Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 51

ตอนที่ 51 คณะเสนาบดีใหญ่

“พี่ไท่เยวี่ย พี่เป็นพระอาจารย์ ไม่ควรให้ฝ่าบาททรงทำตามพระทัยเช่นนี้ ถึงกับไปทำอะไรกันนอกวัง ลานฝึกอะไรกัน!”

ใกล้ปีใหม่ การประชุมขุนนางฝ่ายในครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย จากนี้ไปนอกจากมีราชบัณฑิตประจำการวันละหนึ่งคน ก็ไม่มีประชุมงานราชการกันอีกแล้ว

ยามนี้ของทุกปี บรรดาขุนนางก็จะนั่งกันคุยเรื่องทั่วไป ผ่อนคลายสบายๆ ไม่เอ่ยถึงงานแผ่นดิน แต่วันที่ 27 เดือนสุดท้ายในปีที่สี่แห่งรัชสมัยว่านลี่นี้กลับต่างจากปกติ

บรรดาเจ้าหน้าที่ด้านนอกต่างก็พากันเงียบเสียงลง พวกที่ใคร่รู้ก็คิดจะเขยิบเข้าใกล้มาฟังว่าถกเถียงกันด้วยเรื่องอันใด ไม่คิดว่าบรรดาราชบัณฑิตจะให้คนเฝ้าด้านนอกเอาไว้ หากใครเข้าใกล้ให้ลงโทษอย่างเด็ดขาด

เมื่อวานนี้ได้รับฟังขั้นตอนดำเนินการแต่ละอย่างของหวังทงมาจากจางเฉิงขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ หากมหาขันทีเฝิงเป่าทางนั้นยังดี แต่เมื่อเรื่องนี้มาถึงคณะเสนาบดีใหญ่กลับเป็นเรื่องราวใหญ่โตทันที

คณะเสนาบดีใหญ่นี้ไม่เพียงแต่ประกอบด้วยราชบัณฑิต ยังมีเสนาบดีสองท่านที่รีบเร่งมาประชุม ผู้ที่ตำหนิรุนแรงเมื่อครู่ก็คือเสนาว่านซื่อเหอจากกรมพิธีการ

กรมพิธีการได้ชื่อว่าเป็นกรมงานอันดับหนึ่งในหกกรม คุณสมบัติของขุนนางใหญ่ที่รับตำแหน่งนี้ล้วนสูงอายุ เสนาบดีก็มักเป็นผู้มากความสามารถในหมู่บัณฑิต เป็นผู้รู้ในเรื่องจารีตตามคำสอนของลัทธิขงจื่อ

ว่านซื่อเหอก็คือปราชญ์ลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ขึ้นชื่อในเรื่องความหัวแข็ง ตอนนี้เขาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ยืนจ้องประธานที่นั่งอยู่อย่างเอาเรื่อง

คนผู้นั้นมีหนวดเคราหนาดก นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไท่เยวี่ยก็คือพระอาจารย์ในรัชกาลปัจจุบัน เป็นชื่อเรียกมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง อีกชื่อหนึ่งของหัวหน้าคณะเสนาบดีใหญ่ แผนดำเนินการของหวังทงง่ายมาก กล่าวว่าเพื่อให้ฝ่าบาทได้ทรงตั้งใจทุ่มเทกับการออกกำลังพระวรกาย ขอให้พยายามอารักษ์ขาในที่ลับให้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ขอให้รักษาเป็นความลับ

เพื่อที่จะหลบเลี่ยงสายตาคนนอก สถานที่ออกกำลังของฮ่องเต้สำหรับคนนอกจะเรียกว่า ลานฝึก ที่ตั้งชื่อค่อนข้างจะเชยว่า ลานฝึกหู่เวย เป็นชื่อที่ธรรมดาอย่างที่สุดในเมืองหลวงนี้

ความลับก็ส่วนความลับ ด้วยพระประสงค์ไทเฮา แผนของหวังทงได้ส่งไปยังบรรดาผู้ที่มีสถานะพอจะรู้เรื่องนี้ในเมืองหลวงจำนวนไม่เกิน 100 คน

แน่นอน คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนอยู่ใน 100 คนดังกล่าว

“ฮ่องเต้เจิ้งเต๋อสร้างหอเสือดาวไว้นอกวังหลวง ฮ่องเต้เจียจิ้งก็บำเพ็ญพรตปรุงยาอยู่ที่หมู่บ้านตะวันตก ฮ่องเต้พระชนมายุ 14 ชันษาองค์นี้กลับจะสร้างลานฝึกนอกเมือง เหลวไหลสิ้นดี ถูกพวกประจบสอพลอหลอกล่อไปทำเรื่องไร้สาระเหล่านั้นได้ทุกวัน ราชสำนักจะทำอย่างไร งานแผ่นดินจะทำอย่างไร!”

“ท่านซือ ฮ่องเต้ทรงพระปรีชาจะตกในภาวะการณ์เช่นนั้นได้อย่างไร หากจะว่าไป ฝ่าบาทก็เพียงเสด็จไปทรงออกกำลังพระวรกายตอนบ่ายเท่านั้น ตอนเช้าก็ยังต้องออกว่าราชการงานบ้านงานเมือง ยังต้องเรียนกับท่านจาง จะไปหลงอยู่กับทางที่ไม่ถูกต้องได้อย่างไร ท่านซือกังวลเกินไปแล้วกระมัง”

ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านขวาของจางจวีเจิ้งเห็นสถานการณ์อึดอัดรีบกล่าวอธิบายออกไป ว่านซื่อเหอชื่อรองว่าซือเจี๋ย เขามีประสบการณ์สูงและอายุมาก ผู้ที่มีอายุน้อยกว่าหน่อย สถานะด้อยกว่าหน่อยก็จะเรียกเขาว่า ท่านซือ

ชายวัยกลางคนที่กล่าวเตือนสวมชุดยาวสีแดงเข้ม ดูแล้วน่าจะเป็นหนึ่งในราชบัณฑิตคณะเสนาบดีใหญ่ เพิ่งพูดจบ เสนากรมพิธีการว่านซื่อเหอยังไม่ทันได้กล่าวอะไร เสนากรมปกครองหวังกั๋วกวงกลับพูดขึ้น เขาชี้ไปทางชายวัยกลางคนผู้นั้นเสียงดังว่า

“เซินเหยาเฉวียน เจ้าเป็นขุนนางในคณะเสนาบดี หรือไม่รู้ว่าควรตักเตือนฝ่าบาท หรือว่าตำแหน่งราชบัณฑิตของเจ้านั้นให้เจ้าแค่มาคัดลอกเอกสารในคณะเสนาบดีใหญ่งั้นหรือ?”

ราชบัณฑิตเซินสือหัง ชื่อเรียกอีกชื่อว่า เหยาเฉวียน เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง ผู้คนเรียกกันว่า “อาลักษณ์คณะเสนาบดีใหญ่” เปรียบว่าเขาไม่เคยมีความคิดของตนเอง ทุกเรื่องเห็นตามจางจวีเจิ้งหมด

ถูกหวังกั๋วกวงกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าเซินสือหังก็พลันแดงเข้มขึ้นทันที จางจวีเจิ้งที่เอาแต่เงียบจึงได้เอ่ยขึ้นว่า

“ทุกท่าน ไยกล่าวเช่นนี้ ฝ่าบาทเพียงแค่หาที่ออกกำลังพระวรกาย หากมองให้เป็นเรื่องเล็กก็พอให้สุขภาพแข็งแรง หากมองเป็นเรื่องใหญ่ ก็เพื่อฝึกกำลังยุทธ์…”

“เหลวไหล วันๆ ถูกรอบล้อมไปด้วยพวกใช้กำลัง เมื่อเติบใหญ่ก็จะกลายเป็นอะไรกันไป พี่ไท่เยวี่ย เรื่องส่วนพระองค์ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ ความพอพระทัยของฝ่าบาทตอนนี้ อีกไม่กี่ปีก็จะกระทบต่อนโยบายแผ่นดิน จำเป็นต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ พวกข้ายอมรวมกันถวายฎีกาตักเตือนฝ่าบาท”

จางจวีเจิ้งส่ายหน้า กล่าวเสียงเรียบว่า

“มีลูกหลานจากตระกูลสูงนอกวังฝึกฝนเป็นเพื่อน ดีกว่าทั้งวันอยู่แต่ในวังมีแต่พวกถูกตอนเป็นเพื่อน อดีตฮ่องเต้พระวรกายไม่แข็งแรง ด่วนเสด็จสวรรคต จึงอยากให้ฝ่าบาทพระวรกายแข็งแรงสักหน่อย นี่ก็เป็นความประสงค์ของไทเฮา”

“ลูกหลานจากตระกูลสูงก็เป็นพวกที่เป็นแต่วรยุทธ์ ข้าว่าอยู่กับพวกถูกตอนเหล่านั้นก็ไม่แตกต่าง!!”

พอได้ยินว่าเป็นพระประสงค์ไทเฮา เสนากรมพิธีการว่านซื่อเหอก็แค่นเสียงโต้ แต่ในคำพูดตอบโต้เหล่านั้นกลับไม่กล่าวว่าเป็นเรื่องถูกหรือผิด เรื่องไหนยืนกรานแข็งขันได้ เรื่องใดไม่ควรกล่าวถึงในใจเขาก็พอรู้อยู่ พระประสงค์ไทเฮาก็คือสำนักขันทีส่วนพระองค์ คณะเสนาบดีใหญ่และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงในวังรวมกัน จะไปดื้อดึงอีก ก็จะมีภัยร้ายมาสู่ตนได้

จางจวีเจิ้งดูเหมือนไม่อยากกล่าวอะไรมาก ราชบัณฑิตผู้หนึ่งลุกขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ทุกท่านไม่จำเป็นต้องถกเถียงกันเช่นนี้ ลูกหลานตระกูลสูง 100 คน เด็กในบ้านของทุกท่านที่มีอายุใกล้กันก็ส่งมาได้ เป็นพระสหายฮ่องเต้แต่ยังเด็ก มีผลดีต่ออนาคตวันหน้าอย่างมาก!”

“จางซื่อเหวย หากเจ้ายินยอมก็

สามารถให้ลูกหลานตระกูลเจ้า ลูกหลานตระกูลบัณฑิตไปทำเรื่องชั้นต่ำเช่นนี้ ยังมีหน้าไปพบหน้าผู้คนอีกหรือ”

เสนากรมปกครองหวังกั๋วกวงลุกขึ้นแค่นเสียงกล่าวก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับเสนากรมพิธีการและพรรคพวกที่เห็นพ้องกัน จางซื่อเหวยหัวเราะแก้เก้อ หันไปมองมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง

รอจนสองคนนั้นเดินออกจากห้องไป เซินสือหังที่เมื่อครู่โดนด่าไปก็หันไปทางจางจวีเจิ้งที่นั่งอยู่ กล่าวอย่างโมโหรุนแรงว่า

“ใต้เท้า นี่มัน…”

จางจวีเจิ้งหัวเราะโบกมือกล่าวเสียงเรียบว่า

“เมืองหลวงปิดบังเรื่องอะไรไม่ได้เลย ฝ่าบาทไปออกกำลังที่ลานฝึกนอกวัง ไม่ช้าจะต้องเป็นที่โจษจัน ว่านซื่อเหอและ หวังกั๋วกวงเป็นที่เคารพในหมู่ปราชญ์บัณฑิต ผู้นำคณะขุนนางใสซื่อมือสะอาด หากไม่แสดงท่าทีเช่นนี้ ก็คงกังวลว่าวันหน้าจะถูกผู้คนตำหนิ”

“หากไม่มีใต้เท้า ว่านซื่อเหอกับหวังกั๋วกวงคงได้กลับไปนั่งตบยุงที่บ้านกันแล้ว วันนี้…”

เซินสือหังที่ทนไม่ไหวกล่าวต่อ หากพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็เห็นสีหน้าของจางจวีเจิ้งเปลี่ยนไป จึงไม่กล้ากล่าวมากความ จางจวีเจิ้งถอนหายใจ ลุกขึ้นกล่าวว่า

“ลำดับฎีกาที่จะนำทูลเกล้าให้เรียบร้อย อย่าได้มัวเสียเวลา ในวังและนอกวังใกล้จะฉลองปีใหม่แล้ว”

จางซื่อเหวยที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะกล่าวว่า

“ข้าน้อยจำได้ว่ารัชสมัยเจียจิ้งก่อนหน้านี้ ทุกครั้งใกล้ปีใหม่ บรรดาใต้เท้าจะหนักใจกับคลังหลวงที่ว่างเปล่า จะไปกล่อมสำนักส่วนพระองค์อย่างไร แต่ตั้งแต่ใต้เท้าดูแลจัดการมา ท้องพระคลังก็เต็มคลัง กรมดูแลเมื่อวานส่งหนังสือรายงานมา ว่าพระคลังหลวงปีนี้มีถึงแปดแสนห้าหมื่นตำลึง ปีนี้สบายไม่น้อย!”

คำกล่าวนี้เป็นเรื่องจริง และก็เป็นคำกล่าวยกย่องว่าจางจวีเจิ้งจัดการได้ดี บรรดาขุนนางต่างพากันกล่าวคนละสองสามประโยค ใบหน้ามหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งก็เผยรอยยิ้มออกมา

ผ่านไปครู่หนึ่ง จางจวีเจิ้งที่กำลังพลิกอ่านรายงานก็พลันกล่าวขึ้นว่า

“มีขุนนางส่งเรื่องกล่าวหาหวังกั๋วกวงใช้คนส่วนตัว ทำลายการปกครอง ครั้งนี้ไม่ต้องเก็บเรื่องไว้ ส่งเรื่องให้สำนักขันทีส่วนพระองค์จัดการ”

ทุกคนตกตะลึง เซินสือหังใบหน้าฉายแววยินดี รีบยอบกายลงรับคำสั่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!