ตอนที่ 530 ขันทีฝ่ายในขยันขันแข็ง มอบรางวัลหนัก
กล่องเหล็กมีขนาดแค่ฝ่ามือ หนาราวสองข้อนิ้ว ด้านบนไม่มีลวดลายใด เปิดออกเห็นยาเป็นน้ำมันข้นสีดำ
หลินซูลู่หยิบช้อนเงินตักยาออกมาป้ายกินลงไป สีหน้าก็ดีขึ้น แต่พอปิดตลับยา ก็มักจะลูบไปมา คิดจะเปิดออกอยู่ตลอดเวลา
ซวงสี่ข้างๆ เห็นดังนี้ ก็เข้ามาใกล้ คุกเข่าลง ส่งเสียงสะอื้นไห้กล่าวว่า
“นายท่าน ยานี้กินมากทำลายสุขภาพ ท่านมักกินยานี้ที่ไม่รักษาโรคแท้จริง หากใช้ยานี้กล่อมร่างกายต่อไป ย่อมเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่!”
หลินซูลู่สีหน้าเลื่อนลอย เมื่อครู่ความเจ็บปวดจากการไอมลายหายไปสิ้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“เรื่องใหญ่อันใดกัน ยังจะมีเรื่องใหญ่อันใดกันอีก……จัดการคนทำยานี้เรียบร้อยหรือยัง?”
เห็นสีหน้าหลินสงบดังเดิม ซวงสี่ก็ไม่กล้ากล่าวอันใดมาก ได้แต่เช็ดน้ำตาป้อยๆ โขกศีรษะกล่าวว่า
“ยานี้ซื้อนอกเมือง พอได้มา ก็ฝังคนนั้นไว้ที่รกร้างนอกเมืองแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้เห็น”
หลินซูลู่พยักหน้า ได้ยินเสียงก็รู้ว่าดีกว่าเมื่อสักครู่ สั่งการต่อว่า
“เตรียมเกี้ยว ไปสำนักอาชาหลวง!”
“นายท่าน ท่านเพิ่งกินยาไป ป้ายยาไป พักสักครู่ค่อยไป……”
“เหลวไหล!! เหตุใดราวอิสตรีเช่นนี้ ช่วงนี้เป็นช่วงเลือกหาคนมาเพิ่มในแต่ละสำนัก ข้าไม่อยู่ จะทำงานได้อย่างไร อย่ากล่าววาจาไร้สาระ เตรียมเกี้ยว!!”
************
เดือนสามปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 9 ในวังรับขันทีเพิ่ม เพราะว่าหลังช่วงกลางสมัยฮ่องเตเจียจิ้งก็ไม่ได้รับขันทีชุดใหญ่มาเติมเต็มจำนวนที่ขาดไปนานแล้ว ขันทีในวังหลายคนเริ่มแก่ชราหมดแล้ว
ตั้งแต่ฮ่องเต้หลงชิ่งเริ่มมีรับมาเพิ่ม ทุกคนก็รับมาเพิ่มไม่มาก ในวังการงานล้วนมากมายทำกันไม่หวาดไม่ไหว สำนักส่วนพระองค์ สำนักฝ่ายในและสำนักต่างๆ หารือกันเสร็จ ก็ไปทูงไทเฮาฉือเซิ่งและไทเฮาเหรินเซิ่ง รวมทั้งฮ่องเต้ว่านลี่ ต้องการเปลี่ยนขันทีที่ป่วยและชราราว 1,500 คนไปเฝ้าสุสานฮ่องเต้แทน ตำแหน่งที่ขาดลงจะรับจากนอกวังมาเพิ่ม
ชนชั้นสูงในวังรู้เรื่องนี้ดี จึงได้อนุญาต พวกขุนนางในราชสำนักแม้ว่าไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ไม่อาจเสนอความเห็นคัดค้าน
นอกและในเมืองหลวง พวกนิรนามแต่ละแห่งล้วนกลายเป็นภัยร้าย ราษฎรและคหบดีที่ดีล้วนเป็นผู้รับเคราะห์ร้ายนี้ คนพวกนี้เข้าวังไปได้ ก็เป็นวิธีการที่ดี
ไปเฝ้าสุสานก็แค่ปัดกวาดทำความสะอาด ไม่มีงานอันใดให้ทำนัก และยังคงห้ามไปมาหาสู่กับคนภายนอก พูดกันตามตรงก็คือไปรอความตาย ตำแหน่งที่พวกเขาทิ้งไว้ก็รอให้พวกนิรนามใหม่เข้ามาเสริมให้เต็ม
พวกที่ถูกพ่อแม่ตอนหรือจัดการตอนตนเองนั้น มีบางคนเป็นเพราะยากจน แต่ก็มีบางคนคิดจะเข้าวังเพื่อกุมอำนาจเรืองวาสนาเงินทอง พวกนิรนามพวกนี้ในสายตาคนนอกแล้วไม่ใช่คนปกติ
นอกจากเด็กที่ตอนตัวเองตั้งแต่ 10 ขวบถึงจะมีโชควาสนารุ่งเรืองแล้ว พวกนิรนามส่วนใหญ่ที่เข้าวังมาได้ก็ได้แต่ทำงานหนัก แต่เทียบกับการใช้ชีวิตยากลำบากข้างนอกวังแล้ว อย่างน้อยก็มีอาหารให้กินและนอนอุ่นกาย และยังมีโอกาสแห่งโชคลาภวาสนาอยู่ตรงหน้าบ้าง
คนนอกวังคิดเดินบนเส้นทางแห่งความยิ่งใหญ่ก็ต้องสอบขุนนางให้เป็นบัณฑิตระดับจิ้นซื่อ ขันทีในวังคิดจะเป็นมหาขันทีก็ต้องได้เข้าเรียนในสำนักฝ่ายใน พวกขันทีที่เขียนอักษรได้ชำนาญ เป็นที่ต้องการของแต่ละสำนักขันที จึงจะมีโอกาสได้ครองอำนาจที่เรียกว่า ‘อำนาจขันที’ ได้มีโอกาสได้เป็นมหาขันที
พวกที่มาจากข้างนอกไม่มีความหมายอันใด ก็แค่เติมคนให้เต็มหน้าที่ ดังนั้น 12 สำนักขันที 4 หน่วยงาน 8 กรมกองในวังที่ร่วมกันหารือจำนวนคนที่จะจัดแบ่งไปแต่ละหน่วยงานแล้ว เรื่องที่เหลือก็ไม่อยากจะสนใจ ส่งให้คนอื่นไปจัดการ
แต่ว่าหลินซูลู่กลับยังคงมีท่าทีแข็งขัน ต้องไปเลือกเฟ้นด้วยตนเอง สำนักอาชาหลวงต้องการพวกที่ฝึกยุทธ์มาปฏิบัติงาน ต้องการพวกที่เฉลียวฉลาดไปทำงานเก็บเงินที่ดินส่วนพระองค์ หรือนี่เป็นเหตุที่ทำให้หลินซูลู่ปรากฎตัวในวันนี้
ในเมื่อเขามาเลือกด้วยตนเอง ขันทีจากหน่วยงานอื่นๆ ที่มาเลือกคนก็ย่อมยกให้เขาก่อน หลินซูลู่เป็นขันทีอาวุโสห้าอันดับแรกในวังหลวง
มิน่าพวกขันทีหน่วยงานอื่นจึงไม่ไปคัดเลือก งานพวกนี้ยุ่งยาก ลงทุนลงแรงไปก็ไม่ได้อะไร ขันทีแรงงานระดับล่างพวกนี้คัดเลือกเข้ามาแล้วมีประโยชน์อันใดกับพวกเขากัน จะเปลืองแรงไปทำไม
แต่หลินซูลู่กลับแสดงให้เห็นถึงชื่อเสียงที่ว่ามีความขยันทำงานนั้นไม่ได้มาโดยไร้เหตุผล ยุ่งอยู่ที่นั่นหลายวัน ไม่ได้ผ่อนคลายแม้แต่น้อย คัดเลือกขันทีเข้าวังจำนวนมาก
ความประพฤติข้อนี้เข้าพระกรรณไทเฮาทั้งสองพระองค์ ชมเชยไปหลายคำ นี่ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนคาดเดาได้
************
ช่างต่อเรือจากซานตงมาเทียนจิน บางคนก็เต็มใจ บางคนก็ถูกขู่ให้มา อู๋ต้าใช้ทุกวิถีทางกวาดหาตามโรงต่อเรือที่ริมทะเลซานตง
วาจากล่าวชักชวนได้ดีว่า มีบางคนรู้สึกว่าทำงานต่อเรือที่ซานตงก็พอหาเงินให้อยู่ดีมีสุขได้ อยู่กับลูกเมียไปดีกว่า แต่อู๋ต้าก็ไม่ใช่พวกจิตใจดีงามกินเจอันใด จึงจับตัวลูกเขามา เผาบ้านทิ้ง ถึงกับขุดสุสานบรรพชนก็ทำมาแล้ว
การบีบบังคับทำกันถึงขั้นนี้ บรรดาช่างทำงานหาเงินจะไปต่อต้านได้อย่างไร ไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่มาเทียนจินกัน
หลังจากช่างส่วนใหญ่มากันแล้ว ความรุ่งเรืองเทียนจินก็เป็นที่ดึงดูดใจ อยู่ใกล้ทะเลมานานหลายปี พวกช่างที่กล้าต่อเรือจึงล้วนมีความคิดกว่าพวกชาวไร่ชาวนาที่วันๆ เอาแต่ทำไร่ทำนากัน เมื่อก่อนเก็บตัวกันอยู่ซานตง ได้ยินเรื่องราวมาเท่านั้น วันนี้ได้มาเห็นด้วยตาตนเอง จึงได้รู้ว่าเรื่องเล่านั้นไม่เท่ากับเห็นด้วยตา
พวกเขาถูกนำตัวไปดูริมแม่น้ำ ริมทะเล พอได้เห็นแม่น้ำทะเลและคลองส่งน้ำที่มีร้านค้ามากมาย เห็นความรุ่งเรืองที่ไม่แพ้ที่ใดในใต้หล้า
เห็นกันแล้ว พวกมีสมองก็เข้าใจ เทียนจินกำลังต้องการการต่อเรือ ต้องการเรือทะเลจำนวนมาก เรือจะนำความร่ำรวยใหญ่มาสู่เทียนจิน แต่ก็ย่อมทำให้พวกต่อเรือร่ำรวยไปด้วยเช่นกัน
ขนาดใหญ่เช่นนี้ รุ่งเรืองเช่นนี้ มาต่อเรือที่นี่ มีอนาคตดีกว่าต่อเรืออยู่หมู่บ้านประมงริมทะเลที่ซานตงมากนัก
พวกช่างที่มีใจคิดถึงอนาคตยาวไกลก็ถูกนำไปโรงไม้ ได้เห็นไม้ใหญ่ที่มีแต่ที่หุบเขาลึกในอวิ๋นหนานกุ้ยโจวทางใต้หรือมาจากทะเลใต้เท่านั้น ได้เห็นไม้ใหญ่เช่นนี้ พวกเขาก็คิดถึงภาพเรือที่พวกเขาสร้างว่าจะออกมาหน้ำตาเป็นอย่างไร
มีทั้งหวั่นไหว มีทั้งเห็นอนาคต มีทั้งเห็นลู่ทาง แต่ก็มีคิดกลับบ้าน แต่ทหารที่เทียนจินแม้จะสุภาพกับพวกเขา แต่ก็คุ้มกันแน่นหนา ผู้ใดก็อย่าได้คิดหนี
นับประสาอันใดกับการที่พวกต่อเรือกับโจรสลัดและขุนนางในพื้นที่มีสายสัมพันธ์ที่พัวพันไม่กระจ่างมานาน ทุกคนรู้ว่าองครักษ์เสื้อแพรเช่นหวังทงมีกำลังสามารถอันใด พวกที่ไม่รู้ว่าหวังทงสามารถอันใดก็ย่อมได้ยินชื่อเสียงชั่วร้ายของอู๋ต้าและอู๋เอ้อร์สองพี่น้อง สองคนชั่วถูกหวังทงใช้งานอย่างไรก็ได้ จึงยิ่งล่วงเกินไม่ได้
ช่างต่อเรือมาถึงเทียนจินแล้ว ใช้ชีวิตสะดวกสบาย อาหารหรูหราเนื้อปลาพร้อมสรรพ ทุกวันมีทั้งเนื้อแพะและเนื้อหมูที่วันต่อวัน แผ่นแป้งขาวและข้าวขาวให้กินกันเต็มอิ่มทุกวัน
อาหารเช่นนี้ที่ซานตงใช่ว่าจะได้กินกันทุกวัน ที่นี่กลับรับปากว่าขอเพียงอยู่ทำงานที่เทียนจิน อาหารเช่นนี้มีกินทุกวัน และยังรับปากว่า ถึงตอนนั้นจะพาครอบครัวทุกคนมาด้วย พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตที่นี่ทั้งครอบครัวอย่างมีความสุขไปชั่วชีวิต
มองในทุกด้านแล้ว เทียนจินลงทุนกับช่างต่อเรืออย่างมาก จะให้ไม่หวั่นไหวได้อย่างไร
************
วันที่ 18 เดือนสาม ช่างเรือมีฝีมือก็มารวมตัวกันที่ท่าเรือที่อ่าวเจ้าเจียวาน ห่างออกไปทางเหนือสามลี้จากปากแม่น้ำทะเลออกสู่ทะเล ที่นี่เมื่อก่อนเป็นที่พักเรือเก็บเสบียงอาหารทางการทหาร ต่อมารกร้าง มีเพียงบ้านเรือนสิบกว่าหลังที่ทำประมงเลี้ยงชีพอยู่
รอพวกช่างมากันถึง ที่นี่ก็จัดการเก็บกวาดเรียบร้อยและสร้างบ้านพร้อมโกดังเสร็จแล้ว โรงต่อเรือที่สร้างเสร็จแล้ว ท่าเรือที่เสียหายใช้การไม่ได้ก็ซ่อมแซมขึ้นใหม่
ช่างทั้งหมด 163 คนก็มารออยู่ที่โรงต่อเรือ ห่างจากโรงต่อเรือออกไปราวหนึ่งร้อยก้าว ก็มีเสาสูงราวหนึ่งจ้าง[1]บนเสาเหมือนว่ายังมีของบางอย่างแขวนอยู่ ด้านบนมีผ้าอาบน้ำมันปิดทับไว้ และยังมีทหารเฝ้ารักษาการณ์อย่างแข็งขัน ทำเอาดูลึกลับ ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด บรรดาช่างล้วนแอบดูและพากันวิพากษ์วิจารณ์
เห็นว่าใกล้เที่ยงแล้ว ทางตะวันตกมีฝุ่นตลบมา บรรดาทหารมองไป ก็ตะโกนให้ช่างยืนกันดี เพราะใต้เท้าหวังมาถึงแล้ว
ช่างส่วนใหญ่ที่ถูกอู๋ต้านำตัวมาล้นไม่เคยเห็นหวังทง แต่ชัยชนะของกองกำลังหู่เวยแต่ละครั้ง เทียนจินรุ่งเรืองอย่างนั้นอย่างนี้ ทหารทุกคนตอนคุยกันก็ยังมีท่าทางเลื่อมใสและเคารพ ให้พวกเขารู้สึกราวกับเทพ พอได้ยินว่ามาถึง แม้ว่ามีเสียงตะโกนให้ระมัดระวังกิริยา แต่ก็อดไม่ได้ชะเง้อมองไป
“ยังหนุ่มเพียงนี้เลยหรือนี่!!”
รอจนหวังทงลงจากหลังม้า มีคนห้อมล้อมพาไปยังด้านหน้า บรรดาช่างทุกคนต่างตกใจ พวกที่เก็บอาการไม่อยู่ถึงกับร้องอุทานตกใจ หวังทงก็ไม่สนใจพวกที่ตกใจพวกนั้น ได้แต่ยิ้มเดินไปยังหน้าเสาต้นนั้น เรียกให้ทุกคนตามมา
พอมารวมตัวกันแล้ว หวังทงก็เอ่ยขึ้นว่า
“นายช่างทุกท่าน เห็นไม้ใหญ่ของโรงไม้เราแล้วใช่ไหม เห็นเรือปืนใหญ่กวางบินต่างชาติที่ท่าเรือนั้นแล้วใช่ไหม?”
มาถึงเทียนจินได้หลายวัน เห็นโรงช่าง เห็นโรงไม้ ย่อมไปเดินดูเรือปืนใหญ่ที่จอดอยู่ริมแม่น้ำทะเลมารอบหนึ่ง เห็นบรรดาช่างพยักหน้า หวังทงก็ยิ้มกล่าวว่า
“เชิญนายช่างทุกคนมาที่ เจตนาข้าทุกคนคงรู้แล้ว ก็คือให้ทุกท่านต่อเรือเช่นเรือกวางบินนี้ และต้องให้ใหญ่กว่าเรือกวางบินด้วย”
นี่เป็นเรื่องที่คาดเดาไว้แล้ว บรรดาช่างคิดได้ก่อนแล้ว จึงไม่ได้ตกใจอันใด ถูกเชิญมาที่นี่ก็คงเพื่อให้ทำงานกินเงินเดือน ไม่ต่างอันใดกับอยู่ซานตง หาเงินได้มากกว่าหน่อยก็เท่านั้น
หวังทงกล่าวจบ ก็หันไปดึงผ้าที่ปิดเสาอยู่ออก คนที่อยู่ ณ ที่นั้น นอกจากพวกทหารที่รู้ความนัยก่อนแล้วคนอื่นล้วนอดไม่ได้ที่จะร้องอุทาน ‘โอ้’ ออกมา
ไม้ต้นนี้มีไม้ปักอยู่ไม่น้อย มองหยาบๆ ก็เหมือนว่าเป็นต้นไม้แห้ง ปลายไม้ก็มีก้อนทองแผ่นราวขนมเปี๊ยะแขวนไว้ระยิบระยับ ทองแต่ละแผ่นล้วนมีขนาดเท่ากับฝ่ามือเด็ก หนาราวหนึ่งนิ้ว
แผ่นทองหลายร้อยแขวนอยู่ ประกายทองส่องแสงกระทบสายตา แต่ละคนลองคิดกันอย่างไม่ตั้งใจ ทองบนเสาไม้นี่มีค่าเท่าไรกัน นี่มันความร่ำรวยขนาดไหนกันนี่!
“นายช่างเมิ่งซื่อเต๋อสร้างโรงต่อเรือออกแรงมากสุด สร้างผลงานมากสุด ขึ้นมารับไปสองก้อน!”
หวังทงยิ้มกล่าวเสียงดัง
———————-
[1] ราว 10 ฟุต