ตอนที่ 454 บั้นท้ายพยัคฆ์ มักมีคนลูบคลำ
ในช่วงเวลางานการวุ่นวายเช่นนี้ นายกองตรวจการอวี๋จี้หย่งที่ปกติไม่ได้ไปมาหาสู่กันจะมาทำไมกัน? นับประสาอันใดกับอวี๋จี้หย่งที่เรียนได้วาไม่เคยเป็นมิตรกับหวังทง หวังทงอาจเรียกได้ว่ามีการปฏิบัติการ ‘ข้ามหน้า’ ไปไม่น้อย
กลางวันที่โถงพิธีเคารพศพ ก็ไม่เห็นว่าอวี๋จี้หย่งจะกล่าวอันใด กลางคืนอยู่ๆ มีเหตุอันใดกัน
หรือว่ากองทัพเกิดเรื่องใหญ่ นี่เป็นปฏิกิริยาแรกของหวังทง พอถอดชุดไว้ทุกข์ออก ก็รีบไปยังห้องรับรองทันที
“ใต้เท้าหวังวันนี้เหน็ดเหนื่อยแล้ว ข้ายังมารบกวน ช่างเสียมารยาทจริง!”
ปกติสายสัมพันธ์อย่างไรไม่ขอกล่าวถึง หากยามนี้มารยาทนอบน้อมอย่างไรก็ต้องมี อวี๋จี้หย่งเห็นหวังทงเข้ามาก็ยิ้มลุกขึ้นทักทาย
อวี๋จี้หย่งวันนี้สวมชุดสามัญสีน้ำเงินดำ เป็นการแต่งกายแบบออกไปข้างนอกปกติ ทำให้หวังทงยิ่งรู้สึกสงสัย ได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะถามอย่างสุภาพว่า
“เป็นคนงานจัดการกัน ข้ามิได้เหน็ดเหนื่อยอันใด ใต้เท้าอวี๋วันนี้มามีอันใดชี้แนะ?”
ทหารเอาน้ำชาเข้ามาถอยออกไป สองฝ่ายนั่งลง อวี๋จี้หย่งเงียบไปครู่ก่อนจะเอ่ยว่า
“มีเรื่องหนึ่งขอมาแจ้งใต้เท้าหวัง ข้าเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนได้ข่าวมาว่าเมืองชางโจวทางนั้นตั้งด่าน เลียนแบบการเก็บภาษีเรา……”
หวังทงเพิ่งจะยกจอกชาขึ้น ได้ยินวาจานี้สองตาก็เขม็งจ้องทันที สีหน้าอยู่ๆ ก็เปลี่ยนไปของหวังทงทำเอาอวี๋จี้หย่งตกใจ แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มตามมา กล่าวต่อว่า
“ด่านเลียนแบบเทียนจินเรา สินค้าผ่านทางต้องเสียภาษีสองส่วน พรุ่งนี้ก็จะกั้นแม่น้ำตั้งด่าน เป็นเพราะทางนั้นข้ามีสหายสนิทอยู่จึงได้มาบอกข้าในวันนี้”
“ทางเมืองชางโจว……นอกจากเจ้ากรมกองขนส่งเกลือฉางหลู ก็เป็นผู้ว่าเมือง พวกเขากล้าเช่นนี้หรือ?”
บนคลองส่งน้ำตั้งด่านใหญ่เจ็ดแห่ง เป็นระเบียบปฏิบัติของกรมอากร นอกจากนี้ก็มีแค่ด่านภาษีเทียนจินของหวังทง กรมอากรตั้งด่านก็ย่อมไม่ต้องกล่างถึง ด่านเทียนจินก็ได้ชื่อว่าเก็บเงินก้อนจินฮวาส่งเข้าวัง แต่ตอนนี้ยังไม่มีสถานะที่ชัดเจน
ทางชางโจวก็แค่เมืองเล็กๆ ภายใต้กำกับเมืองเหอเจียน เหตุใดจึงมีความสามารถใหญ่โตเพียงนี้ แน่นอน ปกติที่รอดูตนขายหน้าอย่างนายกองตรวจการท่านนี้ไหนเลยจะแค่มาเตือนด้วยหวังดี เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำประหลาดใดซ่อนอยู่
“ผู้ว่าเมืองชางโจว สวีกว่างกั๋ว เป็นหลานแท้ๆ ของสวีชิงซานผู้ช่วยฝ่ายซ้ายกรมอากร ว่ากันว่ายังมีสายสัมพันธ์กับกงกงหลายหน่วยงานในวัง นับว่ามีหน้ามีตาในเขตปกครองเหนือนี้ ทางนั้นตั้งด่านเก็บภาษี หากสามารถทำได้ ก็เตรียมอาศัยชื่อว่าหาเงินเข้าวังหลวงมาใช้เช่นกัน”
อวี๋จี้หย่งวันนี้นิสัยเปลี่ยนไป นุ่มนวลอย่างมาก อธิบายได้ละเอียด เจ็ดด่านภาษีเหมือนตั้งไปอย่างนั้น เจ้าหน้าที่ภาษียักยอกหักเก็บไว้มาก ขอเพียงแอบให้ผลประโยชน์ ไม่จ่ายภาษีก็ยังได้ ดังนั้นเรือไปมาเหนือใต้ถูกเก็บภาษีน้อยมาก เพราะต้นทุนไม่สูง ยังมีโอกาสทางการค้ามากมายที่เทียนจิน ทำให้ทุกคนยอมทนกับนโยบายภาษีสองส่วนของเทียนจิน ส่งสินค้าเข้าออก มาทำการค้ากันที่นี่
แต่หากมีด่านอื่น และยังเป็นชางโจวที่ห่างจากเทียนจินไม่ถึง 200 ลี้ ไปๆ มาๆ ก้เท่ากับค่าใช้จ่ายในการทำค้าที่เทียนจินเพิ่มอีกเท่าเลยทีเดียว
และยังเป็นขุนนางท้องที่ เป็นคนทางการ ยังจะอาศัยชื่อว่าเก็บเงินเข้าวัง หวังทงเหมือนจะคาดได้ว่าจะยักยอกกันถึงขั้นใด ถึงตอนนั้น พ่อค้าจากซานตงและเหอหนานที่ล่องมาตามคลองส่งน้ำตอนเหนือลงมา ก็ย่อมอาจจะสละเทียนจินทิ้ง
หากพ่อค้ามาที่นี่น้อยลง ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ต่อเนื่องเป็นเรื่องยาว เทียนจินเสียหายไม่ว่า หากที่ชางโจวทำสำเร็จ ยังไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่คนที่คิดเลียนแบบ ถึงตอนนั้นย่อมเป็นเรื่องยุ่งยากใหญ่โต
เทียนจินเป็นกิจการที่หวังทงวางรากฐานมาย่อมไม่ยอมให้ผู้อื่นมาทำลายโดยง่าย แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ด่านที่เทียนจินของตนนั้นก็ตั้งก่อนค่อยรายงาน มีตัวอย่างเช่นนี้ คนอื่นๆ หากสายสัมพันธ์ดีพอ ก็คิดจะทำตามแน่นอน และย่อมไม่มีความผิดอันใดด้วย
ได้เห็นหวังทงนิ่งไป อวี๋จี้หย่งก็ยิ้มกล่าวว่า
“เสนาบดีหม่าแห่งกรมอากรปีนี้ 65 เอาแต่บ่นว่าอยากกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่ส่านซี อยากขออำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิด เรื่องนี้เกิดขึ้นในปีนี้ ทุกคนต่างลือกันไปว่าคนที่จะมาแทนน่าจะเป็นสวีชิงซานแห่งกรมอากรนั่นเอง……”
เสนาบดีเข้าสู่สำนักเสนาบดีใหญ่ก็มีภารกิจที่ต้องปฏิบัติเป็นหลัก สวีชิงซานอาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้จัดการงานหลักในกรมอากร อวี๋จี้หย่งกล่าวอีกว่ามีสายสัมพันธ์ในวัง มิน่าจึงได้ใจกล้าเพียงนี้
เพียงแต่ว่าอวี๋จี้หย่งเหตุใดจึงหวังดีเช่นนี้ หวังทงมองนายกองตรวจการอวี๋ที่นั่งอยู่ก่อนจะประสานมือกล่าวว่า
“เรื่องนี้เป็นอุปสรรคใหญ่ของเทียนจินจริงๆ ขอบคุณใต้เท้าอวี๋ที่มาแจ้งให้ทราบ”
อวี๋จี้หย่งประสานมือคำนับตอบ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กล่าวด้วยท่าทางราวผดุงคุณธรรมว่า
“ชางโจวตั้งด่าน ส่งผลกระทบไม่ดีต่อชาวเทียนจินเรา ขอใต้เท้าหวังรีบจัดการเร่งด่วน……อ่อ ใต้เท้าอวี๋จากไป ใต้เท้าหวังกำลังโศกเศร้า ข้ายังมารบกวน เสียมารยาทเสียจริง ขอใต้เท้าหวังโปรดอภัย”
ชาวบ้านเทียนจิน? อวี๋จี้หย่งนำคนไปตั้งด่านที่คลองส่งน้ำตอนนั้น เหตุใดไม่กล่าวถึงชาวบ้าน หวังทงไม่เชื่อวาจานี้ แต่ข่าวนี้ก็นับว่ามีประโยชน์มาก
สองฝ่ายพูดคุยกันตามมารยาท พอส่งแขกกลับ ก็ปิดประตู จางซื่อเฉียงรีบตามเข้ามารายงานว่า
“ใต้เท้าหวัง อวี๋จี้หย่งเปิดร้านค้าสองแห่งที่ริมแม่น้ำทะเล ในเมืองยังมีอีกร้าน นอกจากนี้ที่หลินชิงก็ยังมีร้านอีก”
นายกองตรวจการอวี๋จี้หย่งมาเยือนถึงที่ สำหรับพวกหวังทงทางนี้แล้วก็ไม่ต่างอันใดกับนกฮูกบินเข้ามากลางวันแสกๆ ไม่ต้องให้หวังทงสั่งการ จางซื่อเฉียงย่อมส่งคนไปตรวจสอบ
พอกล่าวถึงกิจการของอวี๋จี้หย่ง สาเหตุที่มาแจ้งข่าวก็เผยออกมา หลินชิงเป็นหนึ่งที่พื้นที่สำคัญของการค้าคลองส่งน้ำ เป็นเมืองใหญ่ที่ซานตง เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เทียนจินก็มีกิจการ หลินชิงก็มีกิจการ สองฝั่งใช้เส้นทางคลองส่งน้ำส่งของให้กัน ย่อมกำไรร่ำรวยเป็นแน่
หากชางโจวตั้งด่าน ก็พอดีกั้นอยู่ระหว่างหลินชิงกับเทียนจิน สองฝั่งส่งสินค้าไปมาก็ต้องเสียภาษี ทำให้ต้นทุนปกติเพิ่มขึ้น นับประสาอันใดกับการที่ยังเป็นการเลียนแบบเทียนจิน ก็หมายความว่า ไม่มีสถานะรองรับก็เป็นที่ยอมรับได้เหมือนกัน
หากเป็นพ่อค้าราษฎรทั่วไปถูกทางการตั้งด่านภาษี ก็ย่อมกัดฟันยอมไป ก็แค่กำไรลดลงเล็กน้อย ขนสินค้าไปมามากหน่อยมาชดเชยก็แล้วกัน แต่อวี๋จี้หย่งเป็นขุนนางระดับสี่ อยู่เทียนจินต้องจำทนก็แล้วไป ยามปกติก็ถูกลอกไปแล้วหนึ่งชั้น จะให้เขาทำใจยอมรับได้อย่างไร
************
“ซานเปียว เจ้าไปหาชุดจากต้าไห่ กองพลม้าเปลี่ยนเป็นชุดชาวบ้าน จากนั้นก็ไปที่ชางโจว”
หม่าซานเปียวถูกเรียกตัวมาจากค่าย กำลังงง ได้ยินหวังทงสั่งมาก็รับคำสั่งก่อน จากนั้นก็เอ่ยถามว่า
“ใต้เท้า โจมตีชางโจวอาศัยแค่พลม้าของข้าน้อยเกรงว่าไม่พอ……”
หวังทงอึ้งไป จากนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า
“โจมตีชางโจวอันใดกัน ไปเตรียมชุดเปลี่ยนที่ต้าไห่ก่อน ชุดชาวบ้านหากไม่พอ ก็ไปหาซื้อเอาที่ร้านค้า ซื้อเสื้อผ้าให้ทุกคน เตรียมตัวเสร็จแล้ว ก็ย่อมมีคำสั่งอันดับถัดไป!”
หม่าซานเปียวกับซุนต้าไห่ออกไปอย่างเร็ว หวังทงหันไปหาถานเจียงข้างกายกล่าวว่า
“จากเทียนจินไปชางโจว ม้าเร็วไปใช้เวลาเท่าใด?”
ถานเจียงพอเดาความคิดหวังทงออก กล่าวว่า
“มีวิธีวิ่งสองแบบ วิ่งม้าไม่ตายไม่ถึงสองวัน หากไม่กลัวว่าวิ่งม้าตาย คืนนี้ออกเดินทาง พรุ่งนี้บ่ายก็ถึง!”
หวังทงพยักหน้า ตัดสินใจกล่าวว่า
“ให้ถานเจี้ยนและถานกงแบ่งนำคนห้าคน ให้เลือกตามใจ ม้าก็เลือกไปตามใจ คนไม่ตายก็แล้วกัน พรุ่งนี้เดินทางไปชางโจว ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องขัดขวางการตั้งด่านไว้ก่อน อย่าปล่อยให้พวกเขาตั้งที่คลองส่งน้ำได้”
“นายท่าน ที่ชางโจวนั่นก็เป็นกองกำลังทหาร ถานเจี้ยนกับถานกงนำคนไป 10 คน แม้ว่าเก่งกล้า หากเกรงว่ารับมือไม่ไหว……”
“ไม่มีผู้ใดหวังให้เขาไปต่อสู้ ก็แค่ตั้งธงใหญ่ลอกหนังเสือหาเรื่องใหญ่โตไปเรื่อยเป็นหรือไม่ ก่อกวนหาเรื่องให้วุ่นวายเป็นหรือไม่ ดึงดันไร้เหตุผลเป็นหรือไม่……”
ถามกลับหลายประโยค ถานเจียงก็ยิ้มเฝื่อนๆ อย่างไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่ตอบกลับไปอย่างลำบากใจว่า
“กล่าวกับใต้เท้าตามตรง พี่น้องเราทำไม่เป็นจริงๆ เรียนมาแต่สังหารยิงธนูขี่ม้า เดินทัพตั้งค่ายเท่านั้น”
หวังทงหลุดหัวเราะขึ้น ก่อนจะตบท้ายทอยตนเองกล่าวว่า
“แย่ละ แย่ละ ไปหาหังต้าเฉียว เขาน่าจะทำเป็น ถานเจียง ตอนนี้เจ้าไปจัดการ……ข้างนอกไปตามพวกท่านหยางมาหน่อย!”
ถานเจียงรีบออกไป ไม่นาน หยางซือเฉินก็รีบวิ่งเข้ามา จวนริมแม่น้ำทะเลของหวังทงเพิ่งสร้างใหม่ เรือนคนสนิทก็อยู่ข้างๆ กัน ตะโกนเรียกสะดวกมาก
หยางซือเฉินกลางวันก็ติดตามยุ่งกับงานกันมาทั้งวัน ยามนี้ยังกำลังจัดการเอกสารในห้องหนังสือ ได้ยินคำสั่งเรียกตัว ก็รีบมา หวังทงเห็นเขาเข้ามา ก็ยิ้มเอ่ยว่า
“เขียนฎีกาหนึ่งฉบับ และจดหมายส่วนตัวอีกสอง”
************
มิใช่ว่าทุกแห่งจะทรงประสิทธิภาพเหมือนเทียนจิน เมืองชางโจวห่างออกไปสองลี้ก็คือคลองส่งน้ำ แต่ตอนเช้าใต้เท้าทุกคนใช่ว่าตื่นเช้า ตอนกลางวันพระอาทิตย์ค่อนไปทางตะวันตก ใต้เท้าทุกท่านล้วนรอให้พระอาทิตย์ค่อนไปทางตะวันตกก่อนจึงจะมาถึงนอกเมือง
การตั้งด่านกลางคลองส่งน้ำนั้นง่ายมาก ก็แค่ส่งเรือใหญ่ล่องไปกลางลำน้ำ จากนั้นต่อจากนี้เรือนี้ก็จะเป็นด่านเก็บเงินผ่านทาง เจ้าหน้าที่ก็จะพายเรือเล็กไปเก็บภาษี……
การตั้งด่านบนคลองส่งน้ำ แม้ว่าเลียนแบบเทียนจิน แต่ในใจทุกคนก็ไม่แน่ใจสักเท่าไร ดังนั้นต้องใต้เท้าสวี ผู้ว่าเมืองชางโจวออกมาสยบความไม่แน่ใจ ก็ย่อมต้องสำแดงบารมีให้ประจักษ์
ริมคลองส่งน้ำมีเจ้าหน้าที่มารวมตัวรอกันอยู่ก่อนหน้านานแล้ว ที่เรียกว่าเจ้าหน้าที่ก็คือ คนงานที่สวีกว่างกั๋วพามาด้วยนั่นเอง พวกที่มาช่วยปฏิบัติงานที่เหลือก็เหมือนที่อื่นในใต้หล้า ล้วนเป็นพวกนักเลงพื้นที่มาเติมจำนวนเจ้าหน้าที่ให้เติม
ริมคลองส่งน้ำที่เดิมมีเสียงดังอยู่ พอคนพวกนี้ปรากฎตัว ราษฎรก็พากันเดินหนีหายหมด เรือที่คิดเทียบท่าก็พากันแล่นทวนน้ำ ตามน้ำกันไป ไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว
“ด่านนี้เปิด ก็เพื่อแบ่งเบาพระราชภาระ ทุกท่าน ข้ามีข่าวมาแล้ว ไม่เกินครึ่งเดือน ก็จะมีเอกสารทางการมาถึง ให้ชางโจวเป็นด่านภาษี”
ผู้ว่าเมืองชางโจว สวีกว่างกั๋ว กล่าวเสียงดังก้อง คนร่วมพันรอบๆ พากันคำนับกล่าวยกย่อง ที่ปรึกษาข้างกายสวีกว่างกั๋วรีบเดินไปโบกมือส่งสัญญาณริมคลองส่งน้ำ
เห็นสัญญาณนี้ พวกคนที่ยืนอยู่ข้างเรือริมคลองส่งน้ำก็รีบเตรียมผลักเรือลงน้ำ ยามนั้นเอง ก็ได้ยินเสียง ‘ฉึก’ ธนูดอกหนึ่งปักเข้ากลางหน้าต่างห้องเรือ ปลายขนนกสั่นไม่หยุด