ตอนที่ 390 เอ่ยอ้างเรื่องอื่นเพื่อเป้าหมาย
ความหมายของคำว่า เทียนจิน ก็คือท่าเรือโอรสสวรรค์ ตอนนี้กลายเป็นประตูสู่ทะเลที่ใกล้เมืองหลวง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นศูนย์กลางการขนส่ง จุดขนถ่ายสินค้าส่งพื้นที่ชายแดนอย่างเมืองจี้โจว
พื้นที่สำคัญเช่นนี้กลางดึกกลับถูกโจรสลัดหลายพันเข้าบุก รายงานจากเทียนจินเรียกชื่อโจรพวกนี้ตรงๆ ว่า ‘พวกโจรสลัดวัวโค่ว’ จากศพและคำให้การตัดสินได้ว่า โจรสลัดราวสี่ร้อยอย่างน้อย แน่นอนย่อมเรียกได้ว่า โจรสลัดวัวโค่ว
ตัดหัวไป 3,400 จับเป็นเชลยราว 300 ตัวเลขนี้เมืองหลวงไม่เชื่อ หวังทงมีทหารในมือแค่ 3,000 กว่า ยังเป็นแค่องครักษ์เสื้อแพร เหตุใดจึงต่อสู้ได้ผลลัพธ์เช่นนี้ได้?
ยิ่งกว่านั้นหวังทงยังรายงานว่าราษฎรเทียนจินเสียชีวิตเพียง 15 คน และทหารองครักษ์เสื้อแพรอีก 10 นาย ยิ่งทำให้บรรดาขุนนางนับร้อยพากันหัวเราะขบขัน หวังทงอายุเพียงแค่นี้ถึงกับกล้ารายงานการรบอันเป็นเท็จเช่นนี้ เกรงว่าจะเกินไปหน่อยแล้วกระมัง
ว่ากันว่านี่เป็นโอกาสอันดีในการโจมตีหวังทง แต่อวี๋จี้หย่งแห่งกองตรวจการ ขันทีสวีกว่างแห่งสำนักเสบียงและซุนจื้อปินแห่งกองกำลังพิทักษ์เทียนจินต่างก็รายงานมายังราชสำนักผ่านมาทางกองกำลังชีจี้กวงที่เมืองจี้โจว จดหมายส่วนตัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง
รายงานทางการทางไม่ต้องกล่าวถึง จดหมายส่าวนตัวค่อนข้างเล่าได้จริงกว่าว่า
“……เมื่อคืนนี้เสียงฆ่าฟันดังถึงฟ้า เสียงปืนใหญ่ราวอสุนีบาต……”
“……ผู้คนในเมืองต่างหวาดกลัวไม่กล้าออกมา……”
“……ศพถูกฝังอยู่ที่ชายหาดรกร้างไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสิบลี้ ทหารทางการเข้าเสริมกำลังช่วยเหลือ ไม่พบศพศพทหารองครักษ์เสื้อแพร……”
“…… พื้นที่ฝึกทหารทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง จัดพิธีคำนับศพทหารที่สละชีพ เชิญครอบครัวมาร่วมพิธี จำนวน 15 นาย……”
“……แปลกจริง เมื่อคืนพลทหารองครักษ์เสื้อแพรริมแม่น้ำทะเลไม่ถึง 3,000 โจรสลัดวัวโค่วเกือบ 4,000 ยังจู่โจมใหญ่ ทำลายล้างโจรล้าง ร้านค้าริมแม่น้ำทะเลเสียหายไปแค่สองร้านกับคนอีกราวสิบคนเท่านั้น เจ้าคนแซ่หวังปฏิบัติการเหนือความคาดหมายเสียจริง……”
หลังจากข่าวนี้แพร่กระจายไปถึงเมืองหลวง พวกที่คิดจะอาศัยจังหวะนี้หาเรื่องก็พบกว่า หากยังดึงดัน เกรงว่าดีไม่ดีอาจทำให้หวังทงได้รับความดีความชอบใหญ่ที่น่าตกตะลึงไปแทนก็ได้
ว่ากันว่าก่อนหน้านี้ไทเฮาฉือเซิ่งเองก็ทรงชมเชยหวังทงมาก่อน ยังมีความดีความชอบเช่นนี้อีก ดีไม่ดีคงได้กลับเมืองหลวงมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรเลยก็ได้ หรือไม่ก็รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ลงแรงตั้งนานกว่าจะขับไล่ออกจากเมืองหลวงไปได้ ยังไงก็ต้องลงแรงเก็บเรื่องนี้ไว้ให้มิดชิด เรื่องอันใดจะให้เขาได้ความดีความชอบไป
การต่อสู้ภายในก็ส่วนการต่อสู้ภายใน การเมืองการปกครองใหญ่ยังคงดำเนินต่อไป เทียนจินเป็นพื้นที่สำคัญ เป็นประตูสู่ทะเลของเมืองหลวง ถึงกับมีโจรสลัดหลายพันจู่โจมเข้ามาได้ เช่นนี้ย่อมเกี่ยวพันกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้เด็ดขาด
หลายหน่วยงานอย่างเช่นสำนักส่วนพระองค์ คณะเสนาบดีใหญ่ กรมหทารและสำนักตรวจสอบ ต่างก็เริ่มวางแผนและส่งสารไปยังที่ต่างๆ ตำหนิเอาผิดกับขุนนางบุ๋นและบู๊ที่เกี่ยวข้อง ให้พวกเขาเพิ่มกำลังป้องกันให้เข้มแข็ง
จางจวีเจิ้งกำลังระเบิดอารมณ์อยู่ที่คณะเสนาบดีใหญ่ ราชบัณฑิตในนั้น รวมทั้งจางซื่อเหวยเสนาบดีกรมทหารต่างก็กำลังคุกเข่าน้อมรับผิด ยังว่ากันว่าไทเฮาเรียกจางจวีเจิ้งเข้าเฝ้า และยังทรงสอบถามเฝิงเป่าอีกหลายครั้ง
เรื่องถึงขั้นนี้ ก็คงได้แต่หามาตรการป้องกันและรับมือ ไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก
***********
“ขุนนางที่รักทุกท่าน เมืองเทียนจินผจญโจรสลัดเรื่องใหญ่เช่นนี้คิดว่าทุกคนคงทราบกันแล้วกระมัง?”
ณ หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามขึ้น
บรรดาขุนนางใหญ่ในที่นั้นต่างก็สบตากันไปมา ยังคงเป็นจางจวีเจิ้งที่ออกมาถวายบังคมทูลตอบว่า
“ทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อมทราบแล้วพะยะค่ะ”
“ประตูสู่เมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ทหารเมืองจี้โจวแสนกว่านายทำอันใดอยู่ ประตูสู่เมืองหลวงเช่นนี้ไม่มีทหารคอยรักษาการณ์หรอกหรือ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่สุรเสียงแข็งกร้าว ทุกคนรู้ว่าฮ่องเต้อาศัยจังหวะนี้ตรัสถึงเรื่องการป้องกันรักษาเมือง จางซื่อเหวยในฐานะเสนาบดีกรมทหารเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง ยามนี้ก็ย่อมก้าวออกมา สีหน้าเคร่งเครียดทูลรายงานว่า
“ทูลฝ่าบาท แม่ทัพชีจี้กวงแห่งเมืองจี้โจวได้ลงโทษซุนจื้อปินไปแล้ว และให้ถวายฎีการับผิดมาแล้ว ตอนนี้ปากทะเลเทียนจินเหนือใต้สามสิบลี้ มีทหารเดินลาดตระเวนแล้ว หากมีเรื่องทางทะเลก็จะส่งสัญญาณรวมพล ไม่ปล่อยให้โจรสลัดได้หนีรอดลอยนวลอีกเป็นแน่ กระหม่อมส่งหนังสือตำหนิไปยังซานตงและเมืองเหลียวโจวแล้วว่าให้เพิ่มการตรวจตรา ไม่อาจปล่อยโจรร้ายข้ามแดนมาได้อีก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีพระพักตร์ว่านลี่ก็เริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย ตรัสต่อว่า
“แม้ว่าเทียนจินจะเป็นพื้นที่ในการความดูแลของชีจี้กวง แต่ยามปกติชีจี้กวงก็จะดูแลตอนเหนือที่เมืองจี้โจวเป็นหลัก เมืองเทียนจินเกิดเหตุย่อมดูแลไม่ทั่วถึง ครั้งนี้ส่งฎีการับผิดมา เราให้สำนักส่วนพระองค์ตีกลับแล้ว ให้พวกเขาปฏิบัติงานให้ดี ทว่าจดหมายชีจี้กวงบอกว่าสมัยอดีตฮ่องเต้ไม่มีโจรสลัดกล้ารุกรานแล้ว รอบเมืองจี้โจว เหลียวโจวและซานตงก็ไม่มีร่องรอยโจรสลัดมานานแล้ว โจรสลัดมาจากตอนเหนือ บางทีก็มาพักที่ซานตงหรือเกาหลี หากเสริมการป้องกันย่อมไม่เกิดเหตุเช่นนี้อีก”
ฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ บรรดาขุนนางที่นั่งอยู่ก็มองหน้ากันไปมา ในใจก็รู้สึกแปลกใจ รายงานชีจี้กวงนั้นทุกคนก็รู้ว่าเนื้อหาเป็นเช่นไร ฮ่องเต้ตรัสย้ำอีกรอบ ไม่รู้ว่ามีเนื้อหาอันใด การป้องกันริมทะเลก็ผ่านการเห็นชอบในหลักการแล้ว
และที่สำคัญที่สุดคือเทียนจินนอกจากค่ายกองกำลังของซุนจื้อปินประจำการให้ขยับไปทางตะวันออก ไปปักหลักที่ทางใต้ริมแม่น้ำทะเล และเพิ่มทหารอีก 2,000 นาย
การเคลื่อนย้ายกำลังครั้งนี้ ย่อมทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่อการจู่โจมของโจรสลัดทางทะเลอีก การป้องกันพื้นที่ใกล้เมืองหลวงแน่นหนาเช่นนี้ แม้แต่พวกโจรสลัดวัวโค่วก็ย่อมไม่กล้าขึ้นฝั่ง ทหารของขุนพลซุนยันไว้ก่อนระยะหนึ่ง จากนั้นทัพใหฐ่จากที่อื่นก็จะมาถึงทันเวลา
แต่ประเด็นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ตรัสถึง ฮ่องเต้อยู่ตรัสขึ้นเช่นนี้ในยามนี้ก็ย่อมมีสาเหตุ แต่ทุกคนคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ได้แต่ทำแกล้งทำเป็นว่าพยักหน้าเหมือนรู้
“เรารู้ว่าไม่มีความเป็นไปได้ที่จะป้องกันได้ตลอดเวลายาวนาน หากต้องตัดรากถอนโคนให้สิ้น ก็ต้องปราบโจรสลัดให้หมดไป ในเรื่องนี้เราสอบถามชีจี้กวงไปหลายคราแล้ว เขาตอบว่าตอนนี้โจรสลัดส่วนใหญ่มีอยู่สองที่ หนึ่งก็แถบฮกเกี้ยนมาเก๊า สองก็ประเทศวัว ประเทศวัวห่างจากราชวงศ์หมิงเราไกลนัก อย่างไรก็ต้องวางแผนนาน หากฮกเกี้ยนและมาเก๊านี้จะต้องปราบปรามให้เด็ดขาดให้ได้”
กล่าวถึงตรงนี้ ทุกคนก็ยังคงงุนงงเหมือนเดิม ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสหลักการใหญ่มามากมาย ไม่ผิด แต่ตอนนี้ตรัวเพื่อเหตุใด ฮ่องเต้ว่านลี่หยุดไปพักหนึ่ง ก่อนจะตรัสสุรเสียงหนักแน่นว่า
“เราได้รายงานจากสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรมาว่าระยะนี้ทางมาเก๊ามีรังโจร ฮกเกี้ยนมาเก๊าทางใต้นั้นมี โจรสลัดทะเลและโจรสลัดวัวโค่วรวมตัวอยู่ มาเก๊าเป็นพื้นที่พระราชทานให้พวกชาวฟะรังคีพักอาศัย ตอนนี้เหตุใดสำนักบูรพาจึงไม่กล่าวถึง เหตุใดผู้บัญชาการหลิงอวิ๋นอี้จึงไม่ดูแล”
หรือว่าที่กล่าวมาทั้งหมดยืดยาวก็เพื่อจัดการผู้บัญชาการหลิงอวิ๋นอี้ประจำมณฑลกวางตุ้งและกวางสี จางจวีเจิ้งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถวายบังคมทูลว่า
“ฝ่าบาท หลิงอวิ๋นอี้หลายปีมานี้ปราบปรามชนเผ่าทางตะวันตกเฉียงใต้อยู่ มาเก๊าแค่พื้นที่เล็กๆ พวกต่างชาติทางนั้นยังนับว่ามีความเคารพในพระเมตตา ไม่ใช่ความผิดของใต้เท้าหลิงพะยะค่ะ”
“หลินอวิ๋นอี้ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่นั้นเรารู้ดี ปราบปรามจลาจลเผ่าแม้วได้ดี แต่ทางมาเก๊านั้นเลี้ยงดูกลุ่มโจร ไม่อาจไม่ดูแล”
จางจวีเจิ้งถวายคำนับทูลว่า
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งแล้ว จะจัดการมาเก๊าอย่างไร ขอทรงมีพระบัญชาพะยะค่ะ”
เมื่อลุกขึ้นก็สบตากับเฝิงเป่า เฝิงเป่ากลับก้มหน้าลง จางจวีเจิ้งก็พอรู้แล้วว่าเป็นการตัดสินพระทัยของฮ่องเต้ว่านลี่ เฝิงเป่าก้มหน้า แสดงให้เห็นว่าที่ฮ่องเต้ว่านลี่จะทรงทำนั้นไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตน
พอได้ยินจางจวีเจิ้งกล่าวเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เผยรอยแย้มสรวลมุมพระโอษฐ์เล็กน้อย ก่อนจะเก็บพระอาการ ตรัสสุรเสียงเรียบเฉยว่า
“ทางกวางตุ้งนั้นมีพันธะสัญญากับพวกฟะรังคี เราเป็นประเทศยิ่งใหญ่ย่อมไม่ฉีกพันธะสัญญาให้เป็นที่ขบขัน แต่ก็ไม่อาจให้พวกเขาทำตามอำเภอใจ ให้กวางตุ้งส่งขุนนางเชี่ยวชาญทางน้ำไปตรวจสอบที่มาเก๊า เป็นการสั่งสอนและตักเตือนพวกต่างชาติที่นั่น ให้พวกเขารู้จักการควรไม่ควร”
บรรดาขุนนางที่กังวลกันอยู่ก็พากันโล่งอก ทุกคนคำนับทูลสรรเสริญว่า
“ทรงพระปรีชายิ่งแล้ว พวกกระหม่อมน้อมรับพระบัญชา!”
ในสายตาของพวกเขา มาเก๊าเป็นพื้นที่เล็กกระผีกจริง ๆ สั่งการให้ทางกวางตุ้งไปจัดการแสดงแสนยานภาพเสียบ้างก็ไม่เลว ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกตน ลงมติเห็นชอบไปก็แล้วกัน
มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่จะปล่อยให้กองทัพเรือกวางตุ้งไปชิงฉีแสดงแด่หมิงเว่ยไม่ต่างจากทุกคนตั๋วตู้เป็นธรรม
ฮ่องเต้ว่านลี่ยามนี้จึงได้แย้มสรวลออกมา ตรัสตามราวกับไม่ได้เตรียมการมาก่อนว่า
“ขุนพลเฉินหลิงประจำกวางตุ้งเชี่ยวชาญการรบทางน้ำ ถานจื่อหลีในตอนนั้นก็เคยกล่าวกับเราหลายครั้ ในเมื่อเชี่ยวชาญการรบทางน้ำก็ใช้คงผู้นี้แล้วกัน ย้ายไปเป็นผู้บัญชาการการรบทางน้ำที่กวางตุ้ง เรื่องที่เกิดที่เทียนจินครั้งนี้เห็นได้ว่าชายแดนทางทะเลราชวงศหมิงเรามีอาณาเขตยาวนับหมื่นลี้ อาศัยเพียงทหารราบจะดูแลปกป้องได้อย่างไร ยังต้องอาศัยผู้มีความสามารถรบทางน้ำด้วย ก็ให้เฉินหลินไปจัดการก่อนแล้วกัน!”
“ทรงพระปรีชายิ่งแล้ว!”
บรรดาขุนนางต่างก้มลงถวายคำนับ ในใจทุกคนล้วนแปลกใจ เพราะท่าทีว่านลี่เป็นปกติยิ่งนัก ปกติหากเกี่ยวพันถึงเทียนจินและหวังทง ราชสำนักก็จะเกิดข้อพิพาทใหญ่ วันนี้เหมือนไม่ค่อยได้เอ่ยถึงหวังทง เดิมทุกคนก็คิดว่า อย่างไรหวังทงก็มีความดีความชอบอยู่จริง ครั้งนี้ฮ่องเต้ก็ควรพระราชทานตำแหน่งขุนนางที่สูงขึ้นให้ถึงจะถูก
การจัดการในที่ประชุมขุนนางวันนี้ทำให้บรรดาขุนนางต่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องสมควร ทำให้ขุนนางเก่าแก่หลายคนเริ่มนึกถึงการบริหารแผ่นดินของฮ่องเต้เจียจิ้งในปีนั้น
************
“ท่านจาง หากไม่ใช่หวังทงเหิมเกริมที่เทียนจินนั่น ไหนเลยจะนำพาพวกโจรสลัดวัวโค่วมาบุกได้ ตอนนี้ก็เหมือนสร้างความชอบใหญ่ ช่างไร้ธรรมเนียมเสียจริง”
ณ ที่ประชุมเสนาบดีใหญ่ จางซื่อเหวยส่ายหน้าบ่นว่า จางจวีเจิ้งเงยหน้าขึ้นจากเอกสารตรงหน้า เซินสือหังข้างๆ กลับเอ่ยขึ้นก่อนว่า
“ไม่ว่าหวังทงเป็นเช่นไร เกือบแสนชีวิตริมแม่น้ำทะเลได้รับการปกป้องให้ปลอดภัย นับเป็นความชอบใหญ่จริง ข้าเองรู้สึกว่าครั้งนี้ราชสำนักไม่แม้แต่จะแสดงท่าทีอันใด เกรงว่าจะไร้น้ำใจไปสักหน่อย”
จางซื่อเหวยนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย หรี่ตามองไปยังจำงจวีเจิ้ง เห็นสีหน้าเรียบเฉย จึงปรับสีหน้าตนให้เป็นปกติ ส่ายหน้ากล่าวว่า
“หลายปีมานี้เงินทองทุ่มไปกับการป้องกันชายแดนตอนเหนือ ไหนเลยจะมีเงินมาสร้างทัพเรือ สร้างเรือสักลำก็เหมือนเทลงถ้ำที่ไม่มีที่สิ้นสุด ท่านจาง เงินก้อนนี้จะเอามาจากที่ใด กรมอากรย่อมร้อนใจมาหาข้าน้อยแน่นอน!”
ยังไม่ทันพูดจบ ด้านนอกก็มีรายงานดังมาว่า “จางหงกงกงแห่งสำนักส่วนพระองค์มา” ประตูเปิดออก จางหงสีหน้าสับสนเกินเข้ามา พอเข้ามาก็ไม่ทันได้กล่าวทักทายก็พูดขึ้นก่อนว่า
“ใต้เท้าทุกท่าน พระราชโองการฝ่าบาทกับที่หารือในที่ประชุมนั้นไม่ค่อยเหมือนกัน……”