ตอนที่ 56 โลหิตนองทั่วบ้าน
เสียงตะโกนเรียกดังหลายครั้งพร้อมกับเสียงตบประตูดังไปทั่ว แต่ข้างในกลับเงียบกริบ หวังทงขมวดคิ้วมองประตู ยิ่งรู้สึกว่าผิดแปลกไป หันไปบอกกับซุนต้าไห่และคนอื่นๆ ว่า
“เจ้าสองคนปีนเข้าไปเปิดประตู!”
คนเหล่านี้อยากจะมีโอกาสได้แสดงความสามารถต่อหน้าหวังทงอยู่แล้ว พอได้ยินคำสั่งก็ส่งสองคนที่คล่องแคล่วมาทันที ทั้งสองปีนข้ามกำแพงขึ้นไป
ไม่นาน สลักประตูก็เปิดออก ประตูใหญ่ถูกเปิดจากด้านใน หวังทงนำคนกรูเข้าไป ประตูเรือนปิดแน่นหนา หวังทงจึงเดินเข้าไปตบประตูที่ปิดสนิทอยู่ ชักมีดสั้นที่เหน็บไว้ที่เอวออกมา งัดหน้าต่างให้เป็นช่องเล็กๆ แล้วแนบหน้ามอง กายพลันสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง รีบหันไปตะโกนบอกหม่าซานเปียวว่า
“ซานเปียว กระแทกประตูออก!”
พอประตูเปิดออก บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่มุงอยู่ด้านนอกประตูก็พากันผงะถอยไปทั้งแผง บนคานมีหญิงผู้หนึ่งแขวนอยู่ ลิ้นแลบยาว สองตาที่ไร้วิญญาณจ้องมองมาที่ประตู ด้านล่างมีเก้าอี้ล้มอยู่ตัวหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าผูกคอตาย
เมื่อครู่ที่หวังทงเห็นผ่านทางช่องหน้าต่างนั้นก็คือขาที่ลอยอยู่ทั้งสองข้าง คนแขวนคอตายปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำให้ทุกคนย่อมรู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจไม่น้อย หวังทงได้สติอย่างรวดเร็ว ร้องเรียกอย่างตกใจว่า
“อาซ้อ พวกเจ้ารีบขึ้นไปนำลงมา คนอื่นตามข้าเข้าไปข้างใน!”
ผู้นี่คือภรรยาของเถ้าแก่ หวังทงเมื่อก่อนเคยพบหลายครั้ง คิดไม่ถึงว่าปีใหม่นี้กลับต้องอยู่กันคนละภพแล้ว ซุนต้าไห่และคนอื่นๆ พากันชักดาบออกมา ตามหวังทงบุกเข้าไป ร้านสินค้าแดนใต้เป็นร้านค้าใหญ่อันดับต้นๆ บนถนนทักษิณ บ้านที่เถ้าแก่เจ้าอยู่สร้างได้ดีมาก เรือนโถงกลางและเรือนด้านข้างก็มีครบพร้อมสรรพ
ทั้งกลุ่มกรูเข้าไป เพิ่งจะแยกกันค้นหา องครักษ์เสื้อแพรที่วิ่งอยู่ด้านหน้าสุดพลันร้องเสียงหลงดังลั่นขึ้น กระโดดหลบไปด้านข้างทันที เสียงของเขาทำให้กลุ่มคนที่เดิมทีก็ตึงเครียดกันอยู่แล้วยิ่งตกใจกันไปอีก ซุนต้าไห่รู้สึกเสียหน้า คิดจะตวาดใส่ก็ได้ยินเสียงองครักษ์ผู้นั้นตะโกนว่า “ตรงนี้มีเด็กนั่งอยู่คนหนึ่ง”
พอเสียงตะโกนจบ องครักษ์สองสามคนที่กำลังนำคนลงมาก็รีบตะโกนแข่งขึ้นว่า
“ใต้เท้า นางผู้นี้ร่างแข็งแล้ว ตายแล้วขอรับ!”
หวังทงแม้ว่าจะมีอุปนิสัยกล้าหาญ แต่เมื่อเผชิญกับศพที่ตายอย่างนี้ ใจก็พลันสั่นไหว พอได้ยินเสียงตะโกนทางนั้น ก็คิดถึงเจ้าจินเลี่ยงบุตรชายคนเดียวของเถ้าแก่เจ้า เป็นบุตรที่เถ้าแก่เจ้าได้มาตอนใกล้จะ 40 ปีนี้เพิ่งจะเจ็ดขวบ เป็นเด็กร่าเริงน่ารัก อย่าได้เกิดเรื่องไปด้วยเลย
เขาก้าวอย่างรวดเร็วไปถึงประตูเรือนด้านข้าง ก็อดตกใจไม่ได้ เจ้าจินเลี่ยงสวมชุดบุฝ้ายหนานั่งอยู่ในเรือนด้านข้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรัง
เด็กผู้ชายราวหยกสลักใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่มีสัญญาณของการมีชีวิต ถึงกับมองไม่ออกว่าเป็นหรือตาย ทำให้ใครที่ได้เห็นก็ล้วนพากันตกใจ
“เสี่ยวเลี่ยง!! เสี่ยวเลี่ยง!! เจ้าเป็นอะไรไป!!”
หวังทงตะโกนเรียกไปสองครั้ง เจ้าจินเลี่ยงที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ค่อยๆ หันหน้ามา พอเห็นใบหน้าเอาใจใส่ของหวังทงก็กล่าวราวไร้ชีวิตว่า
“ที่แท้ก็เป็นท่านอาหวัง…”
ใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก ท่าทางเคลื่อนไหวก็แข็งราวกับหุ่นไม้ ท่าทางเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเจ้าจินเลี่ยงยังมีชีวิตอยู่ แต่ท่าทางราวกับไร้ชีวิต ยิ่งน่าเป็นห่วง
“เสี่ยวเลี่ยง บ้านเจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น!!”
เจ้าจินเลี่ยงค่อยๆ ยกมือชี้ไปทางด้านหลังหวังทง กล่าวอย่างไร้ชีวิตว่า
“ท่านอาหวัง พ่อข้าอยู่ที่นั่น!”
ท่าทางของเด็กน้อยผู้นี้ทำให้หวังทงรู้สึกเย็นวาบขึ้นด้านหลัง ในยามนั้นเององครักษ์เสื้อแพรด้านหลังก็ร้องตะโกนออกมา หวังทงหันไปดู ประตูหน้าห้องนอนฝั่งตรงข้าม ก็มีคนผู้หนึ่งแขวนอยู่ที่นั่น นั่นก็คือเถ้าแก่เจ้า
หม่าซานเปียวก็รู้จักเถ้าแก่เจ้า ในช่วงเทศกาลเช่นนี้กลับต้องพบกับภาพน่าอนาถก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกันต่อไปดี ซุนต้าไห่นำคนสองสามเอาเถ้าแก่เจ้าลงมา
“ใต้เท้า คนผู้นี้ร่างแข็งแล้ว น่าจะแขวนมาครึ่งคืนแล้ว ช่วยไม่ได้แล้ว”
ซุนต้าไห่เข้าไปกระซิบข้างหวังทง มือหวังทงได้แต่สั่นอยู่อย่างนั้น พอได้ยินซุนต้าไห่ก็รีบสูดลมหายใจเข้าก่อนจะเอ่ยเสียงนิ่งเรียบว่า
“เฝ้าระวังประตูไว้ก่อน ไปตามมือปราบและเจ้าหน้าที่จากศาลซุ่นเทียนมาด้วย”
องครักษ์เสื้อแพรแม้ว่าสามารถรักษาความสงบและช่วยกวาดล้างจับกุม แต่หากไม่มีคำสั่ง ก็ไม่อาจตัดสินลงโทษคนทั่วไปได้ ยังคงต้องให้ขุนนางท้องถิ่นจัดการ
มีคนออกมาเดินเล่นบนท้องถนนผ่านมามองดูหน้าประตูบ้านบ้างแล้ว ซุนต้าไห่พยักหน้ารับคำกำลังจะไปจัดการ กลับมองไปยังเจ้าจินเลี่ยงที่ยังคงนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น กระซิบถามว่า
“ใต้เท้า เจ้าหนูนี่จะรอส่งให้คนของศาลซุ่นเทียนหรือ?”
หวังทงลังเลไปครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า เดินเข้าไปอุ้มเจ้าจินเลี่ยงขึ้นมา ถอนหายใจกล่าวว่า
“ข้าพาเด็กกลับไปก่อนละกัน สอบปากคำอะไรพวกนั้นค่อยให้มือปราบจากศาลไปพบข้าแล้วกัน!”
เด็กพวกนี้หากไม่มีญาติมารับไป ไปอยู่ที่ศาลสองสามวันก็เป็นไปได้มากว่าจะถูกขาย เป็นการทำลายเด็กไปเสียเปล่า มิสู้พากลับไปดูแลเองดีกว่า
องครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ด้านหน้ากำลังส่งเสียงดังขับไล่คนไม่เกี่ยวข้อง หวังทงอุ้มเจ้าจินเลี่ยงที่ตัวแข็งเย็นชืดออกมาข้างนอก ศพภรรยาเถ้าแก่เจ้ายังวางอยู่ตรงประตู เจ้าจินเลี่ยงหันหน้าไปมองกล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า
“โอ ที่แท้ท่านแม่ตายแล้ว”
จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก คำพูดที่ไร้ความเป็นคนเช่นนี้ทำให้ใจหวังทงกระตุกวูบ กอดแน่นขึ้นไปอีก เดินออกนอกประตูมา หวังทงหันไปกล่าวกับพวกซุนต้าไห่ว่า
“ทำให้พี่น้องเสียเวลาเฉลิมฉลองซะแล้ว รอให้เรื่องจบ ข้าจะขอเลี้ยงทุกคนสักมื้อ!!”
“ใต้เท้าไยกล่าวเช่นนั้น นี่ก็เป็นงานในส่วนที่ต้องดูแล ตามธรรมเนียม พี่น้องเราหลังเดือนหนึ่งไปยังต้องเลี้ยงใต้เท้าสักมื้ออยู่แล้ว!”
ทางนี้ทิ้งคนไว้จัดการ หวังทงกับหม่าซานเปียวก็เก็บสีหน้าเดินกลับบ้านไป คนบนถนนไม่น้อยแล้ว แต่พอเห็นเด็กใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดในอ้อมกอดของหวังทง ก็พากันรีบหลีกทางให้
“ให้น้าหม่าช่วยต้มน้ำร้อน เช็ดคราบเลือดบนตัวเด็กออกก่อน ที่ข้ายังมีเสื้อผ้าเก่าที่เคยใส่ตอนเด็กอยู่สองสามชุด เอามาให้เขาเปลี่ยน”
พอถึงประตูหวังทงก็ส่งเด็กให้หม่าซานเปียว ก่อนจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องก่อน ตอนนี้สถานะเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่างไรก็คงมีแขกมาเยี่ยมคารวะ เสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดนั้นไม่เหมาะสมนัก
ความสุขสันต์แห่งวันตรุษจีนมลายหายไปสิ้น หวังทงเปลี่ยนชุดใหม่ เริ่มรู้สึกหนักหน่วงขึ้นในใจ ที่จริงแล้วคือเรื่องใดกัน ทำให้เถ้าแก่สองสามีภรรยาที่ร่ำรวยต้องทอดทิ้งบุตรที่ยังเล็ก แขวนคอตายในคืนวันสิ้นปีเช่นนี้
บังเอิญมาก พอเปลี่ยนเสื้อเสร็จ โจวอี้ก็นำคนมาเยี่ยมคารวะสองคน ถนนทักษิณยังคงเป็นเหมือนปกติ แต่ด้านหลังของบ้านหวังทงด้านหนึ่งกำลังเร่งงานก่อสร้างกันอย่างยกใหญ่ สถานที่นั้นที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว มีคนดำเนินการรื้อถอนกันอย่างไม่หยุดแม้อยู่ในช่วงเทศกาล เพราะถึงอย่างไรก็เป็นถึงกิจของวังหลวง
ความคิดหวังทงในตอนแรกก็อยากรักษาถนนทักษิณที่เป็นดังไก่ออกไข่ทองคำนี้เอาไว้ จากนั้นก็ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้มาที่นี่ด้วยลานฝึกนี้ ถึงตอนนั้นก็เหมือนผ้าแพรทองปักบุปผา ยิ่งดีงามขึ้นไปอีก