Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 455

ตอนที่ 455 ธนูเทพก่อกวน ชางโจวไร้ด่าน

คนงานของผู้ว่าและนักเลงหัวไม้ท้องถิ่นปกติก็ฝึกกระบี่กระบองกัน แต่ก็แค่อาศัยความสามารถที่กล้าหาญส่วนตัวกันเท่านั้น

ที่นี่ห่างจากเทียนจินไม่ไกล ทางนั้นเจริญอย่างไรย่อมได้ยินได้ฟังมา คนไม่น้อยก็เคยไปเห็นด้วยตา ชางโจวก็จะตั้งด่านตาม พวกคนที่ถูกเลือกมาเป็นเจ้าหน้าที่ภาษีก็ล้วนแต่ตื่นเต้นคึกคักอย่างที่สุด ในใจคิดว่าก้อนใหญ่ให้เบื้องบน ตนเองกับพวกระดับล่างก็คงได้แบ่งบ้าง

กำลังตื่นเต้นผลักเรืออยู่นั่นเอง เสียง ‘เฟี้ยว’ ดังแหวกมา ได้ยินเสียง ‘ฉึก’ ธนูดอกหนึ่งปักลงบนหน้าต่างห้องเรือ

คนที่กำลังผลักดันเรืออยู่เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกตะลึง ทุกคนได้แต่มองตาค้าง ชางโจวนับเป็นเมืองสงบ ไหนเลยจะเคยเห็นการสู้รบ ธนูดอกหนึ่งยิงมา ผู้คนย่อมไม่อาจตั้งสติได้ทันไปชั่วขณะหนึ่ง

เสียง ‘ฉึก’ ‘ฉึก’ ดังติดๆ กันมา มีสองดอกปักอยู่บนเรือ ยามนี้จึงเริ่มมีคนได้สติ ตะโกนดังเรียกหา ‘มารดา’ กันเสียงดัง หันหลังวิ่งกลับไปทางสวีกว่างกั๋วทันที

สวีกว่างกั๋วเพิ่งกล่าวเปิดงานจบ กำลังรอคนผลักเรือลงน้ำแล้วค่อยกล่าววาจำเป็นทางการอีกสักสองสามประโยค คิดไม่ถึงว่าอยู่ ๆ บรรดาคนที่ผลักเรือจะตะโกนร้องหาบิดามารดากันวิ่งกลับมา

“นายท่าน มีคนยิงธนูใส่!”

มีคนตะโกนร้องเสียงหลง สวีกว่างกั๋วอึ้งไป มือปราบข้างกายยังพอมีความกล้า เจ้าหน้าที่ศาลก็ย่อมพอมีความสามารถอยู่ สวีกว่างกั๋วมีพื้นเพมาจากพวกลูกหลานคหบดี ใช้จ่ายเงินมือเติบ คนในปกครองก็ย่อมตั้งใจทำงาน มือปราบผู้นั้นยืนขึ้นบังหน้าสวีกว่างกั๋ว มือจับด้ามดาบแน่นคำรามดังว่า

“ตะโกนบ้าอะไร กลางวันแสกๆ ผู้ใดกล้า……”

ยังกล่าวไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวด พร้อมกับการก้าวถอยหลังมาเจ็ดแปดก้าว ยังดีที่สวีกว่างกั๋วถอยหลบไว มิเช่นนี้คนได้ถูกมือปราบผู้นี้ชนล้ม ด้านหลังมีคนยันไว้ มือปราบผู้นั้นยังยืนอยู่ พอหยุดนิ่งก็หวีดร้องดังขึ้นทันที หากมือยังกุมอยู่ที่หน้าอก

สวีกว่างกั๋วเห็นแล้วก็เข้าใจทันที ด้านหน้ามีธนูดอกหนึ่งปักอยู่ที่พื้น มีคนยิงธนูจริง สวีกว่างกั๋วก็แค่ขุนนางบู๊ สีหน้าตอนนี้ก็ย่อมซีดเผือด รีบตะกายหลบไปด้านหลัง หากด้านหลังเขาก็ล้วนเป็นบรรดาขุนนางและซือเย๋ (ที่ปรึกษา) ของเขากลัว ผู้อื่นย่อมกลัวยิ่งกว่า

ทหารในเมืองชางโจวมายืนรักษาการณ์กันอยู่สิบกว่าคน เห็นสถานการณ์ชุลมุนวุ่นวายเช่นนี้ มือปราบผู้นั้นก็ร้องเสียงหลง พวกเขาปฏิกิริยาไม่รอช้า ยังไม่รอให้ผู้ใดบอก ก็พากันทิ้งอาวุธในมือ ยกเท้าได้ก็พากันวิ่งหนีทันที ไม่นานก็ไม่เห็นแม้เงา

ชาวบ้านที่มามุงดูต่างแตกฮือหนีไปหมด ตอนนี้ชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด พวกที่เคลื่อนไหวเร็วก็หันหลังวิ่งหนี พวกที่คิดได้แล้วก็คลานไปก่อน ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่ามีม้าสิบกว่าตัวมาที่ข้างเรือ มีคนร้องบอก สิบกว่าคนนั้นก็โดดลงจากหลังม้า

พอลงจากหลังม้า ก็มีม้าบางตัวร้องเสียงดังก่อนจะล้มพับลงกับพื้น กระตุกสักครู่ก่อนจะสิ้นลม ชายนักรบพวกนั้นไม่สนใจแม้แต่น้อย หากพากันไปล้อมกันรอบเรือลำนั้นไว้

ชุลมุนกันอยู่นาน ไม่มีผู้ใดโจมตีเข้าใส่ต่อเนื่อง หัวหน้าของมือปราบหลายคนของสวีกว่างกั๋วในที่สุดก็เริ่มสงบใจลงได้ ร้องตะโกนขับไล่ชาวบ้านไปพลาง เข้าประคองสวีกว่างกั๋วไปพลาง

ผู้ว่าเมืองชางโจวสวีกว่างกั๋วนับว่าเป็นพวกปฏิกิริยาไว คลานลงกับพื้นในวินาทีแรก รอจนมีคนประคองขึ้นมา ชุดก็เปื้อนดินไปหมด สภาพทุลักทุเลมาก

พอเห็นเรือที่จะเอาไปตั้งด่านถูกคนสิบกว่าคนยืนล้อมไว้ ไม่มีใครอื่นอีก ก็เริ่มมีความกล้าขึ้นมา ทำใจให้สงบนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะมองเห็นป้ายนำขบวนเกี้ยวสองแถวตกกระจัดกระจายอยู่ที่พื้น แม้แต่เกี้ยวประจำตำแหน่งก็ล้มคว่ำอยู่ที่นั้น สภาพน่าอนาถไม่น้อย อยู่ ๆ ต้องมาเสียหน้าอย่างไร้ที่มาที่ไปเช่นนี้ สวีกว่างกั๋วย่อมโมโหระเบิดขึ้นในทันที

“ทำร้ายเจ้าหน้าที่ เห็นชัดว่าเป็นพวกก่อความไม่สงบ มือปราบหลี่ เจ้ารีบนำกำลังมือปราบเราทั้งหมด และเรียกกำลังทหารในเมืองมาจับพวกโจรชั่วเหล่านี้!!”

มือปราบคิดว่าตนเองถูกยิงเข้าแล้วเพิ่งจะหายตกใจ ก็เห็นว่าที่เสื้อตรงหน้าอกก็แค่เป็นรูกลมๆ แม้ว่ารู้สึกเจ็บลึกๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก

เขาจึงได้สติ ธนูอีกฝ่ายไม่ได้ใช้ธนูมีหัว มิเช่นนั้นตนเองคงจบสิ้นแล้ว อีกฝ่ายยั้งมือ นอกจากแค่หกล้มไม่กี่คนก็ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย ในใจก็รู้สึกคลายความกลัวลงไม่น้อย รู้สึกว่าอีกฝ่ายอาจไม่กล้าทำอันใด มองไปเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่แค่สิบกว่าคน ความกล้าก็เริ่มมากขึ้นตามมา

“พี่น้องเรา คนพวกนี้เหนื่อยล้า ม้าก็อ่อนแรง ไม่ต้องกลัว จับพวกมันไว้ นายท่านมีรางวัล!”

มือปราบหลี่ตะโกนดัง สวีกว่างกั๋วใจกว้าง ช่วยแจกรางวัลได้อย่างไม่ต้องกังวล พอเขาตะโกนเช่นนี้ คนหลายสิบคนก็เริ่มรวมตัวเข้ามา

ทางนั้นเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจริง ม้าเหมือนจะเหนื่อยจนล้มไปสอง มีหลายคนที่เกือบยืนไม่ติด ถึงกับมีคนรูปร่างอ้วนคนหนึ่งนั่งแปะลงบนเรือ จะไปกลัวโจรพวกนี้ทำไมกัน

คนของสวีกว่างกั๋วมองเห็นแล้ว ได้ยินเสียงตะโกนของมือปราบหลี่ ก็ให้กำลังตนเอง รวมตัวกันอีกครั้ง มือปราบหลี่ชักดาบที่เอวออกมา คนอื่นๆ ก็หยิบจับอาวุธขึ้นมา มีบางคนถือไม้พลองน้ำไฟที่ไว้ใช้ลงโทษโบย เตรียมจะบุกเข้าไป

สีหน้าสวีกว่างกั๋วตอนนี้เขียวคล้ำ จับหมวกขุนนางตนให้เข้าที่ ผลักลูกน้องข้างๆ ออก ตะโกนคำรามดังว่า

“จับพวกโจรชั่วให้หมด ข้ามีรางวัลหนัก เปิดด่านภาษีเมื่อใด ในสิบวันไม่ต้องนำมาส่งมอบแม้แต่อีแปะเดียว!!”

ได้เห็นสภาพรุ่งเรืองบนคลองส่งน้ำแล้ว เก็บภาษีได้สิบวันก็เท่ากับความร่ำรวยมหาศาลแล้ว คนของผู้ว่าเมืองชางโจวได้ยินแล้วก็เริ่มมีแรงคึกคัก มือปราบปลี่รู้ว่าตนเองย่อมได้ก้อนโต ก็ยิ่งมีแรงฮึด ชักดาบคำรามดังว่า

“พี่น้องเรา……”

เสียงยังไม่ทันจบ ก็เห็นอีกฝ่ายน้าวธนู ระยะห่างไม่กี่สิบก้าว คิดจะหดหัวก็ไม่ทันเสียแล้ว มือปราบหลี่ครานี้ถึงกับกลัวจนขวัญหนี ยืนตัวแข็งค้างอยู่กับที่ รู้สึกว่าเหนือศีรษะวูบไป พอคลำดู ก็พบว่าหมวกไม่อยู่แล้ว บรรดามือปราบศาลต่างก็สวมหมวกทรงเหลี่ยมสีดำ หมวกบนศีรษะค่อนข้างสูง ย่อมเป็นเป้าอย่างดี

สามารถยิงหมวกได้ ย่อมสามารถยิงศีรษะได้ คิดแล้วเมื่อครู่อีกฝ่ายใช้ธนูไร้หัวยิงมาที่หน้าอกตน มือปราบหลี่ก็เริ่มหนาวเหน็บความกล้าหายสิ้น แต่ก็ยังคิดว่าอีกฝ่ายไม่กล้าลงมือ จึงได้ตะเบ็งเสียงดังไปว่า

“พวกมันไม่กล้าสังหารคน พวกเราบุกเข้าไปด้วยกัน!!”

มือปราบด้านหลังมือปราบหลี่เมื่อครู่พากันตกใจหวาดกลัวไปเรียบร้อย พอได้ยินวาจานี้ทุกคนก็ลังเล มือปราบหลี่ย่อมลุกขึ้นนำก่อน ในใจคิดว่าตนเองบุก พี่น้องตนย่อมบุกตาม ถึงตอนนั้นทุกคนก็ย่อมตามมา ยามนั้นจึงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

ก้าวไปหนึ่งก้าว บรรดามือปราบด้านหลังไม่ขยับเขยื้อน กลับได้ยินเสียงคำรามดังของมือปราบหลี่ ซือเย๋ที่เป็นตำแหน่งที่ปรึกษาผู้ว่าเมืองชางโจวโมโหแทน ตะโกนดังว่า

“หลี่เหล่าลิ่ว ก็แค่ธนูไม่มีหัว เจ้าแหกปากตะโกนหาอะไรกัน……”

“ซือเย๋ เท้าของพี่หลี่ถูกปักไว้ที่พื้นเรียบร้อยแล้ว!!”

ทางนั้นมีเจ้าหน้าที่ศาลใจกล้าผู้หนึ่งชะโงกหน้าออกไปมอง หันกลับมาตอบเสียงดังทันที ทุกคนพากันหดหัวอยู่ที่นั่น แม้แต่สวีกว่างกั๋วก็หลบอยู่ด้านหลัง

มือปราบหลี่ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดด้วยไม่อาจแม้แต่จะขยับ บรรดาคนของศาลสภาพทุลักทุเลอย่างยิ่ง ชาวบ้านรอบๆ ก็ค่อยๆ รวมตัวกัน

หากเป็นพวกโจรกลุ่มใหญ่มา พวกเขาอาจจะหนีไปนานแล้ว แต่แค่ไม่กี่สิบคน ชาวเมืองชางโจวกล้าหาญออกปกป้องพื้นที่ตน เมื่อครู่ทำให้พวกเขารู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้โจรที่เหนื่อยแทบคลานสิบกว่าคนพวกนี้อวดเบ่งบารมีได้ ยามที่ทุกคนโอบล้อมเข้ามา เจ้าอ้วนที่มาถึงก็นั่งแปะลงบนเรือหอบหายใจก็ยืนขึ้น ในมือถือธนูอะไรสักอย่าง แต่อีกมือป้องอยู่ที่ปากตะโกนว่า

“พี่น้อง พี่ป้าน้าอาเมืองชางโจวทุกท่าน พวกเราเป็นคนของนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร ใต้เท้าหวัง คลองส่งน้ำชางโจวมีเรื่องผิดกฏหมาย ดังนั้นใต้เท้าเราจึงส่งพวกเรารุดหน้ามาจับกุม สำนักองครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติหน้าที่ คนไม่เกี่ยวข้องให้หลบไป!!”

อย่าเห็นว่ากำลังหอบ น้ำเสียงกังวานยิ่ง เดิมชาวบ้านที่กำลังโมโหอยู่ พอได้ยินว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ ยังได้ยินว่า ‘องครักษ์เสื้อแพร’ ก็กระจายตัวไปคนละทิศทันที

หากว่าเป็นพวกโจร การปกป้องบ้านเกิดจะไม่รอช้า หากเป็นคนทางการ เช่นนี้ก็เหมือนสุนัขกัดสุนัข ผู้ใดชนะ ผู้ใดแพ้ ชาวบ้านราษฎรเราย่อมไม่ได้ประโยชน์อันใด นับประสาอันใดกับเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่

“……ปลอม ปลอม!! พวกมันต้องปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่แน่ๆ !”

“ป้ายตำแหน่งอยู่นี่ หากไม่เชื่อก็เข้ามาตรวจสอบได้ แต่หากมีการเคลื่อนไหวอื่นใด อย่าได้หาว่าพี่น้องมือธนูเทพเราไม่เกรงใจ!”

กล่าวจบ เจ้าอ้วนก็ก้มลงควักถุงผ้าออกจากเอวโยนมาด้านหน้า ถุงนั้นลอยคว้างกลางอากาศ มีมือธนูด้านหลังยิงนำถุงผ้านั้นปักลงบนพื้น

“เยี่ยม!!”

ชาวบ้านรอบๆ เริ่มเปลี่ยนจากการระวังป้องกันมาเป็นมุงดูเรื่องสนุกแทน อีกฝ่ายโยนป้ายแสดงสถานะออกมา การกระทำเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ปลอมมา อีกฝ่ายแสดงฝีมือธนูขั้นเทพ จึงมีคนอดไม่ได้ร้องตะโกนเชียร์ขึ้น

สีหน้าสวีกว่างกั๋วกับเจ้าหน้าที่ข้างๆ เริ่มดูไม่ได้ สวีกว่างกั๋วสีหน้าดำคล้ำลงไปอีก แม้ว่าเมื่อครู่คำว่า ‘เจ้าหน้าที่ปลอม’ จะเป็นเขาตะโกนออกมา แต่ในใจก็พอรู้ได้ ดีไม่ดีหวังทงจากเทียนจินส่งคนมาพังงานจริง

นายกองพันเล็กๆ นั่นใจกล้าบ้าบิ่น แต่ไรก็ไม่เคยทำอะไรตามธรรมเนียมปกติ ตนเองครั้งนี้คิดว่าแอบตั้งด่านเงียบๆ ทุกคนล้วนเป็นขุนนางราชสำนัก อย่างไรก็ไม่กล้าลงมือ ถึงตอนนั้นเบื้องบนออกแรงอีกที ก็ทำเรื่องสำเร็จ ไม้กลายเป็นเรือเสียแล้วทำไงได้ คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้ทำอะไร ทางนั้นก็ลงมือก่อนแล้ว

มือปราบหลี่ถูกคนประคองกลับไป สวีกว่างกั๋วกระซิบว่า

“ไปตามคนมาอีก เอาหอกโล่บุกเข้าไป จับตัวพวกมันไว้ก่อน จากนั้นค่อยคิดการต่อ”

หน้าผากมือปราบหลี่มีแต่เหงื่อเย็นไหลท่วม กัดฟันกระซิบไปว่า

“นายท่าน พวกเขามือธนูสิบกว่าคน บุกไม่ไหว ถึงตอนนั้นยิงบาดเจ็บไป ทุกคนก็กระจัดกระจาย ถึงตอนนั้นก็จะยิ่งยุ่งยาก นายท่าน กลับเข้าเมืองก่อนเถอะ ปล่อยพวกมันไปสักคืน พรุ่งนี้ให้พวกโรงบ้านแต่ละแห่งส่งคนมาจัดการแทน……”

พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ เสียเวลาอีกก็จะมืดแล้ว สวีกว่างกั๋วคิดทางอื่นไม่ออก ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ เลิกเสียดื้อๆ ทุกคนคอตกกลับเข้าเมือง ยังได้ยินเจ้าอ้วนบนเรือตะโกนดังมาว่า

“ทางนี้ย่อมไม่ตั้งด่าน ทุกท่านวางใจได้ ใต้เท้าหวังเราเคยกล่าววาจาไม่จริงเมื่อใด……ใช่แล้ว พี่น้องทุกท่าน มีผู้ใดมีเสบียงแห้งกับพวกหญ้าแห้งสำหรับม้าหรือไม่ ข้านำเงินมาด้วย ให้ราคา 3 เท่า ราคา 3 เท่าเลย!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!