึ้นกล่าวเสียงเย็นชาว่า

“ทุกอย่างกล่าวชัดเจนแล้ว รีบออกเดินทางได้ อย่าได้รอช้าให้เสีย……”

วาจายังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกหวังทงถีบเข้าที่ท้องน้อยล้มกระแทกพื้นทันที หวังทงตามเข้าไปกระทืบท้องอีกที จากนั้นก็แย่งเอกสารในมือมากวาดตาอ่าน ตามด้วยฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปาใส่หน้าผู้ติดตามผู้นั้น ถามน้ำเสียงเย็นเยียบอย่างยิ่งว่า

“ข้าเป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรระดับห้า ไม่ทราบว่าท่านระดับใด ถึงได้กล้าเอ่ยนามข้าตรงๆ เช่นนี้”

ผู้ติดตามผู้นั้นเจ็บจนแทบลืมหายใจ กว่าจะคลายความเจ็บลงได้ ในใจก็คิดว่าเจ้าช่างไม่รู้จักดีชั่ว ถึงกับกล้าฉีกเอกสารทางการ ทำร้ายเจ้าหน้าที่ จึงตะโกนดังออกไปว่า

“ใต้เท้ากัวแห่งกรมทหารก็คือนายข้า……”

หวังทงตรงเข้าไปเตะอีกที ผู้ติดตามผู้นั้นถูกเตะตัวลอย จากนั้นก็กระแทกลงกับพื้นหินดาด แรงเตะครั้งนี้รุนแรงมาก เสียงร้อยโอดโอยด้วยความเจ็บปวดดังไม่หยุด

“กัวซื่อ เจ้าไร้ยศไร้ตำแหน่ง ยังเป็นบ่าวรับใช้ผู้อื่น กล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร!”

ยามนี้กัวซื่อจึงได้รู้ว่าตนสะดุดตอไม้ยักษ์เข้าแล้ว ความกลัวแล่นเข้าสู่จิตใจ ลืมคิดไปว่า ตนมาที่นี่ครั้งแรก ยังไม่ได้เอ่ยนามตัวเอง อีกฝ่ายรู้ชื่อตนได้อย่างไร

พวกรู้งานที่ตามมาด้วยจากกองตรวจการและสำนักเสบียงเมื่อเห็นเช่นนี้ยิ้มเข้ามากล่าวว่า

“ใต้เท้าหวัง พวกข้าน้อยมาปฏิบัติหน้าที่ ท่านอย่าเพิ่งโมโห ใต้เท้าคณะตรวจสอบขอให้ท่านไป……”

“มีราชโองการไหม?”

“……เป็นคณะจากหน่วยงานต่างๆ ไม่มีราชโองการ”

“ในเมื่อไม่มีราชโองการ ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า เมืองหลวงส่งเอกสารมาว่าจะตรวจสอบ เหตุใดต้องให้ข้าไปถึงที่นั่นด้วย!? จะตรวจสอบก็ต้องมาตรวจที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร”

ร่วมกันตรวจสอบ กลับไร้ซึ่งราชโองการ แค่ขุนนางระดับสูง ไม่ใช่ขุนนางปฏิบัติหน้าที่ตามพระบัญชา หวังทงเป็นทหารองครักษ์เสื้อแพรในพระองค์ กล่าวกันตามความจริงแล้ว หวังทงกับขุนนางปฏิบัติหน้าที่ตามพระบัญชานั้นระดับใกล้กัน สองฝ่ายยังต้องปฏิบัติต่อกันด้วยเสมอภาค

แน่นอนว่า หวังทงคือผู้ถูกสอบ แต่อย่างไรก็ไม่ใช่สืบคดี ทุกอย่างยังไม่ชัดเจน หวังทงจึงไม่เกรงกลัวอันใด ยังคงปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างองอาจผ่าเผย ผู้ใดก็ไม่อาจหาจุดบกพร่องใดได้

กัวซื่อผู้นั้นหยิ่งยโส แต่คนจากกองตรวจการและสำนักเสบียงต่างรู้ว่านายกองพันหวังผู้นี้บารมีน่าเกรงขาม ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ก็ไม่กล้าโต้ตอบแม้แต่น้อย ล้วนพากันยิ้มและพยักหน้าหงึกเห็นด้วย

“ข้ามีภารกิจยุ่ง นำเจ้าคนตาไร้แววผู้นี้กลับไปรายงานเอง!”

กล่าวจบ หวังทงก็กลับไปนั่งที่ บรรดาเจ้าพนักงานบัญชีก็ประคองสมุดบัญชีล้อมวงกันเข้ามา หากไม่ใช่ว่าได้ยินร้องโอดโอยของกัวซื่ออยู่ที่พื้นนั่น ก็ดูราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องอันใดก่อนหน้า

เจ้าหน้าที่พวกนั้นไหนเลยจะกล้าอยู่ต่อ รีบยกคนออกจากห้องไปทันที……

***********

“ไร้ความยำเกรงกฎหมาย ไร้ความยำเกรงกฎหมายสิ้นดี ข้าต้องเขียนจดหมายไปรายงานใต้เท้าเสนาบดี กราบทูลฝ่าบาท ถวายฎีการ้องเรียนความเหิมเกริมของมัน!!”

พอกลับไปถึง กัวซื่อย่อมต้องร่ำไห้ฟ้องกัวผิงกว่าง คณะตรวจสอบคิดไม่ถึงว่าหวังทงถึงกับกล้าทำเช่นนี้ ทุกคนได้แต่โมโหกันยกใหญ่

มาที่นี่เป็นวันที่สามแล้ว แต่ยังไม่เห็นหน้าหวังทง ทุกคนนั่งอยู่ที่นั้น ต่างพากันด่าทอขึ้นพร้อมกัน กัวผิงกว่างโกรธแค้นมากกว่าผู้ใด ถึงกับเดินไปด่าไป

“ในเมื่อมาตรวจสอบ นายกองพันหวังบอกว่าให้ไปที่ทำการนายกองพันหวัง พวกเรามากันครานี้ก็เพื่อตรวจสอบ ไม่ได้มาแสดงว่าใครใหญ่กว่าใคร ในเมื่อเขาไม่มา เช่นนั้นพวกเราก็ไปหาถึงที่แล้วกัน”

ทุกคนในที่นั้นต่างเห็นชอบ มีเพียงหูจื้อจงแห่งสำนักส่วนพระองค์คนเดียวที่กล่าวเช่นนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีอารมณ์โมโหโกรธาอันใด

ทุกคนได้แต่อึ้งมองหน้ากัน แต่ลองคิดดูให้ดี ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!