ตอนที่ 382 เจ้ารู้ไหมว่าภูเขาหลังข้าคือผู้ใด
เมื่อตะโกนออกไปเช่นนี้ สีหน้าพ่อบ้านรองก็แปรเปลี่ยน หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ที่แท้พ่อบ้านท่านนี้เป็นญาติกับทาสหลบหนีมาผู้นี้ด้วย พ่อบ้านท่านนี้ก็ช่างยุติธรรม ญาติตนหลบหนี ยังถึงกับออกแรงมาจับด้วยตนเอง”
หวังทงกล่าววาจาสัพยอก ก่อนจะก้มลงหยิบสมุดบัญชีที่พื้นขึ้นมาพลิกไปถึงตรงที่เขียนจำนวนเงินดังกล่าว ดูอย่างละเอียดแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า
“ถึงแม้ว่าลายมือจะคล้ายกันมาก แต่สีของกระดาษนั้นไม่ถูกต้อง ดูให้ดีๆ หมึกตัวอักษรก็ต่างกัน เถ้าแก่ว่าน พอท่านรนก็คงเปิดช่องให้คนเล่นงานเอา!”
หวังทงชี้จุดสังเกต ว่านหม่านเจียงก็รีบก้าวเข้ามาคว้าสมุดบัญชีจากมือหวังทง ดูอย่างละเอียด เป็นดังที่หวังทงว่าจริงๆ จากนั้นก็โมโหใหญ่ หันไปกระทืบเท้าด่าเสียงดังว่า
“ข้าทำการค้าด้วยความซื่อสัตย์ ไปล่วงเกินพวกเจ้าเมื่อไร ถึงกับโหดเหี้ยมเพียงนี้ พวกเจ้าไยจึงต่ำช้าเยี่ยงนี้!”
ว่านหม่านเจียงดูแล้วก็เป็นคนซื่อ แต่ตอนนี้กลับถลกแขนเสื้อคิดลงมือ พอก้าวเข้าใส่ ชายฉกรรจ์ห้าคนด้านหลังพ่อบ้านรองก็ก้าวออกมากันไว้ ทำเอาว่านหม่านเจียงตกใจวิ่งอ้าวกลับมา
หวังทงหรี่ตามอง ชายฉกรรจ์ห้าคนนี้ท่าทางนิ่งสงบ ท่าทีไม่เลว ดูแล้วไม่เหมือนผู้คุ้มกันธรรมดา
พ่อบ้านรองมองถังผิงที่ร้องครวญครางอยู่ สีหน้ำเย็นชา แต่ไม่ได้หวาดกลัวอันใด ชี้ไปที่หวังทงกล่าวว่า
“เจ้าเป็นใคร กล้ายุ่งเรื่องคนอื่น หรือไม่รู้จักที่ตาย?”
ในเมืองและนอกเมืองเทียนจิน มีคนไม่รู้จักหวังทงอยู่ไม่น้อย หวังทงแค่นเสียงตอบกลับไปว่า
“ข้านายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังทง”
พอได้ยินประโยคนี้ คนมุงโดยรอบก็ตะลึงงัน ตามมาด้วยอาการตกใจ จากนั้นก็แตกฮือกระจายไปคนละทิศละทาง เส้นทางน้ำที่เดิมติดขัด อยู่ๆ ก็โล่งไหลคล่องทันตา
แน่นอนว่าองครักษ์ 25 นายที่ติดตามหวังทงมาย่อมไม่ถอยไปไหน พอเอ่ยนามออกมา ที่เทียนจินย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขวางทาง แต่พ่อบ้านผู้นี้กลับทำหน้าไม่แยแสดังเดิม ถึงกับยังทำสีหน้าไม่พอใจยิ้มเยาะกล่าวว่า
“ก็แค่นายกองพัน เจ้ามันตำแหน่งอะไรกัน ที่ซานซี ที่ต้าถง แม้ไม่ถึงพันนายก็มีแปดร้อยนายได้ มีค่าอันใด รู้งานก็รีบขอขมาแล้วไสหัวไปซะ?”
หวังทงอึ้งไป หันไปมองพลทหารติดตามตนกับหาที่นั่งให้อวี๋ต้าโหยว สีหน้าทุกคนก็อึ้งพอกัน
“เจ้ามาถึงเทียนจินเมื่อไร?”
“เพิ่งมาถึงเมื่อวาน……เจ้าตัวบัดซบ เจ้าถามทำบ้าอะไร!?”
พ่อบ้านผู้นั้นยังไม่เข้าใจว่าหวังทงถามทำไม หากตอบไปตามสัญชาตญาณ พอได้สติก็ด่าเสียงดัง หวังทงก้าวขึ้นหน้าไปสองก้าว ตบบ้องหูไปอย่างแรงหนึ่งที พ่อบ้านไม่ทันได้ระวังก็ถูกตบหน้าหัน ผงะถอยหลังไปหลายก้าว มุมปากมีโลหิตไหลซึมออกมา
“มิน่าไม่รู้จักข้า!”
หวังทงแค่นยิ้มเดินเข้าใส่ พอเห็นหวังทงเข้ามาใกล้ พ่อบ้านผู้นั้นก็กุมหน้าถอยหลัง ชายฉกรรจ์ห้าคนก็เข้ามาบังเอาไว้
“ตีไอ้เจ้าตัวบังอาจนี้ให้ตาย ตีมันให้ตาย!”
“ใครขยับ ตาย!!”
ชายทั้งห้าที่เพิ่งก้าวเข้ามาบังเอาไว้ พอได้ยินเสียงมีดาบล้อมรอบก็มองไปเห็นแสงวิบวับรอบตัว
พอเห็นคนเหล่านี้คิดลงมือ ทหารอารักขาหวังทงก็ชักดาบก้าวเข้าใส่ คนที่พ่อบ้านพามาด้วยก็สีหน้าแปรเปลี่ยน ถอยหลังไปทันที
พอเห็นคนที่พามาด้วยถอยหลังหดหัว พ่อบ้านผู้นั้นก็อึ้งค้างไปทันที อดสบถด่าขึ้นเบาๆ ด้านหลังไม่ได้ว่า
“มารดามันสิ วันๆ เอาแค่ขี้คุยว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ลงใต้มาสามารถสู้ได้สิบต่อหนึ่งไม่ใช่หรือ ไยตอนนี้จึงได้กลัวหัวหด!?”
“พ่อบ้านรอง ไม่เหมือนกัน พวกนี้ไม่ใช่กระสอบหญ้า และก็ไม่ใช่พวกนักเลงหัวไม้ คนพวกนี้อาจจะไม่ด้อยไปว่าทหารกองทัพเราด้วยซ้ำ!”
พอได้ยิน พ่อบ้านก็ตัวสั่นเทา เขาอยู่ซานซีมานาน ย่อมรู้ว่าทหารที่เมืองต้าถงรู้ว่าตัวเองนั้นเก่งกล้าเพียงใด โดยเฉพาะในเมืองที่พวกเขาประจำการอยู่ ว่ากันว่าตอนนั้นยังฝึกฝนการต่อสู้จนชำนาญ พวกเขายังกล่าวเช่นนี้ หนุ่มน้อยเบื้องหน้าย่อมไม่ธรรมดา
อีกฝ่ายไม่กลัว สู้ก็สู้ไม่ไหว พ่อบ้านผู้นั้นจึงถ่มน้ำลายลงพื้นท่าทางดุร้าย ยังมีท่าทีไม่เกรงกลัว เดินออกมาชี้หน้าด่าหวังทงว่า
“เจ้าบัดซบ เจ้ารู้ไหมว่านายท่านของเราคือใคร?”
หวังทงหยุดก้าวเข้าใส่ ย้อนถามกลับไปท่าทางคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม
“ไม่รู้สิว่านายเจ้าเป็นใคร!?”
เขาเป็นนายกองพันกองครักษ์เสื้อแพร จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านายท่านร้านหย่งเซิ่งคือใคร พ่อบ้านรองได้ใจเสียงดังไปว่า
“นายท่านเราก็คือหย่งเซิ่งป๋อ อวี๋หยวนกัง หลานสาวนายท่านได้หมั้นหมายกับอ๋องลู่ นับแล้วก็เป็นพระญาติผู้ใหญ่ของฮ่องเต้……”
ยิ่งพูดเสียงยิ่งสูง แต่ยังพูดไม่จบ หวังทงก็เดินเข้าใส่ กระชากคอเสื้อดึงมาด้านหน้า ตบด้วยหลังมืออีกที ใช้แรงมาก ทำเอาคนทั้งคนคว่ำลงพื้นทันที ผู้คุ้มกันด้านหลังคิดจะเข้ามาช่วย ก็ถูกคนของหวังทงใช้ดาบกันไว้ ไม่กล้าขยับ
บรรดาศักดิ์ระดับป๋อ ยังเป็นท่านปู่ของพระคู่หมั้นอ๋องลู่ นับว่าเป็นยศบรรดาศักดิ์สูงในราชวงศ์หมิง ว่ากันว่าพอเอ่ยชื่อนี้ออกมา นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรก็คงได้แต่ก้มลงโขกขอขมา แต่นายกองพันหนุ่มผู้นี้กลับยังคงท่าทีแข็งกร้าว
พ่อบ้านรองตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาได้ก็ถูกหวังทงเหยีบบเข้าที่หน้าอก ใช้แรงบดขยี้ลงไป คนทั้งคนก็กระแทกพื้นอย่างแรงอีกครั้ง แม้แต่จะหายใจก็หายใจไม่ออก
หวังทงสีหน้าเหมือนสนุก ยกนิ้วโป้งชี้ใส่ตัวเองพูดขึ้นว่า
“เจ้ารู้ไหมว่าภูเขาหลังข้าคือผู้ใด?”
คิดอยู่นานว่าหากเอ่ยพระนามข้างนอกไปทั่ว ไม่ว่าให้ฝ่ายใดได้ยิน คงได้โดนตำหนิเป็นแน่ หวังทงได้แต่ยิ้มร่า ปล่อยมือ หัวเราะกล่าวว่า
“ภูเขาหลังข้าคือผู้ใด ไม่บอกเจ้าหรอก!”
การกระทำครั้งนี้ทำให้พ่อบ้านเข้าใจผิดไปอีก คิดว่าอีกฝ่ายกลัวชื่อหย่งเซิ่งป๋อเข้าแล้ว จึงสบถด่ายกใหญ่ไปว่า
“เจ้าตัวชั่ว วันนี้ที่เจ้ารังแกข้า ค่ำนี้จะจับเจ้าเข้าคุก ถึงตอนนั้นข้าจะค่อยๆ จัดการเจ้า……”
กล่าวไม่ทันจบ ก็เห็นดาบที่เอวหวังทงชักออกจากฝักฟันลงมาทันที พ่อบ้านตกใจขวัญหนีดีฝ่อ แหกปากตะโกนร้องสุดเสียงขึ้นทันที
ตอนดาบใกล้แตะโดน จากดาบตั้งก็เปลี่ยนเป็นนอนแล้วตบใส่แทน ตบไปอย่างแรงที่ปากพ่อบ้านผู้นั้น ตบจนฟันหลุดออกมาสองซีก แก้มบวมเป่งขึ้นทันที
“เจ้าบ้า เจ้ามันคนบ้า แล้วเราจะได้เห็นดีกัน……”
ปากบวมฟันหัก พูดไม่ชัด พ่อบ้านไม่กล้ากล่าวอันใดอีก หวังทงเก็บดาบคืนฝัก สั่งการไปว่า
“จับทุกคนมัดไว้ให้หมด ส่งไปที่ศาลชิงจวิน เรียนใต้เท้ากาวว่า ให้ดำเนินการไปตามขั้นตอน!”
ทหาคำนับรับคำสั่ง ปลดเชือกที่พกติดตัวออกมา สองฝ่ายมีเรื่องกันแต่ยังไม่เกิดเหตุถึงชีวิต ชายฉกรรจ์ที่มาจากร้านหย่งเซิ่งพวกนั้นก็ไม่ต่อต้าน ได้แต่จับตาจองมองหวังทงอย่างเอาเรื่อง
ถังผิงตะโกนร้องเสียงดังอย่างเจ็บปวด พ่อบ้านด่าทอเสียงดัง ทั้งเจ็ดคนถูกทหารหวังทงคุมตัวส่งไปศาลชิงจวิน หวังทงยิ้มยืนมอง จากนั้นด้านหลังก็มีเสียงคุกเข่าดัง ‘พรึ่บ’ ลง พอหันไปมองก็เห็นว่านหม่านเจียงและคนในร้านพากันโขกศีรษะ
“นายท่าน……นายท่านผู้ผดุงความยุติธรรม……หากไม่ได้นายท่าน กิจการที่ข้าน้อยสร้างมาคงถูกคนชั่วฮุบไปแล้ว”
ชาวบ้านมีเงินแต่ไร้อำนาจไร้อิทธิพล หากไม่ใช่หวังทงออกหน้า เกรงว่าคงถูกฮุบสมบัติไปแล้ว ทาสในจวนขุนนางระดับเจ็ดยังเป็นเรื่อง นับประสาอันใดกับทาสในจวนหย่งเซิ่งป๋อระดับนั้น
หวังทงกล่าวด้วยท่าทางสบายๆ ว่า
“เจ้าไม่ผิด ทำการค้าไปให้ดี จ่ายภาษีตามกำหนด ข้าย่อมให้ความเป็นธรรม แม่น้ำทะเลนี้ข้าเป็นผู้สร้างขึ้น ศาลชิงจวินมาจัดการที่นี่ไม่ได้ เจ้าคิดให้กระจ่างก็แล้วกัน”
แม่น้ำทะเลกล่าวให้ถูกก็ว่านอกเขตเทียนจิน หวังทงเป็นดังเทพสวรรค์ ณ ที่แห่งนี้ เขากล่าวเช่นไรก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ยามนี้คนในร้านค้าต่างๆ ที่ออกไปกินข้าวกันก็เริ่มกลับมามองดูจากที่ไกลๆ บนถนนสงบเงียบมาก หวังทงกล่าวเช่นนี้มีคนได้ยินไม่น้อย
“เจ้าไม่ต้องคุกเข่า เมื่อครู่ที่ข้ากล่าวไป เจ้าก็ได้ยินหมดแล้ว ไปศาลชิงจวินแจ้งความได้!”
หวังทงหยุดการแสดงความกตัญญูขอบคุณของคนเหล่านี้ หันไปเชิญอวี๋ต้าโหยวไปกินข้าว อวี๋ต้าโหยวใช้ไม้เท้ายันตัวขึ้น ยิ้มกล่าวว่า
“แอบซ่อนทาสที่ขโมยเงินและหลบหนีมา เป็นวิธีที่ใช้ฮุบสมบัติที่เกิดเป็นประจำ กลยุทธ์ปลาใหญ่กินปลาเล็ก”
“พวกลักเล็กขโมยน้อย พวกนักเลงหัวไม้ ยังมีเหตุคิดฮุบร้านพวกนี้ อีกหน่อยทางนี้คนมาก ร้านค้ามาก เรื่องก็คงมากตาม วันนี้หากไม่ใช่ข้าพบเข้า ร้านตระกูลว่านไม่แน่ว่าจะถูกพ่อบ้านนั่นฮุบไปแล้ว”
อวี๋ต้าโหยวอารมณ์ดีไม่น้อย เดินไปยิ้มไปกล่าวว่า
“หย่งเซิ่งป๋อ หลายปีนี้ก็นับว่าเป็นชนชั้นสูงอันดับต้น เจ้ากล้าล่วงเกินหรือ?”
“ใต้หล้าเป็นของฝ่าบาท หวังทงจงรักภักดีต่อฝ่าบาทก็เพียงพอ ไยต้องสนใจผู้อื่น……ทว่านอกจากป้องกันการโจมตีทางทะเลแล้ว ทางแม่น้ำทะเลก็ต้องสงบเรียบร้อย หากไร้การรักษาความสงบที่ดี พวกกเฬวรากย่อมก่อเรื่อง ทุกคนจะทำการค้าหากำไรกันอย่างสบายใจได้อย่างไร?”
************
ทหารยามหน้าประตูศาลชิงจวินกำลังว่างงานอยู่ ตอนกลางวันนั้นเองก็มีคนเจ็ดคนหน้ำตาดูไม่ได้โดนจับมัดมา
พอได้ยินว่าเป็นนักโทษที่นายกองพันหวังทงส่งมา ใต้เท้ากาวก็ไม่กล้ารอช้า รีบเปิดศาลพิจารณาทันที
พออยู่ในศาล ถังผิงก็หมดสติไปแล้ว พ่อบ้านปากบวมพูดไม่ชัด ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งกล่าวขึ้นน้ำเสียงเอาเรื่องว่า
“ใต้เท้า พวกข้าน้อยเป็นคนจวนหย่งเซิ่งป๋อ ส่งมาดูแลการค้าที่เทียนจิน ระหว่างทางเกิดเหตุเข้าใจผิด”
พอได้ยินว่าหย่งเซิ่งป๋อ ใต้เท้ากาวก็อึ้งค้างไปทันที สีหน้าพ่อบ้านกับคนที่เหลือก็ฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่อง คิดไม่ถึงว่าทหารที่คุมตัวมากลับกล่าวกำชับขึ้นอย่างเย็นเยียบว่า
“ใต้เท้ากาว คนพวกนี้สร้างสถานการณ์หลอกลวงคิดฮุบสมบัติผู้อื่น ใต้เท้าเราจับได้ ส่งข้าน้อยคุมตัวมาที่นี่ ใต้เท้าเรากำชับมาว่า ขอให้ใต้เท้ากาวดำเนินการไปตามขั้นตอน!”
ใต้เท้ากาวที่พึ่งได้สติก็อึ้งไปอีก นายกองพันหวัง หย่งเซิ่งป๋อ คิดชั่งน้ำหนักดูแล้ว ก็หยิบไม้คำสั่งโยนลงไป สั่งการไปว่า
“ตามกฎ โบยผู้ต้องหา 30 ไม้ก่อน โบยให้แรง!!”