ตอนที่ 461 เกราะหู่เวย วิธีสมัยฉิน
นำเสนอเสื้อเกราะนี้ออกมา ทำเอาทหารติดตามหวังทงมองกันตาเป็นประกาย ทุกคนล้วนเป็นนักรบย่อมรู้ว่าแสดงถึงนัยยะอันใด
ทหารทั่วไปบนแผ่นดินหมิงหากมีเกราะผ้าก็นับว่าไม่เลวแล้ว แม่ทัพล้วนสวมเกราะผ้า ด้านนอกหรือด้านในก็อาจมีเกราะลวดขด หากเป็นเกราะเกล็ดอันดับหนึ่งหรือเกราะแผ่นเหล็กสาน เครื่องแต่งกายระดับนี้แม้แต่นายทหารระดับสูงยังไม่แน่ว่าจะมี
แต่พวกเกราะผ้า เกราะลวดขด เกราะเกล็ดและเกราะแผ่นเหล็กสานหากถูกปืนไฟยิง ก็ย่อมเอาไม่อยู่ ทวนยาวหรือดาบแทงระยะใกล้ก็ทานไม่อยู่ แต่เกราะเหล็กเบื้องหน้านี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
เกราะที่สวมอยู่บนหุ่นฟาง ถูกทวนยาวแทง ถูกดาบฟัน หากไม่ใช้กำลังเท้าที่ยืนมั่นส่งแรงย่อมทำลายเกราะนี้ไม่ได้ ใช้ธนูยิงก็ย่อมทำได้แค่เป็นรอยแยกเล็กๆ ใช้ปืนคาบศิลาแบบหมิงยิง ก็ต้องระยะ 30 ก้าวจึงจะยิงทะลุเกราะได้
ปืนคาบศิลาสมัยนี้ต้องทำโดยช่างฝีมือดี ได้ฉายาว่าในร้อยก้าวทำลายเกราะได้ราวกับเศษเหล็ก กลับไม่อาจยิงทะลุเกราะนี้ได้ ทหารต่างชาติใช้ปืนไฟกระบอกเท่าแขนยิง จึงทำให้เกราะนี้ปริเป็นรูได้
“เกราะนี้ใช้เหล็กสองแผ่น ใช้เครื่องมืออัดขึ้นรูปเจาะรู จากนั้นใช้หนังมัดไว้กับตัว บนสนามรบ ก็จะสามารถป้องกันร่างกายผู้สวมได้ ชุดเกราะนี้ยังมีตัวกางเกง ตัวแขนและคอ พร้อมหมวกครบ โอกาสรอดบนสนามรบก็จะมากขึ้นอีกหลายส่วน”
เหรินย่วนยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มอธิบาย เขาสังเกตเห็นว่าพวกหวังทงต่างตกในภวังค์อึ้งไป หวังทงพยักหน้า ตามมาด้วยการลูบคลำรอยนูน เอ่ยถามว่า
“เกราะนี้มีชื่อไหม?”
เหรินย่วนเขยิบเข้ามากล่าวว่า
“พวกต่างชาติหยาบช้า ได้แต่ตั้งชื่อตามวัสดุ เรียกว่า ‘เกราะแผ่นเหล็ก’ ข้าน้อยขอให้ใต้เท้าตั้งชื่อด้วย จะได้ตกทอดไปเป็นร้อยปี”
หวังทงตบเสื้อเกราะเหล็ก กล่าวว่า
“ตกทอดไปร้อยปีแล้วมีประโยชน์อันใด สามารถป้องกันการสังหารบนสนามรบได้สำคัญกว่า ชื่อเกราะแผ่นเหล็กนี่ก็ไม่เลว หากรู้สึกว่าน่าเกรงขามไม่พอ ก็เรียกว่า ‘เกราะหู่เวย’ ละกัน!!”
นายช่างรอบๆ ต่างร้องชมว่าเยี่ยม หวังทงคิดไปมาก็ถามว่า
“หากเกราะทำได้ไม่ปราณีต เกิดเหตุบนสนามรบ วันหน้าสอบสวนเอาเรื่องขึ้นมา พวกเจ้ามีวิธีการรับมืออันใด ตามหาตัวช่างหรือ?”
เหรินย่วนอึ้งไป อย่าเห็นว่าเขาเป็นพวกอ่านแต่ตำรา เพราะคิดไวไม่น้อย คิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของหวังทง ก็ตอบว่า
“ตามที่ใต้เท้าว่าไว้ก่อนหน้า คนทำเกราะก็จะสลักชื่อไว้ วันหน้าก็ตามหาตัวจากชื่อที่สลัก”
หวังทงพยักหน้า เอ่ยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ทุกขั้นตอนการผลิต ช่างทุกคน และคนตรวจคุณภาพทั้งหมด ต้องสลักชื่อไว้ หากเกิดเรื่องก็จะหนีความรับผิดชอบไปไม่พ้น!”
เฉียวต้ารีบก้าวเข้ามารับคำ เหรินย่วนคิดไปมาก็ยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังวิธีนี้เหมือนกับคำสั่งควบคุมช่างในสมัยฉิน (จิ๋นซีฮ่องเต้) มาก มีคำสั่งเข้มงวดเช่นนี้ คิดว่าคงไม่เกิดเหตุผิดพลาดอันใดเป็นแน่”
“ไม่เพียงแต่เกราะ งานที่ช่างทำขึ้นมาแต่ละชิ้นก็ต้องใช้วิธีการนี้ ไม่เพียงแต่ของเราใช้เอง พวกเจ้าทางนั้นก็ต้องใช้วิธีนี้”
โรงช่างของหวังทงย่อมเป็นหวังทงออกกฎ แต่ทางเหรินย่วนเป็นโรงช่างทางการ เหรินย่วนกำลังดีใจอยู่นั่นเอง พอกล่าวถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจส่ายหน้ากล่าวว่า
“วิธีใต้เท้าเป็นอุบายที่ดี แต่ทางการหากต้องทำเช่นนี้จริง ยากเกินไป”
เรื่องทางการก็ย่อมยากอย่างนั้นอย่างนี้ แม้ว่าหวังทงดูแลทางนั้นด้วย แต่ก็รู้ว่าเรื่องพวกนี้ยุ่งยากจริง ทว่าก็ไม่บังคับ โรงช่างตนเองทำเป็นตัวอย่าง วันหน้าค่อยๆ เผยแพร่ออกไป
“มาๆ โรงช่างเราทำชุดเกราะให้นายท่านชุดหนึ่ง ขอให้นายท่านลองสักหน่อย”
เห็นบรรยากาศอึมครึม เฉียวต้าก็ยิ้มกล่าวขึ้นพลางกวักมือเรียก มีคนที่เตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว ลูกมือที่เป็นชายหนุ่มหลายคนช่วยกันยกชุดเกราะเข้ามาวางลงตรงหน้าหวังทง
ในโลกก่อนเห็นแต่เกราะแบบพวกฝรั่ง หุ้มเอาไว้อย่างกับคนเหล็ก โผล่แต่ลูกกะตา แต่เบื้องหน้านี้เป็นแค่หมวกเกราะ เกราะส่วนหน้าอกและสะโพก พร้อมที่ป้องกันแขนและคอ ดูแล้วทำง่ายกว่ามาก
รูปแบบง่ายก็ส่วนรูปแบบง่าย หากด้านบนเกราะยังมีเครื่องตกแต่งไม่น้อย ในเมื่อทำให้หวังทง ด้านบนก็ย่อมมีลวดลายซับซ้อน ยังมีลายหัวพยัคฆ์อีกด้วย ชิ้นงานปราณีตอย่างมาก
“ใต้เท้าลองสวมดูหน่อย!!”
ไม่เพียงแต่พวกช่างที่กล่าว หากทหารติดตามรอบๆ ก็ตะโกนขึ้นเช่นกัน พวกชาวฝึกยุทธ์ชอบเรื่องอาวุธชุดเกราะกันมากันตั้งแต่เกิด เห็นชุดเกราะดีเช่นนี้ แม้ว่าตนเองอาจไม่ได้ครอบครองแต่ได้เห็นใต้เท้าหวังสวมก็นับว่าไม่เลว
ช่างช่วยกันสวมชุดเกราะให้หวังทง เกราะถูกขัดจนขึ้นเงา พอสวมเข้ากับร่างกาย ก็ดูน่าเกรงขามอย่างมาก ชุดเกราะน้ำหนักไม่เบา แต่สำหรับทหารกองกำลังหู่เวยแล้ว นับว่าพอไหว
ได้เห็นท่าทางองอาจน่าเกรงขามของหวังทงเช่นนี้ บรรดานายทหารติดตามคนสนิทก็ตะโกนชมไม่หยุด หวังทงเดินไปสองสามก้าวพร้อมกับชักดาบออกมาลองกวัดแกว่ง ข้อต่อเคลื่อนไหวดี จึงถามว่า
“ตอนนี้สร้างได้กี่ชุดแล้ว?”
ยังไม่ทันรอให้เฉียวต้ากับเหรินย่วนตอบ หวังทงก็เอ่ยต่อว่า
“ปืนใหญ่ทำได้ 20 กระบอกแล้ว ชุดเกราะนี้ก็ทำได้แค่ 20 เท่านั้นกระมัง ปืนไฟเล็กตอนนี้ทำได้แต่สามกระบอก เหมือนจะช้าไปหน่อยนะ”
เขายุ่งกับการงานมาแต่ต้นปี แต่รายงานจากโรงช่างก็ให้ความสนใจมาโดยตลอด อาวุธทั่วไปก็ยังทำได้ดี แต่ปืนไฟเล็กแบบพวกฟะรังคีกับชุดเกราะกลับทำได้ช้าเกินไปจริงๆ มาชมครั้งนี้จึงได้ถามเช่นนี้
ได้ยินหวังทงถามถึงเรื่องนี้ สีหน้าเฉียวต้าก็เริ่มอึดอัด เหรินย่วนกระแอมไอในลำคอก่อนจะเอ่ยว่า
“ไม่อาจโทษอาจารย์เฉียว ทางสามเหลี่ยมปากแม่น้ำนี้ดินอ่อนไป พวกเราเริ่มขุดทางน้ำมาใช้ งานแบบพวกต่างชาตินั้นเราเองก็ทำกันครั้งแรก ทุกอย่างกำลังอยู่ในช่วงคลำทาง สร้างเสร็จแล้วยังมีความยุ่งยากอื่นๆ อีก มาจนครึ่งเดือนก่อนงานจึงได้เริ่มคล่องตัวขึ้น เกราะกับปืนไฟเล็กยังมีเรื่องแร่เหล็ก ช่างต่างชาติพวกนั้นเห็นเหล็กแล้ว บอกว่าไม่เหมาะนำมาใช้ ให้พวกช่างเราตีเองอีกรอบจึงได้นำไปใช้งาน”
หวังทงพยักหน้า เฉียวต้าเห็นสีหน้าหวังทงดีขึ้นก็เอ่ยแทรกว่า
“พวกอาจารย์ช่างหลายคนคิดจะสร้างเตาหลอมเหล็กใบใหม่ ใช้วิธีการของพวกเขาหลอม วันก่อนเตาเพิ่งเริ่มใช้งาน รอให้เตาผลิตเหล็กออกมาได้ก่อน ทุกอย่างก็จะเร็ว”
ได้ยินเช่นนี้หวังทงก็มักรู้สึกไม่ค่อยดีนัก ในยุคนี้ เทคโนโลยีตะวันออกกับตะวันตกเริ่มค่อยๆ ทิ้งห่างกันแล้วหรือ?
หวังทงยกมือไปลูบเกราะที่หน้าอก ส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“มีอันใดก็กล่าวมา ไม่จำเป็นต้องคิดหาอุบายเอาใจข้า หรือว่าคิดทำชุดเกราะนี้เอาใจข้า ข้าจะได้ไม่ถามเรื่องอื่นงั้นหรือ ลวดลายงานแกะพวกนี้ต้องใช้แรงงานและเงินทองเท่าไร มีเวลาก็ไปทำพวกทวนยาวหรือดาบจะดีกว่า กองกำลังหู่เวยเราไม่สนใจการแต่งกายหรูหรา ใช้การได้ดีก็พอ”
เห็นสีหน้าหวังทงไม่เข้มงวดนั้น เป็นเพียงแค่กล่าวเตือน เฉียวต้าจึงได้วางใจ
แม้ว่าโรงช่างจะเล่นอุบาย แต่พวกเขาก็ทำงาน ทว่าเป็นความคืบหน้าปกติทั่วไปเท่านั้น ดังนั้นหวังทงจึงได้เอ่ยหลักการ
วันนี้ได้เห็นเครื่องจักรพลังน้ำ ได้เห็นชุดเกราะ หวังทงก็อารมณ์ดี สั่งให้คนรับใช้ถอดชุดเกราะออก ยิ้มกล่าวว่า
“อากาศไม่เลว ไม่ต้องรีบกลับกอง ไปเดินดูตลาดกันหน่อย”