Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 416

ตอนที่ 416 สำนักอาชาหลวง กองกำลังหู่เวย

สำนักอาชาหลวงส่งคนไปกรมทหารสอบถามเรื่องการจัดการรับกองกำลังหู่เวย ตั้งแต่กัวผิงกว่างแห่งกรมทหารกลับมาจากเทียนจิน เรื่องนี้ก็ถูกดึงไว้เรื่อยมา

ในวงการขุนนางมีเคล็ดลับหนึ่งชื่อว่า ‘ดึง’ สรุปได้ว่าจะเป็นการทำให้หวังทงได้ประโยชน์ จะให้กรมทหารภายใต้การดูแลของเสนาบดีจางซื่อเหวยบรรจุรายชื่อทหารในกองกำลังหู่เวยเข้าไว้ในรายชื่อบัญชีกรมทหารย่อมไม่มีทางเป็นไปได้อย่างเด็ดขาด ทุกคนทำราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ไม่ถามไม่ไถ่ใดๆ ทั้งสิ้น หวังทงส่งคนมาสอบถามหลายครั้ง ก็ล้วนแสร้งทำเลอะเลือนกันไป

อย่างไรเทียนจินนั่นก็เป็นแค่กองกำลังในพื้นที่ ย่อมไม่อาจมาเร่งถึงหน่วยสูงสุดแห่งกรมทหารได้ ก็ได้แต่ดึงเรื่องเอาไว้ก่อน

หวังทงเร่งมาหลายครั้ง ย่อมเข้าใจท่าทีของกรมทหาร ก็ขี้เกียจจะสนใจต่อ เรื่องก็ปล่อยให้ไม่ชัดเจนเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ย่อมไม่กลัวหากจะต้องช้าไปอีก

ทุกคนในกรมทหารล้วนคิดว่าเรื่องนี้จะผ่านไปเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าสำนักอาชาหลวงในวังจะส่งคนมาสอบถาม นายกองดูแลจัดการกิจในกรมทหารตกใจอย่างมาก ย่อมไปสอบถามความ พอสอบถามกระจ่างว่าเป็นหลินซูลู่และฉู่เจ้าเหรินแห่งสำนักอาชาหลวงเห็นพ้องต้องกันที่จะบรรจุทหารกองกำลังหู่เวยเข้าสังกัดสำนักอาชาหลวง ต่างพากันตกตะลึง

หลินซูลู่เป็นคนเย็นชาไม่เห็นแก่ผู้ใด ฉู่เจ้าเหรินก็เคยขัดแย้งมีเรื่องกับหวังทงมาจากเทียนจิน ถึงกับทำเรื่องดีๆ เช่นนี้ให้กับหวังทง หรือว่าสมองเลอะเลือนไปแล้ว

แต่ระบบทหารของสำนักอาชาหลวงนั้น กรมทหารย่อมไม่อาจข้องเกี่ยว ได้แต่ลูบจมูกทำไม่รู้ไม่ชี้กล่าวไปตามความเป็นจริง ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

“ตอนแรกเป็นเพราะฝ่าบาททรงล้อเล่น นายกองพันหวังจึงได้จัดตั้งกองกำลังหู่เวยขึ้นที่เทียนจิน แม้ว่าไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม แต่อย่างไรก็เป็นอีกแรงกำลังเพื่อฝ่าบาทและเพื่อแผ่นดินหมิง หากไม่จัดเข้าระบบทางการ ปล่อยให้แขวนอยู่อย่างนั้นที่เทียนจิน ประชาใต้หล้าเห็นแล้วก็ย่อมหาว่าราชสำนักปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง กระหม่อมและฉู่เจ้าเหรินจึงได้ปรึกษาหารือกัน ทุกคนก็คิดว่าในเมื่อตอนแรกกองกำลังหู่เวยอยู่ภายใต้สำนักอาชาหลวง เช่นนี้ก็ให้เข้ามาอยู่อย่างเป็นทางการไปเสียเลย ขอไทเฮาโปรดทรงมีพระวินิจฉัยด้วยพะยะค่ะ”

หลังจากไทเฮาฉือเซิ่งประทับนั่ง หลินซูลู่กับฉู่เจ้าเหรินก็คุกเข่าถวายคำนับ ไทเฮาฉือเซิ่งทอดพระเนตรไปยังจำงจิงข้างๆ จางจิงได้แต่ยืนทิ้งมือแนบตัวก้มหน้านิ่ง ท่าทีเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเขาก็รู้เรื่องแล้ว

ในวังประโยคเดียวไม่อาจเห็นการเคลื่อนไหว ไม่อาจมองแค่ภายนอก ไทเฮาย่อมเข้าในหลักการนี้ พระนางนิ่งไปครู่หนึ่งก็ตรัสขึ้นเบาๆ ว่า

“ความคิดพวกเจ้า ข้าเองก็เข้าใจอยู่บ้าง หวังทงทำงานหนักที่เทียนจินก็เพื่อหาเงินทองส่งเข้าวัง นอกจากนี้เขายอมรับเอาเสียงด่าจากหมู่ชนไว้เพียงผู้เดียว ฉู่เจ้าเหริน อย่างไรกัน หรือคิดจะรวบกองกำลังหวังทงมาเอง เจ้าอายุมากขนาดนี้แล้ว จะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กทำไมกัน?”

หลังจากฉู่เจ้าเหรินได้ยิน ก็รีบโขกศีรษะสามครั้ง เงยหน้าขึ้นกราบทูลอย่างร้อนใจว่า

“ทูลไทเฮา กระหม่อมไม่กล้าคิดเช่นนี้แม้แต่น้อย ชุดหน้าหนาวปีนี้ของหน่วยงานในสังกัดกระหม่อมปีนี้ก็ใช้เงินก้อนจินฮวาที่เทียนจินส่งมาไปจัดหามา กระหม่อมรู้ในความดีของนายกองพันหวัง จึงได้คิดทำเช่นนี้ นายกองพันหวังเองก็ยุ่งกับภารกิจที่เทียนจินอย่างมาก มีเรื่องมากมายให้ต้องดูแล และก็ต้องการกองกำลังดูแลที่นั่น ถึงเวลายังต้องทูลให้ฝ่าบาทมีราชโองการไป ให้กองกำลังหู่เวยดูแลเทียนจิน”

เรื่องของสำนักอาชาหลวงยังต้องให้ไทเฮาฉือเซิ่งพิจารณา แต่หากอย่างเป็นทางการก็ต้องให้ฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการลงไป นี่เป็นธรรมเนียมในวัง ทันทีที่มีราชโองการโปรดเกล้า ทุกเรื่องก็ย่อมเป็นที่เปิดเผย แม้ว่าคิดจะแอบจัดการอันใดลับหลังก็ไม่อาจเป็นไปได้

เมื่อกล่าวถึงขั้นนี้แล้ว ไทเฮาก็ย่อมทรงพยักหน้า สีพระพักตร์ปรากฎรอยแย้มสรวล ตรัสว่า

“ทุกเรื่องต้องเห็นแก่ส่วนรวม ปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้ดีมาก”

เรื่องกองกำลังหู่เวยเข้าสังกัดสำนักอาชาหลวงจึงถูกกำหนดเช่นนี้ ตอนบ่ายฮ่องเต้ว่านลี่ได้รับข่าวจากตำหนักฉือหนิงกง

ได้ยินว่าฉู่เจ้าเหรินเสนอให้กองกำลังหู่เวยเข้าสังกัดสำนักอาชาหลวง ปฏิกิริยาแรกของฮ่องเต้ว่านลี่ก็คือ

“เราไม่เชื่อว่าฉู่เจ้าเหรินจะคิดดีในเรื่องนี้ หรือว่าจะโยกย้ายกองกำลังหู่เวยมาเมืองหลวง จากนั้นก็ฮุบไว้……”

ข่าวที่จางเฉิงรู้มามากกว่านี้อีก จึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักฉือหนิงกง เห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ว่านลี่ยังทรงหวาดระแวง จึงทูลเตือนว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า กองกำลังหวังทงหากแขวนชื่อไว้ที่เทียนจินอย่างไรระเบียบรองรับ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดที่ต้องเอ่ยอ้างธรรมเนียม คิดกำจัดก็กำจัดได้ ตอนนี้มีโอกาสดีเช่นนี้ที่จะทำให้ได้เข้าสังกัดสำนักอาชาหลวง จะได้มีสถานะชัดเจน เช่นนี้ก็จะมั่นคง แม้ว่าไม่รู้ว่าฉู่เจ้าเหรินคิดเช่นไร แต่ก็ย่อมต้องจัดระเบียบรองรับ วันหน้าแม้ว่ามีแผนร้ายอันใด สำนักอาชาหลวงก็มีจางจิงคอยดูอยู่ จะว่าไป ล้วนอยู่ในวัง ฝ่าบาทย่อมออกหน้าจัดการได้”

“สิ่งที่เจ้าว่ามาก็มีเหตุผล เราก็จะมีราชโองการไป แต่ต้องระบุไว้ในหนังสือข้อหนึ่งว่า กองกำลังหู่เวยเป็นของหวังทง และก็ต้องประจำอยู่ที่เทียนจินเท่านั้น”

ฮ่องเต้ว่านลี่ได้เพิ่มประโยคหนึ่งเข้าไป จางเฉิงถวายคำนับทูลว่า

“พระดำรัสของฝ่าบาท กระหม่อมจะเขียนไว้ในราชโองการพะยะค่ะ”

************

ต้นเดือนสิบเอ็ด กองกำลังหู่เวยก็จะได้กลายเป็นกองกำลังหู่เวยภายในสังกัดสำนักอาชาหลวง ข่าวเทียนจินเริ่มแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง ผู้ที่รู้เรื่องภายในก็รู้ว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องจริงในไม่ช้า

ทุกคนไม่มีท่าทีอันใดในเรื่องนี้ เพราะเมื่อก่อนกองกำลังหู่เวยจะเข้าสังกัดสำนักอาชาหลวงนั้น ทุกคนก็รู้กันทั่ว พวกเป็นห่วงก็ห่วงว่ากองกำลังในวังกองใหญ่กว่านอกวัง ดีไม่ดีจะกระทบต่อสมดุลในวังและนอกวัง แต่เรื่องพวกนี้ก็พูดกันไม่ได้ เรื่องในวัง ขุนนางนอกวังไม่อาจเข้าข้องเกี่ยวเพื่อผลประโยชน์ สอดให้น้อย พูดให้น้อย ดีที่สุด

จางซื่อเหวย เสนาบดีกรมทหาร ว่ากันว่าระเบิดอารมณ์ในจวนของตน และยังเชิญบรรดาขุนนางมาปรึกษาหารือว่าจะยับยั้งเรื่องนี้อย่างไร ทว่ามหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งกลับไม่มีความเห็นใดในเรื่องนี้ ถึงกับไม่เอ่ยถึงในที่ประชุมขุนนางด้วยซ้ำ ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้เห็นภาพจางซื่อเหวยคัดค้านเรื่องนี้

ข้างนอกไม่รู้ว่าในวังคิดเช่นไร แต่ก็ล้วนเดากันว่า หวังทงส่งเงินทองก้อนโตเข้าวัง อย่างไรก็ย่อมเป็นที่พอใจของผู้คนทุกระดับในวังเป็นแน่

ฉู่เจ้าเหรินถูกผู้คนใต้หล้าหัวเราะเยาะด้วยเรื่องที่เทียนจิน แต่พอเกิดเรื่องล่าสุดนี้ ก็นับว่าตอบแทนความแค้นด้วยคุณธรรมแล้ว ในวังนอกวังล้วนวิจารณ์ยกระดับเขาให้สูงขึ้นอีก

คิดกันว่าคนผู้นี้ไม่คิดเล็กคิดน้อย สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรม และก็ไม่ผิดต่อการที่ไทเฮาและฮ่องเต้ทรงคัดเลือกและให้ความสำคัญ และตอนเดือนสิบเอ็ด ฉู่เจ้าเหรินยังเป็นคนบอกเองว่ากองกำลังสำนักอาชาหลวงแอบขี้เกียจกันมานาน แค่ฝึกไม่รบนั้น ย่อมไม่อาจรับมือเรื่องใดได้ ควรจะอาศัยฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวออกรบแทนการฝึก

ขุนนางใหญ่ในวังและนอกเมืองหลวงแม้จะเคยสงสัยมาก่อน แต่ตอนนี้ก็สิ้นความสงสัย ล้วนคิดว่าฉู่เจ้าเหรินตั้งใจปฏิบัติหน้าที่จริง

พอเห็นทหารในวังฝึกกันหนักเช่นนี้ หากตนเองไม่ทำอันใดบ้าง เกรงว่าจะถูกผู้คนว่าไร้สามารถหรือไม่ก็ไร้ประโยชน์ ได้แต่เร่งทหารทุกคนให้ฝึกหนัก ระยะนี้มักคุยกันเรื่องการออกสู้รบเพื่อฝึกฝนหรือไม่ก็อย่าได้ผิดต่อพระเมตตา

เมื่อเป็นเช่นนี้ ในเมืองนอกเมืองหลวง ทหารในวังและทหารในเมืองหลวงต่างก็ฝึกฝนอย่างหนัก หากทหารที่บรรดาเชื้อพระวงศ์ ขุนนางและราษฎรได้พบเห็นในเมืองหลวงก็ล้วนเป็นพวกมีเงินฐานะดี ยากที่จะได้เห็นภาพความขยันขันแข็งเช่นนี้ ชั่วขณะหนึ่งก็รู้สึกชื่นชมไม่ขาดปาก ในวังว่ากันว่าไทเฮาฉือเซิ่งกับฮ่องเต้ว่านลี่ล้วนชมเชยฉู่เจ้าเหริน

************

ความจริงที่ว่ากองกำลังหู่เวยเข้าสังกัดสำนักอาชาหลวงที่เมืองหลวงเป็นเพียงวาจากล่าวกันเป็นหัวข้อสนทนาทั่วไป หากพอข่าวนี้ไปถึงเทียนจินก็ราวกับอสุนีบาตใหญ่

อวี๋จี้หย่ง นายกองตรวจการที่เทียนจินพอได้ข่าวนี้ ก็รีบไปปรึกษาหารือกับหวังทง พื้นที่ตั้งค่ายทหารเช่นนี้ พื้นที่เตรียมเสบียงสำคัญ ทุกเรื่องที่เกิดต้องรู้ให้กระจ่าง

แม่ทัพชีจี้กวงแห่งจี้โจวส่งคนนำจดหมายมายังซุนจื้อปิน ซุนจื้อปินก็ไปเยือนถึงจวน ตอนนี้หวังทงมีพื้นที่ในการปกป้องแล้ว ทหารทั้งสองฝ่ายต่างดูแลเทียนจินเหมือนกัน ย่อมต้องปรึกษาหารือถึงขอบเขตงานป้องกัน จะได้ไม่ถึงเวลาแล้วจะแบ่งแยกหน้าที่ไม่ชัดเจน

เรื่องระเบียบขั้นตอนในรายละเอียดพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องน่าปวดหัวที่สุด หวังทงอดทนตกลงกันพวกเขาทีละเรื่อง เรื่องดีก็คงดีที่ทุกอย่างจะมีระเบียบรองรับ จะได้เดินเส้นทางขุนนาง

ตั้งแต่ขุนพลยันพลทหาร ตั้งแต่ที่ตั้งค่ายยันเรื่องเบี้ยหวัด กว่าทุกอย่างจะสำเร็จลุล่วง เปลืองแรงไปไม่น้อย

*************

ตอนนี้หวังทงไม่สนใจเรื่องนี้ หากเป็นเรื่องที่ชาวโปรตุเกสที่กวาดตัวมาจากมาเก๊าสามารถทำอันใดได้ ช่างหลายสิบที่ถูกเรียกตัวออกมารอบที่สองกำลังยุ่งกับงานในโรงตีเหล็ก

เทคโนโลยีของชาวตะวันตกนั้นดีกว่าจริง ๆ ปืนใหญ่ที่ใช้ในเทียนจิน พวกเขาเพียงวันที่สองที่ถูกคัดตัวออกมาก็ทำเสร็จ แต่ปืนใหญ่นี้ไม่ใช่ ‘ปืนสนามรบ’ อย่างที่ต้องการในคราแรก ปืนใหญ่ตอนนี้ขนย้ายยุ่งยากมาก

หากสิ่งจำเป็นในการสร้างปืนใหญ่และฐานปืนนั้น ตอนนี้ของในโรงตีเหล็กไม่พอเพียงแล้ว หากทำของดีออกมาได้ก็จะได้เงินรางวัล เมื่อหลอมปืนใหญ่ที่เหมือนที่ใช้ในเทียนจินออกมาได้ ทุกคนก็ได้คนละห้าตำลึง เทียบกับเงินสองหีบที่สองคนก่อนหน้าได้นับว่ายังห่างไกล

หากสามารถสร้างสิ่งที่ดีกว่า ก็จะได้รับรางวัลมากขึ้น ขุนนางผู้นั้นได้กล่าวกับช่างฝีมือไว้กระจ่างแล้ว คนพวกนี้ก็เริ่มลงมือปฏิบัติงานกันอย่างวุ่นวาย

หวังทงและเหรินย่วนที่ดูแลสำนักปืนไฟของทางการตอนนี้ เหรินย่วนเดิมเป็นขุนนางบุ๋นที่ชอบเรื่องเทคโนโลยี เมื่อมีชาวโปรตุเกสที่รู้เรื่องที่ต่างออกไปมา ทำให้เขาดีใจมาก เมื่อก่อนในสมองมีแต่เดาเอา คิดเอา ตอนนี้ในที่สุดก็ได้โอกาสในการพิสูจน์เสียที

หวังทงมาดูงานบ้างเป็นบางครั้ง เหรินย่วนถึงกับไม่ยอมกลับบ้าน ทุกวันเอาแต่ยุ่งกับงานที่นี่ ต้องจัดหาเตาหลอม ดิน ฟาง ไม้ สว่านเจาะ ข้าวของในการหลอมพวกนี้มาเพิ่ม เครื่องมือบางอย่างต้องเริ่มผลิตใหม่

ตามรายงานของเหรินย่วน การหลอมปืนนั้นไม่ยาก หากเวลาสิ้นเปลืองไปกับการจัดทำเครื่องมือในการทำงานที่ดี ตอนนั้นทหารเฉินหลินไปกวาดจับมา ได้มาแต่เครื่องมือที่นำติดตัวมาด้วยได้เท่านั้น เครื่องมือใหญ่หลายอย่างต่างก็คิดว่าไร้ประโยชน์ ทิ้งไว้ที่มาเก๊า

คนงานจะสร้างสรรค์งานดีก็ต้องมีเครื่องมือดี เหตุผลนี้หวังทงเข้าใจ ดังนั้นเงินก้อนโตก็ถูกจ่ายออกไป

ยังมีคนอีกหลายร้อยคนอยู่ในค่าย ในที่สุดก็มีบางคนทนไม่ไหว นายเรือการค้าติดอาวุธลำนั้นต้องการขอพบหวังทง……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!