ตอนที่ 435 หู่เวยมีชัยไม่คิดกลับ
ภาพเผ่ามองโกลบนทุ่งหญ้าทำให้หลายปีไม่มีทหารหมิงกองทัพใดคิดออกรบ กลับเป็นนักรบบนทุ่งหญ้าที่รุกรานลงใต้ไม่หยุด ทหารหมิงได้แต่รักษาป้อมปราการของตนเองเอาไว้ หดหัวไม่ยอมออกไป
พื้นที่ทุรกันดาร ทหารหมิงบ่อยครั้งจะถูกทหารมองโกลที่เข้มแข็งเข้าโจมตี ดังนั้นทุกปีในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาวก็จะมีพวกนักรบบนทุ่งหญ้าลงใต้มาอวดเบ่งบารมี ปล้นชิงข้าวของมีค่าและกวาดต้อนเชลย ถึงกับก่อนที่ทหารหมิงจะออกจากป้อมมาสู้ ก็จะสังหารเชลยที่จับมาได้เพื่อแสดงแสนยานุภาพ
แต่วันนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร กองกำลังที่เข้มแข็งที่สุดบนทุ่งหญ้าเห็นเชลยที่เป็นชาวมองโกลด้วยกันถูกทหารหมิงสังหารเข่นฆ่า และยังถึงกับใช้ยุทธวิธีบนท้องทุ่งหญ้าอีกด้วย
ทุกคนต่างโกรธแค้นอย่างมาก กัดฟันกรอดมองจ้องมา ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดสนใจความผิดปกติปีกด้านขวา ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่ามีพลทหารม้าค่อยๆ เคลื่อนเข้าประชิด
ตอนเริ่มบุก ฝีเท้าม้าดังสนั่น ทุกคนต่างจ้องมองด้านหน้า ไม่มีผู้ใดสนใจด้านข้าง ทหารแต่ละคนกำลังคิด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีปืนใหญ่ ธนูหรือปืนไฟ ขอเพียงช่องทางเข้าปิดไม่ทันก็จะมีโอกาสบุกขึ้นไป บุกเข้าไปได้ทุกอย่างก็เรียบร้อย
บุกเข้าไปได้ พวกทหารหมิงที่ไม่มีกระดองเต่าก็จะกลายเป็นลูกแกะ นักรบเผ่าข่านอันต๋าก็จะสังหารพวกมันให้สิ้น ต้องแก้แค้นแทนเพื่อนทหารที่ตายไปด้วยวิธีการโหดร้ายกว่าร้อยเท่าให้สาสมแค้น
ทุกคนกำลังตั้งสมาธิกับข้างหน้า ทุกคนกำลังโกรธแค้น พวกมองโกลใช้แส้ฟาดม้า ใช้ขอที่รองเท้ากระแทกสีข้างม้า ให้ม้าวิ่งเร็วขึ้นอีก
วิ่งทะยานให้เร็วที่สุดจนไม่อาจคิดใคร่ครวญสถานการณ์สนามรบ กองกำลังพวกเขานั้นแตกกระจายไม่เป็นขบวนทัพ ทุกคนคิดแต่จะบุก บุกเข้าไป!
เสียงปืนดังติดกันสามนัด แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ทหารหมิงจะต้องถูกนักรบเราทำให้ตกใจหวาดกลัว รีบจนลืมเติมดินปืนเป็นแน่
100 ก้าว! ปืนไฟในค่ายรถศึกดังสิบกว่านัด แต่ก็ทำให้แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ครั้งที่สองไม่แน่ว่าอาจจะบุกเข้าไปแล้วก็ได้ 70 ก้าว! 50 ก้าว!! ธนูเริ่มยิ่งออกมา ยันไว้ บุกเข้าไป!!
อีกแค่ 40 ก้าว ช่องทางเข้าอยู่เบื้องหน้า ทหารมองโกลต่างก็ชูอาวุธขึ้นร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง……
ในตอนนั้นเอง ช่องทางที่เปิดอยู่ก็ปิดอย่างเร็ว ปิดได้ง่ายดายยิ่ง เพียงแค่ขยับรถเข้าหากันให้แน่นหนาก็เรียบร้อย ที่อื่นๆ เป็นแผ่นไม้ หากจุดนี้ใช้รถดันเข้าปิดช่องทางเท่านั้น จากนั้นก็ตอกไม้ให้แน่น
ช่องทางเข้าอยู่ๆ ก็ปิดลง ทุกคนไม่ทันหยุดม้าของตน ในชั่วพริบตานั้นเอง ก็ได้ยินคนในทัพรถศึกตะโกนดังว่า
“ยิง!!”
เสียงฝีเท้าม้าดังสนั่นผสมผสานกับเสียงตะโกนดัง หากเสียงนี้ได้ยินชัดเจน จากนั้นก็เป็นเสียง ‘ตูม’ ที่แสนจะคุ้นเคยดังขึ้น นอกจากที่นี่แล้ว ยังมีเสียงดังพร้อมกันในที่อื่นๆ อีกด้วย
ปืนใหญ่และปืนเสือหมอบนิงพร้อมกันดังสนั่น!!
พริบตาเดียว เสียงฝีเท้าม้าและเสียงตะโกนดังหน้าทัพรถศึกก็สงบลง เหมือนว่าแผ่นดินไหว เหมือนว่าทหารชนเข้ากับกำแพงแข็งและหนาอย่างแรงและเร็ว ชั่วพริบตาเดียว ทุกอย่างก็เงียบกริบลง
ทหารที่บุกเข้ามาครึ่งหนึ่งล้มลงกับพื้น บางคนถูกยิงจนพรุน บางคนถูกยิงเนื้อกระจุยขาดวิ่น ม้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ปืนเสือหมอบอานุภาพเช่นนี้เอง
ทหารบุกเข้ามาด้านหน้าถูกปืนยิงบาดเจ็บล้มตาย ม้าด้านหลังหยุดไม่ทัน ย่อมชนเข้าเต็มแรง มีม้าบางตัวกระโดดทัน บางตัวถูกขัดขาล้ม หากเพราะพวกด้านหน้าชะลอความเร็ว ความเร็วลดลงทำให้พวกที่ตามมาด้านหลังหลบไม่ทัน
คนก็ถูกม้าเหยียบ เพื่อนทหารด้านหลังยังตามมาเหยียบ กองทัพมองโกลเหมือนกับสายน้ำไหลไปข้างหน้าที่เป็นผาน้ำตก ด้านหน้าเป็นผาชะโงก ด้านหน้าเป็นความตาย แต่หยุดไม่อยู่ ได้แต่ไหลพุ่งไป
พลธนูบนหลังม้าพยายามยิงอย่างสุดชีวิต หากไม่อาจเล็งแม่นแม้แต่ดอกเดียวเพราะธนูน้าวไม่สุด ได้แต่ความเร็ว พุ่งไปก็ย่อมทำให้บาดเจ็บ พุ่งไปยังทหารรถศึกที่ถือทวนยาวเตรียมพร้อมท่าทางเคร่งเครียด
“พลธนู พลปืนถอย พลทวนบุก!!!”
หวังทงตะโกนสั่งการอยู่บนหลังคารถม้า เสียงเริ่มแหบ พลธนูถอยลงจากรถม้า พลทวนปืนขึ้นไปเป็นแถว ทหารมองโกลจำนวนหนึ่งบุกมาด้านหน้าแล้ว แต่ไม่ได้คิดจะวิ่งเข้าบุก หากแค่ต้องการชนกำแพงไม้เพื่อลดความเร็วเท่านั้น ยามนี้ต้องการแค่พลทวนยาวแทงไม่ยั้งเท่านั้น
************
พลม้าของกองกำลังหู่เวยมาถึงแล้ว บุกเข้าประชิดทางปีกด้านขวาของทหารมองโกล
ทหารมองโกลที่บุกเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้กองทัพแตกกระเซ็นไม่เป็นขบวนแล้ว พวกที่เร่งความเร็วเข้าไปก็ถูกปืนสกัดไว้ ยามนี้พลม้าบุกเข้าไป ย่อมเป็นเวลาที่ดี
พลม้าของกองกำลังหู่เวย 200 นาย ทุกคนเข้าไปใกล้มากแล้ว เกือบประชิดแล้ว วิ่งไม่เร็ว แต่การค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้นี้กลับทำให้ทุกคนออมแรงได้อย่างมาก นับประสาอันใดกับศัตรูที่ตอนนี้กำลังเสียสมาธิแตกพ่าย ที่พลม้ากองกำลังหู่เวยต้องทำก็คือกวัดแกว่งอาวุธในมือออกไปด้วยแรงกำลัง แทงเข้าใส่ ฟันเข้าใส่เท่านั้น
ไม่นานนัก พลม้ากองกำลังหู่เวยก็สามารถตีฝ่าไปถึงกองกำลังทัพใหญ่มองโกลที่กำลังแตกพ่าย หม่าซานเปียวตวัดวาดดาบใหญ่เป็นวงด้วยมือเดียว ทหารด้านหลังกระจายกำลังโอบล้อมมุ่งไปยังเป้าหมายที่จะโจมตี บนตัวหม่าซานเปียวเต็มไปด้วยโลหิตชุ่ม ตะโกนดังว่า
“สังหารมองโกลอีกยก!”
พลม้าด้านหลังพุ่งทะยานเข้าสังหารทันที ร้องคำรามดังบุกเข้าใส่กองกำลังมองโกล……
************
“พลทวนถอย!! พลธนูขึ้น!!”
เสียงคำสั่งดังขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้พวกมองโกลคุมม้าตนเองได้แล้ว พวกเขารู้ว่ากองกำลังแตกพ่ายแล้ว ตอนนี้ปัญหาไม่ใช่ รบ! หากเป็น หนี!
เพื่อนทหารด้านหน้าถูกธนูยิง ปืนยิง ร่วงจากหลังม้า เพื่อนทหารด้านหลังถูกกองทัพม้าไล่ฟัน ความโกรธแค้นและความกล้าหาญในยามนี้มลายหายไปสิ้น ทุกคนคิดแต่ว่า ทหารหมิงโหดร้ายมาก รีบหนีดีกว่า หนีได้ไกลเท่าไรยิ่งดี จะไม่มาแตะต้องพวกพยัคฆ์หมาป่านี้อีกแล้ว
ราวกับมีกองหิมะตกลงบนพื้นแตกกระจาย ทหารมองโกลทั้งหมดพากันแตกกระจายไปคนละทิศ นอกจากทิศทางรถศึกแล้ว ก็ล้วนหนีกันกระจัดกระจายไปรอบทิศ ไม่มีผู้ใดอยากสู้ต่อ ไม่มีผู้ใดสนใจเพื่อนทหารที่ล้มบาดเจ็บ
พลม้าทัพหมิงตีแผ่โอบล้อมพวกเขาที่เริ่มหนี ถืออาวุธฟาดฟันเอาตัวรอด แต่ไม่มีผู้ใดคิดจะสู้ต่อขอเพียงหนีให้พ้นรัศมีไล่ล่าอย่างสุดชีวิต
มีคนถูกม้าสะบัดร่วง ตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างตกใจ อาวุธในมือก็ถือไม่อยู่ คุกเข่าลงร้องไห้เสียงดังบนพื้นหิมะ โขกศีรษะร้องขอชีวิต
************
พระอาทิตย์เริ่มลับไปจากเส้นขอบฟ้า ฟ้าเริ่มเป็นสีทองอร่าม การเข่นฆ่าสังหารมาทั้งวันก็เริ่มสิ้นสุดลง สนามรบไม่มีทหารมองโกลกล้ายืนขึ้น
พลม้ากองกำลังหู่เวยลงจากหลังม้า ทหารราบจากสี่ค่ายออกมาเก็บกวาดซากศพบนสนามรบ
“ตอนตัดหัวเก็บ อย่าลืมเก็บป้ายประจำตัวไว้ด้วย มีสิ่งนี้กลับไปก็จะได้นับเป็นความชอบ มิเช่นนั้นอาจถูกสงสัยว่าสังหารราษฎรบริสุทธิ์!”
แต่เริ่มต้นที่ตื่นตระหนกและตะโกนโหวกเหวกอย่างเช่นลี่เวย นายทหารแห่งเมืองเซวียนฝู่ ยามนี้กลับรู้งานยิ่ง เขารู้ธรรมเนียมชายแดนอย่างยิ่ง ได้เห็นการรบชนะครานี้ เกรงว่ะจะสูญเปล่า จึงได้ตะโกนเตือน
พวกหวังทงเดินออกมาจากค่าย ยิ้มมองสนามรบ ตอนเดินไปบนสนามรบ ทุกคนต่างพร้อมใจเดินตามหลังหวังทงอย่างไม่รู้ตัว แต่เช้าจรดเย็น ศัตรูราว 4,000 ภายใต้การบัญชาการของหวังทง ก็ถูกตีพ่ายบาดเจ็บล้มตาย พ่ายแพ้วิ่งหนี การรบที่ใช้เชลยมองโกลมาดึงดูดความสนใจพวกมองโกลไว้ และยังเปิดช่องให้ทหารมองโกลรู้สึกว่ามีโอกาส ยุทธวิธีเหล่านี้เป็นสาเหตุแห่งชัยชนะครั้งนี้
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงหม่าซานเปียวที่นำกำลังออกไปโจมตีมาจากรอบนอก วินาทีสำคัญทหารม้าบุกมา ทำให้ได้ผลยิ่งดี จังหวะพอดีกับสถานการณ์รบในตอนนั้น บัญชาการรบไม่มีผิดพลาด ฝูงชนจะไม่เคารพนับถือได้อย่างไร
กองกำลังหู่เวยที่แข็งแรงออกรบได้ไม่ถึง 4,000 ส่วนใหญ่เป็นทหารราบ ศัตรูเป็นทหารม้า 4,000 หากเป็นยามปกติ ตอนนี้ทุกคนคงถูกพวกมองโกลกวาดล้างไปหมดแล้ว หากตอนนี้ที่นอนเกลื่อนเรียงราวเต็มหน้าทัพรถศึกไปหมด ล้วนเป็นความดีความชอบจากการบัญชาการของหวังทงผู้เดียว
เดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงดังโอ้กอ้ากจากด้านหลัง หวังทงหันไปมอง ก็เห็นทหารราบผู้หนึ่งที่บางทีอาจจะได้เห็นการรบที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดครั้งแรก กำลังใช้ทวนยาวยันซากศพไว้อาเจียนไม่หยุด ทหารอื่นๆ ก็ล้วนมีสีหน้าไม่ดีนัก หากเป็นเด็กหนุ่มจากลานฝึกหู่เวยที่มีสีหน้าปกติกว่า
หวังทงยิ้มหันกลับมา ถานเจียงข้างๆ ถอนหายใจกล่าวว่า
“ผ่านครั้งนี้ไป กองกำลังหู่เวยก็จะเป็นกองทัพทหาร ทหารพวกนี้จึงจะเรียกได้ว่าทหารแท้จริง”
“ยังไม่พอ แค่รักษาค่ายรอรับศัตรู รอให้พวกเขาปะทะกับศัตรูด้วยดาบกลางสมรภูมิรบก่อนจึงจะยอดเยี่ยม!”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ ถานเจียงไม่ตอบรับ หากยิ้มพยักหน้า ทุกคนรู้สึกผ่อนคลาย เดินไปไม่กี่ก้าว หม่าซานเปียวก็ตะโกนดังมาว่า
“ใต้เท้า พวกที่ยังไม่ตายมีไม่น้อย จัดการอย่างไร!”
“เหลือสองนายที่ตำแหน่งใหญ่สุด ที่เหลือตัดหัวทิ้งให้หมด ม้าของพลม้าให้ไปรับอาหารมาเลี้ยงดู อย่าทิ้งเสียหาย”
ขณะที่กล่าวอยู่นั้น ลี่เวยก็ยิ้มร่าเข้ามาหากล่าวว่า
“ราว 2,000 หัว มารดามันสิ แม่ทัพหม่านำกำลังตัดมาได้ 200 ก็ได้บรรดาศักดิ์ถึงระดับโหว นี่ตั้ง 2,000 กว่าทำเช่นไรดี ใต้เท้าได้แต่งตั้งเป็นระดับกง นายน้อยเราอย่างน้อยคงได้เลื่อนเป็นระดับผู้บัญชาการแน่แล้ว……”
ไม่กี่ร้อยก็ได้บำเหน็จรางวัลขนาดนั้น หวังทงอึ้งไป หันไปมองพวกถานเจียง ก็เห็นทุกคนไม่ได้สงสัยอันใด เห็นได้ว่าลี่เวยกล่าวได้ไม่ผิด
หวังทงขมวดคิ้วแน่น ลี่เวยพร่ำรำพันต่อว่า
“ถึงตอนนี้ยังไม่กลับป้อมจางเจียโข่ว เกรงว่าทหารเมืองเซวียนฝู่น่าจะออกตามหาแล้ว ใต้เท้า พวกเรารีบกลับกันเถอะ”
“ผู้ใดบอกว่าพวกเราจะกลับตอนนี้!?”
หวังทงยิ้มถามกลับ