Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 438

ตอนที่ 438 ค่าหัวราวทองคำ

ได้ยินว่ากองกำลังหู่เวยกลับมา เลี่ยวเฉวียนจงก็ถอนหายใจ คลายกังวลลงทันที รีบตะโกนเรียกทหารคนสนิท บอกไปว่า

“รีบไปตามคนส่งข่าวไปเมืองเซวียนฝู่ บอกว่านายน้อยกลับมาแล้ว……”

กล่าวถึงตรงนี้ เขาเองก็เคยออกรบนอกด่านมา ก็ส่ายหน้ากล่าวว่า

“ไม่ใช่สิ ไม่ใช่สิ เสียเวลานานขนาดนี้ จะต้องเกิดเรื่องบนทุ่งหญ้าแน่ เหตุใดยังกลับมาได้ ปิดประตูป้อม ทหารทุกหน่วยเตรียมพร้อม เตรียมจุดควันสัญญาณ!!”

ทหารด้านหน้าอึ้งไปเล็กน้อย ทำให้เลี่ยวเฉวียนจงโมโหตบหน้าไปหนึ่งฉาด จึงได้สติ รีบวิ่งออกไป

ทั้งป้อมจางเจียโข่วอลหม่านกันไปหมด ปิดประตูป้อม กลางวันแสกๆ ยังมีคนออกไปตัดฟืนหาหญ้าแห้งกัน มีคนเอาม้าออกไปวิ่ง อยู่ๆ ประตูปิด มองไปทางเหนือที่มีทัพม้าวิ่งมา แม้ว่าเห็นแล้วก็เหมือนกองกำลังที่ออกไปเมื่อหลายวันก่อน แต่หัวหน้าป้อมเราให้ปิดประตู ก็ย่อมมีเรื่องผิดปกติ ทุกคนวิ่งอลหม่านหวาดกลัวร้องเรียกหาบิดามารดา ได้แต่บ่นด่าบิดามารดาว่าเหตุใดจึงให้กำเนิดตนที่มีขาน้อยเช่นนี้

เลี่ยวเฉวียนจงสวมชุดเกราะ ปีนขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์บนป้อมประตูด่านพร้อมนายกองเมื่อครู่ ทหารบนหอสังเกตการณ์กล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า

“หัวหน้าเลี่ยว เมื่อครู่ทหารองครักษ์ส่งพลม้ามาแจ้งแล้ว……”

“เจ้าจะไปรู้เรื่องอะไร น่าถูกบังคับชักใย อาศัยจังหวะชุลมุนบุกเข้ามา ทุกคนได้ตายกันหมด!!”

ทางเหนือเป็นทัพม้าใหญ่มาจริง ตอนไปสองสามพันทหารราบ กับรถใหญ่ร่วมร้อย อันนี้ทุกคนก็พอจำได้ แต่ทัพที่กลับมาของที่ว่าไม่น้อยลง หากด้านหลังยังมีม้าและวัวตามมาเป็นฝูง เดินย่ำมากันฝุ่นตลบ เลี่ยวเฉวียนจงย่อตัวลงมองลอดช่องกำแพงพึมพัมว่า

“เดาไม่ผิด ย่อมเป็นพวกมองโกล นี่จะมาโจมตีอีกหรือ……”

ทหารมองโกลบนทุ่งหญ้าลงใต้โจมตีปล้นชิงก็มักจะไล่ตอนสัตว์ตามมาด้วย ก็เหมือนกับกองเสบียงของทหารทัพหมิง พอเห็นฝูงม้าวัวตามมาด้านหลังแบบยกโขยงเช่นนี้ เลี่ยวเฉวียนจงก็คิดเองว่าตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว

***********

ป้อมจางเจียวโข่วก็แค่ป้อมป้องกัน ไม่ใช่ประตูด่านที่ไม่อาจเปิดได้ ทัพม้าใหญ่ผ่านไปก็ย่อมได้ แต่เลี่ยวเฉวียนจงกลับจุดไฟสัญญาณ เมืองเซวียนฝู่กับกองกำลังโดยรอบแต่ละแห่งในเขตปกครองเหนือแตกตื่นกันขึ้นมาก็ย่อมยุ่งยากไม่น้อย จะว่าไป ทัพม้าใหญ่อยู่นอกด่านมาหลายวัน จำเป็นต้องมาพักผ่อนดื่มน้ำร้อนน้ำซุปที่นี่สักหน่อย

หวังทงเปลี่ยนคนมาตะโกนให้เปิดประตู บนป้อมก็ยังคงมีมือธนูเล็งมา ลี่เวยมาเรียก ธนูก็ยิงใส่ทันที เลี่ยวเฉวียนจงยังตะโกนด่าลงมาเสียงดัง

“ต้องเป็นเจ้าทำร้ายคุณชายแน่นอน ยังนำพวกมองโกลมาโจมตีกองทัพหมิงเรา……เจ้าคนไร้ศักดิ์ศรีเช่นเจ้า ต้องยอมมอบตัวแล้วแน่นอน……เจ้าคิดว่าข้าตาบอดมองไม่เห็นฝูงวัวม้าพวกนั้นหรือ?”

ได้ยินดังนี้กองกำลังหู่เวยทุกคนก็อยากหัวเราะดัง เลี่ยวเฉวียนจงช่างเข้าใจลี่เวย สุดท้ายต้องให้ลี่เทาขี่ม้ามาด่าถึงที่

“ถูกบังคับชักใยบ้าบอกไรกัน มารดาเจ้าสิ ยังตะโกนโหวกเหวกอยู่นั่นแหละ ข้ากลับไปจะให้ปลดเจ้าจากตำแหน่งนายกองพันนี่ซะ บ้านพักหลังนั้นของเจ้านอกเมืองเซวียนฝู่ก็จะยึดให้หมด!!”

ตอนพักอาศัยที่ป้อมก่อนออกนอกด่าน เลี่ยวเฉวียนจงได้คารวะเข้าพบลี่เทา ลี่เทำเป็นนักรบมีชื่อในเมืองเซวียนฝู่ หากจะบอกว่าเขายอมแพ้ให้ศัตรูย่อมไม่น่าเชื่อ กองทัพใหญ่ ‘บังคับชักใย’ ก็ห่างจากลี่เทาไกลอยู่ หากว่าบังคับชักใยจริง ลี่เทาตอนนี้ก็ย่อมหลบหนีได้

พอเห็นลี่เทา เลี่ยวเฉวียนจงก็เชื่อ แต่ตอนเปิดประตูป้อมก็ยังมีสีหน้าคาดไม่ถึง ยังคงเป็นทัพที่ออกไปหลายวันก่อน กองทัพเดิม หากนำฝูงสัตว์มามากมายเช่นนี้ หรือว่ารบชนะบนทุ่งหญ้ามา ไม่ใช่สิๆ หรือว่าใช้เงินก้อนใหญ่ซื้อกับคนบนทุ่งหญ้ากัน

พอเข้าประตูป้อมมา คนอื่นๆ ยังไม่เท่าไร ลี่เวยกลับลากเลี่ยวเฉวียนจงไว้ไม่ปล่อย ให้เขาอธิบายวาจาเมื่อครู่ให้ชัดเจน เอะอะโวยวายจนทำให้ทุกคนหัวเราะขำ

เลี่ยวเฉวียนจงสามารถดำรงตำแหน่งนายกองพันหัวหน้าป้อมจางเจียโข่วได้ หนึ่ง อายุงาน สอง เป็นคนนอบน้อมและรอบคอบ กับผู้บังคับบัญชาก็ทั่วถึง แต่วันนี้ไม่รู้ซวยอะไร เดิมว่าเตรียมระวังไว้ก่อน กลับถูกนายน้อยตะโกนด่าขึ้นมายกใหญ่

พอเข้าป้อมจางเจียโข่วมาได้ ก็ควรจะรับรองเลี้ยงดูให้เกินสิบส่วนมาอีกสองส่วน แต่ต้องทำให้แขกทั้งหมดไม่พอใจเสียแล้ว เป็นเพราะเหตุใดกัน

*************

พอเข้ามาในป้อมจางเจียโข่ว กองกำลังหู่เวยก็ได้กินอาหารร้อนๆ เดินทางกลับมายังพื้นที่สงบได้ ทหารทุกคนนอกจากพวกที่ต้องเดินเวรยามแล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็เข้านอน

หวังทงได้เข้าพักห้องที่สะอาดสอ้านก่อนหน้าแล้ว ที่นั่นมีเตียงเตาไฟอุ่น พอล้มตัวลงก็รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อย เปลือกตาหนักทันที พอปิดตาลงก็ได้ยินเสียงทหารด้านนอกรายงานว่า นายกองพันเลี่ยวมา แม้ว่าเหนื่อยเพียงใด แต่อยู่ที่พักผู้อื่น ก็คงต้องออกไปพบสักครั้ง

คลุมเสื้อเสร็จ เลี่ยวเฉวียนจงก็ยิ้มร่าเข้ามาในห้องทักทายกันตามมารยาทเสร็จ สีหน้าลำบากใจกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวังมีชัยกลับมา แม้แต่ข้าน้อยเองก็รู้สึกพลอยได้หน้าไปด้วย ใต้เท้าออกนอกด่านครานี้ ได้ม้าวัวมามากมาย ก็รู้ถึงแสนยานุภาพของใต้เท้า เพียงแต่……เพียงแต่ว่า……ม้าวัวมากเกินไป หญ้าแห้งกองฟางแม้ว่ามีเก็บสะสมไว้ แต่ก็ไม่อาจเอามาใช้ให้หมดได้ อันนี้……อันนี้……”

ป้อมจางเจียโข่วมีหน้าที่รับผิดชอบทางการทหาร ป้อมเขาเป็นกองกำลังสุดท้ายก่อนออกนอกด่าน แม้ว่าในป้อมจะมีถึง 2,000 กว่านาย แต่เสบียงที่สั่งสมไว้ก็เพื่อใช้สำหรับกองทัพเท่านั้น

กองกำลังหู่เวยออกนอกด่านซ้อมรบ นำวัวและม้ากลับมาหลายพัน เส้นทางจากเผ่าหั่วเลยกลับถึงจางเจียโข่วก็ใช้เสบียงที่เผ่าหั่วเลยเก็บไว้ใช้ในฤดูหนาว แต่ก็ไม่อาจนำหญ้าแห้งมาด้วยมากนัก พอมาถึงป้อมจางเจียโข่วก็คงต้องให้ทางป้อมจัดหาให้

สัตว์หลายพันตัว ก็ต้องย่อมต้องการหญ้าแห้งจำนวนมาก ป้อมจางเจียโข่วก็จัดหาให้ได้ แต่ก็ต้องใช้ของที่สะสมไว้ให้กองทัพใช้ เรื่องใหญ่เช่นนี้ คนในป้อมเองก็ขัดสน กองทัพหวังทงก็ไม่อาจล่วงเกิน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไม่ให้เสบียงก็ล่วงเกิน ให้ไปดีไม่ดีก็ต้องโดนโทษทางวินัย ดังนั้นเลี่ยวเฉวียนจงจึงได้ยอมทนหน้าหนามาพบยามนี้

ได้ฟังความลำบากใจของเลี่ยวเฉวียนจง หวังทางไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด จึงหาวไปพูดไปว่า

“ที่ควรให้เจ้าก็ให้มา ค่าใช้จ่ายกับสัตว์พวกนี้เจ้าก็คิดเป็นเงินมา ข้าจะจ่ายสดให้เจ้าเลย หากเจ้าต้องการม้าวัว

ก็สามารถขายให้เจ้าได้ในราคาต่ำ ช่วงนี้ก็ลำบากเจ้าแล้ว ลดราคาให้เจ้าก็แล้วกัน”

อย่างไรก็ได้มาฟรีจากทุ่งหญ้า เงินทองจ่ายไปก็แล้วกัน ม้าวัวนำกลับไปด้วยมากเช่นนี้แม้ว่าขายได้ แต่ตลอดเส้นทางก็ต้องรับภาระมาก ตอนนี้จัดการออกไปบ้างก็ย่อมทำให้สะดวกขึ้น

ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ เลี่ยวเฉวียนจงก็วางใจ เช่นนี้ก็รายงานได้ อย่างไรก็พอไปได้

แต่สิ่งที่ทำให้หวังทงตกใจจริงๆ ก็คือวันที่สอง หลังกองกำลังหู่เวยพักที่ป้อมมาหนึ่งวันเต็ม วันที่ 3 เดือนสองก็จะกลับ กลางวันหวังทงต้องไปดูผู้บาดเจ็บ สำรวจแต่ละค่าย เดินไปก็เล่าเรื่องมาขอพบให้กับพวกลี่เทาฟัง ก็แค่จ่ายเงินซื้อหญ้าให้สัตว์เท่านั้น เรื่องเล็ก ทุกคนก็คิดว่าไม่มีอันใด หากลี่เทาคิดไปคิดมา ก็หรี่ตามอง เห็นรอบกายหวังทงไม่มีผู้ใด ก็เข้าไปกระซิบว่า

“พี่หวัง ในมือเรามี 2,000 กว่าหัว ท่านบอกเองว่าสร้างความชอบใหญ่ไปจะเป็นที่จับตาหาเรื่องไม่ใช่หรือ? เสบียงที่ป้อมจางเจียโข่วทุกปีก็ได้มาจากหลายแหล่ง พวกเราไม่ต้องกังวลแทนพวกเขาหรอก จ่ายเงินซื้อก็ดูจะเกินไป ข้ามีวิธี!”

************

“นายกองพันเลี่ยว กองกำลังหู่เวยทั้งคนและม้าหลายพัน รบกวนท่านดูแลแล้ว ไม่มีอันใดตอบแทน เช่นนี้ของพวกนี้ท่านก็รับไว้!”

ไช่หนานเดินไปยิ้มไปกล่าวไปอยู่ด้านหน้า ด้านหลังตามมาด้วยเลี่ยวเฉวียนจงที่ยิ้มแย้มประจบ ทัพหมิงต่างก็ให้ความเคารพที่ปรึกษากองทัพจากในวังเช่นไช่หนานมาก ไม่อาจดูแลบกพร่องแม้แต่น้อย

“ไม่ได้ลำบากอันใด ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าน้อยควรทำ เหตุใดยังจะกล้ารบกวนกงกงให้ต้องเกรงใจเช่นนี้……”

ได้ยินว่ามีของมาให้ เลี่ยวเฉวียนจงก็นอบน้อมเกินสิบส่วนมาอีกสองส่วน ได้เห็นทหารขนหีบไม้มาก็อึ้งไป

ในหีบไม้มีหลายสิบหัว ปูนขาวกับผงแร่ผสมกันรักษาไว้ส่งกลิ่นรุนแรง พวกทหารย่อมไม่กลัวที่จะเห็นภาพเช่นนี้ ทรงผมบนหัว ยังมีหน้ำตาพวกนั้น เห็นชัดว่าเป็นหัวของพวกมองโกลบนทุ่งหญ้า เลี่ยวเฉวียนจงรู้สึกตัวสั่น อึ้งไปนานกว่าจะเอียงตัวมาใกล้ถามว่า

“ไช่กงกง……นี่……หัวพวกนี้ให้ข้าน้อยหรือ?”

“ไม่ได้บอกไว้แล้วหรือ นายกองพันเลี่ยวต้อนรับขับสู้ลำบากเช่นนี้ นี่ถือเป็นค่าตอบแทนละกัน!”

เลี่ยวเฉวียนจงรู้สึกซาบซึ้ง แต่เรื่องที่น่าตะลึงหลายวันนี้มีมากเกินไป ทำให้เขาต้องระวังให้เกินสิบส่วนมาอีกสองส่วน ยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า

“ไช่กงกง สังหารราษฎรมองโกล ตอนตรวจสอบเบื้องบนไม่รับ……”

ไช่หนานยิ้ม เดินไปที่หีบไม้ดึงขึ้นมาถุงหนึ่ง ล้วงออกมา ยื่นไปตรงหน้านายกองพันเลี่ยว นายกองพันเลี่ยวได้เห็น ก็จ้องเขม็ง ยื่นมือไว้จับไว้ ไช่หนานหดมือกลับทันที

“นี่คือป้ายประจำตัวทหารมองโกล?”

“นายกองพันเลี่ยวสายตาแหลมคม……”

ชายที่เข้าร่วมทัพทหารมองโกลย่อมมีป้ายแสดงสถานะ มีหลักฐานเช่นนี้ นำหัวไปรับรางวัลก็ย่อมมีน้ำหนักเพียงพอ มีหัวทหารมองโกล ยังมีป้ายแสดงสถานะ เลี่ยวเฉวียนจงอึ้งไปนาน ก่อนจะปรี่เข้ามาคุกเข่าโขกศีรษะหลายทีกล่าวว่า

“ข้าน้อยขอบคุณในความเมตตาของกงกง……”

“ไม่ต้องรีบขอบคุณ เสบียงอาหารที่กองกำลังหู่เวยต้องใช้ก็มากอยู่ นายกองพันเลี่ยวทางนี้ไม่ค่อยสะดวกกระมัง!!”

กล่าวถึงตรงนี้ เลี่ยวเฉวียนจงก็จะยังมีใดไม่เข้าใจ มองไปที่หัวพวกนั้น ปากก็ยิ้มไม่หุบ กล่าวเสียงดังว่า

“เสบียงจะมีค่าอันใดนักหนา คุยกันได้ คุยกันได้”

**************

หวังทงคิดไม่ถึงว่าห้าสิบหัวจะมีค่าเพียงนี้ ใช้เสบียงเลี้ยงสัตว์อย่างไรก็ต้องหลายพันตำลึง หรือว่าหัวพวกนี้มีค่าเพียงนี้เชียว ลี่เทาจึงกล่าวอธิบายให้กระจ่างว่า

“พี่หวัง 50 สิบหัวนำไปขอพระราชทานปูนบำเหน็จรางวัล เลี่ยวเฉวียนจงอย่างน้อยก็คงได้ตำแหน่งแม่ทัพระดับสูงขึ้นอีก ดีไม่ดีลูกหลานก็จะพลอยได้ไปด้วย เป็นที่รู้กันว่าแม่ทัพหม่าหลายสิบปีมานี้ ทั้งหมดตัดไปได้แค่พันหัวเท่านั้น……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!