Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 571

ตอนที่ 571 ไร้ผู้สืบสกุลนับเป็นเรื่องใหญ่

“วานรทะเล ไม่เจอกันนานวัน เจ้าอ้วนขึ้นไม่น้อยเลยนะ!?”

ได้ยินวาจาสัพยอกของหวังทง วานรทะเลโขกศีรษะนอบน้อม ตอบอย่างระมัดระวังว่า

“เพราะใต้เท้าดูแลเดี ข้าน้อยจึงได้มีวาสนาเช่นนี้ได้”

วานรทะเลตอนนี้เทียบกับตอนที่เพิ่งมาเทียนจินแล้ว เปลี่ยนไปมาก อ้วนขึ้นมาก ก็ไม่แปลก ทั้งวันถูกกักตัวไว้ที่นี่ อาหารสามมื้อตรงเวลา ไม่มีให้อด หลายวันผ่านไป คนก็ย่อมอ้วนท้วนขึ้น ค่อยๆ อ้วนขึ้น

ในห้องนอกจากถานเจียง ก็ไม่มีคนอื่นอีก หวังทงยิ้มถามว่า

“เสิ่นหวั่งมีภรรยา ลูก บิดามารดาไหม?”

วานรทะเลลังเลครู่หนึ่ง กล่าวว่า

“เสิ่นหวั่งตอนนั้นเคยบ้านแตกสาแหรกขาดจึงได้ล่องทะเลออกเสี่ยงโชค ที่บ้านน่าจะไม่มีใครแล้ว ตอนอายุ 23 เคยแต่งภรรยาคนหนึ่งที่ฮกเกี้ยน มีบุตรชาย 1 บุตรสาว 2”

หวังทงตั้งใจฟัง เห็นสีหน้าเขาแล้ว วานรทะเลก็ยิ่งระมัดระวัง นิ่งไปครู่หนึ่ง เล่าต่อว่า

“ตอนอายุ 23 เสิ่นหวั่งมีลูกน้อง 400 กว่าแล้ว เรือหลายสิบลำ สถานะเช่นนี้ในท้องทะเล ผู้ใดไม่มีภรรยานับสิบบ้าง เสิ่นหวั่งกลับไม่เป็นเช่นนี้ แต่ในสมัยหลงชิ่งปีที่ 5 เสิ่นหวั่งออกทะเลทำการค้า ศัตรูเขาส่งคนมากวาดล้างหมดตระกูล ในครั้งนั้นคนในครอบครัวตายหมดเกลี้ยง”

“สามารถมีสถานะเช่นวันนี้ก็ไม่ง่ายเลย!”

หวังทงรำพึงขึ้น วานรทะเลกล่าวตอบว่า

“เพราะผ่านเรื่องนี้มา เสิ่นหวั่งจึงใจแข็งมาก ผ่านสมรภูมิมาสองปี ทุกคนก็ยกให้เข้าเป็นหัวหน้าใหญ่!”

“กิจการมากมายในมือเขา อย่างไรก็ย่อมไม่อาจไร้ผู้สืบทอด แต่งอีกไหม?”

“เรียนนายท่าน เสิ่นหวั่งตอนนี้ยังตัวคนเดียว ที่พักที่ประเทศวัวนั้นก็มีกิจการอยู่ แต่ก็ไม่เห็นเขามีผู้หญิงใด หากไปหอคณิกาพวกนั้นบ้าง”

หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง ถามต่อว่า

“กฏทะเลพวกเจ้า คนและเรือของตนนั้นจะส่งมอบต่อแก่ผู้ใด? หรือว่าไม่ให้ลูกหลาน?”

สีหน้าวานรทะเลเริ่มงง คิดว่าเป็นเพราะถูกหวังทงถามจนสับสน แต่ก็ไม่กล้าชักช้า ยังคงกล่าวตอบว่า

“นายท่านล้อเล่นแล้ว กำไรที่หามาได้อย่างยากลำบาก ย่อมต้องสืบทอดให้ลูกหลานตนแน่นอน”

หวังทงเคาะโต๊ะน้ำชาข้างตัว เงียบไปพักก่อนจะโบกมือกล่าวว่า

“ออกไปได้ อยู่แต่ในห้องนั่นอย่างวางใจได้ ไม่ช้าย่อมเกิดผลดีแก่เจ้าเอง”

วานรทะเลโขกศีรษะ ก่อนจะถูกทหารของหวังทงนำตัวออกไป คนเพิ่งออกไป หวังทงอยู่ๆ ก็หันไปถามถานเจียงว่า

“หากมีคนใช้ต้าหู่กับเอ้อร์หู่มาบีบเจ้า ให้เจ้าทำอันใดข้า เจ้าจะทำหรือไม่?”

ถานเจียงตะลึงนิ่ง คำถามนี้มาอย่างกะทันหัน ไม่ไว้หน้ากันเกินไปหรือไม่ ถานเจียงไม่ใช่คนวาจาไร้ความน่าเชื่อถือ คำถามนี้ตอบไม่ง่าย จึงลังเลอยู่นานก็ไม่อาจกล่าวอันใดออกมาได้ หวังทงยิ้มโบกมือกล่าวว่า

“ไม่ต้องลำบากใจ เรื่องพวกนี้ไม่เกิดเป็นแน่ แต่มีเรื่องหนึ่งแน่แท้แล้ว………ตามท่านหยางเข้ามาเถอะ!”

ไม่นาน หยางซือเฉินก็เข้ามาในห้อง เห็นหวังทงสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หลายวันนี้ไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าหวังทงเช่นนี้ เพิ่งจะคำนับทักทาย หวังทงก็เอ่ยขึ้นว่า

“ท่านหยาง ร่างเอกสารหนึ่ง บอกว่ามีโจรหนีมาที่อำเภอเซียงเหอ เนื่องจากเหตุร้ายแรงเร่งด่วน ดังนั้นสำนักองครักษ์เสื้อแพรจึงล่วงหน้ามาจับกุม เขียนเสร็จแล้ว ก็เอาไปยังศาลชิงจวินประทับตรา ให้เขาแจ้งรับทราบมาอย่างเป็นทางการด้วย”

เทียนจินขึ้นกับศาลเมืองเหอเจียน อำเภอเซียงเหอขึ้นกับศาลซุ่นเทียน สำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่ถูกจำกัดด้วยเรื่องนี้ สองเมืองนี้ ยังสามารถส่งเอกสารไปบอกกล่าวได้สะดวก

เอกสารเช่นนี้ หยางซือเฉินทำจนชำนาญ แค่ลงมือก็เสร็จ เขียนเสร็จส่งให้หวังทงอ่าน รีบนำไปที่ศษลชิงจวินทันที

หยางซือเฉินออกไปไม่นาน ซุนต้าไห่ก็ถูกตามตัวมา หวังทงกล่าวว่า

“ตอนนี้ไปจัดหาจวนพักหลังหนึ่ง ให้เป็นเรือนสองชั้น เครื่องเรือนให้ครบครัน สาวใช้เคนงานคนครัวก็จัดหามาให้พร้อม ให้เวลาเจ้าสามวัน ไม่ต้องสนใจว่าต้องใช้เงินเท่าไร ในเมืองนอกเมืองก็ได้หมด ต้องไม่ไกลจากกองกำลังและเจ้าหน้าที่ของเรานัก”

เห็นสีหน้ายิ้มแย้มของหวังทง บอกว่าให้จัดหาจวนพัก ซุนต้าไห่ก็อดคิดนอกลู่นอกทางไม่ได้ กระแอมไอสองที เขยิบเข้าไปใกล้กล่าวว่า

“ใต้เท้า หากต้องการจวนลับ ใกล้เพียงนี้ คนมากรู้เห็นมาก หากผู้ใดปากมาก เกรงว่าจะไม่สะดวก”

ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ หวังทงก็อึ้งไป ก่อนจะได้สติทัน ยกมือชี้ไปที่ซุนต้าไห่ หน้ำตากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกล่าวว่า

“เจ้าอย่าได้คิดว่าข้าจะเลี้ยงดูผู้หญิงไว้ข้างนอก อย่าได้คิดเหลวไหล เจ้าและข้าเป็นครอบครัวเดียวกัน หากจะมี จะไม่บอกพวกเจ้าได้อย่างไร”

ซุนต้าไห่จึงได้รู้ว่าเข้าใจผิดแล้ว ได้แต่ยิ้มเก้ออยู่ตรงนั้น รีบคำนับรับคำสั่ง หวังทงลุกขึ้นเดินออกไป กล่าวว่า

“เจ้ารีบไปจัดการ ก่อนสิ้นปี เจ้าต้องยุ่งมากเป็นพิเศษและก็ต้องลำบากมากด้วย สิ้นปีค่อยพักผ่อนมากๆ ก็แล้วกัน”

ซุนต้าไห่ตามหลังหวังทง ได้ยินวาจาก็ยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้ากล่าวไรเช่นนี้ หากไม่ใช่ใต้เท้าข้าน้อยไหนเลยจะมีวันนี้ ทำงานยุ่งเช่นนี้ก็สมควรแล้ว ข้าน้อยขอกล่าววาจาล่วงเกินสักหน่อย ใต้เท้าอายุ 18 แล้ว ราษฎรทั่วไป อายุเช่นนี้มีลูกลงเดินได้แล้ว ใต้เท้า ทางซ้อหม่านั้นกับพวกเรากลุ่มคนสนิทกันก็ล้วนร้อนใจแทนใต้เท้าแล้วนะ!”

หวังทงได้ยิน ก็หยุดเดิน มองไปด้านหน้าส่ายหน้ากล่าวว่า

“รีบไปทำไมกัน สถานการณ์เช่นตอนนี้ หาหญิงสาวมา จะหาหญิงสาวเช่นไร ไม่ใช่มาเป็นภาระข้าก็เป็นภาระนาง ไว้ค่อยว่ากันก็แล้วกัน!”

ซุนต้าไห่นิ่งไป ก่อนจะลังเลครู่หนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้อง ด้วยสถานะเช่นใต้เท้าย่อมได้รับพระราชทานสมรสกับหญิงสาวตระกูลสูงจากฝ่าบาท ตอนนี้อยู่เทียนจิน ก็ไม่ได้มีตระกูลใหญ่ใด”

หวังทงส่ายหน้า ไม่ตอบคำ

************

นายอำเภอเซียงเหอ อู๋หลี่เหวิน รับเอกสารจากเทียนจินไว้แล้ว ก็เริ่มรู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาเป็นแค่นายอำเภอเล็กๆ แม้ว่าขึ้นกับศาลซุ่นเทียน แต่อย่างไรก็ไม่อาจล่วงเกินนายกองพันหวังทงแห่งสำนักองครักษ์เสื้อแพร

นายกองพันเป็นขุนนางระดับ 5 สูงกว่านายอำเภอระดับ 7 แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าอำเภอเซียงเหออยู่ใต้อำนาจศาลซุ่นเทียน ผู้ช่วยเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน หลี่ว์วั่นไฉ เป็นหัวหน้าของนายอำเภอเซียงเหอ เพราะอย่างนี้อำเภอเซียงเหอเองนั้นก็ไม่อาจจะล่วงเกินขุนนางจากเทียนจินได้

อำเภอเซียงเหอโดยรอบล้วนเป็นโรงบ้านของคหบดีชนชั้นสูงจากเมืองหลวง คนในพื้นที่หากไม่รับจ้างทำนาก็จะเพาะปลูกเอง หรือไม่ก็ทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ

ที่แท้หลายปีนั้น เสบียงอาหารและสิ่งที่เพาะปลูกได้จากล้วนส่วไปขายที่ทงโจว ราษฎรอำเภอเซียงเหอที่เป็นชาวนาว่างจากหน้านาก็จะหางานทำที่เมืองทงโจว เทียนจินรุ่งเรืองขึ้นมา ก็ต้องการสินค้าทางการเกษตรมากขึ้น ต้องการแรงงานคนจำนวนมาก อำเภอเซียงเหอห่างจากเทียนจินไม่ไกล เสบียงอาหารพวกนี้และแรงงานพวกนี้ ก็ย่อมไหลทะลักสู่เทียนจิน

สินค้าเกษตรที่ได้จากโรงบ้านมีตลาดรองรับ แรงงานได้เงินค่าแรง ภาษีในอำเภอเซียงเหอก็ย่อมเก็บได้มาก ตอนนี้การสอบคุณสมบัติขุนนางเพื่อตรวจสอบความดีความชอบนั้นล้วนวัดกันที่เก็บภาษีได้เท่าไร เพราะอำเภอเซียงเหอมีเทียนจิน นายอำเภอเซียงเหออู๋หลี่เหวินพอถูกกรมปกครองตรวจสอบความชอบจึงได้ ‘ขึ้น’ มาสองปีติด อีกปีเดียว ไม่ได้เป็นผู้ว่าที่ใดสักแห่ง ก็ต้องได้กลับไปที่ศาลซุ่นเทียนดำรงตำแหน่งขุนนางระดับ 6 แล้ว

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะอำเภอเซียงเหอเป็นเส้นทางระหว่างเทียนจินไปเมืองหลวง ได้รับเงินทองจากการขนสินค้าไม่น้อย เงินพวกนี้ย่อมเข้ากระเป๋านายอำเภอ

กล่าวได้ว่าวาสนาเงินทองที่นายอำเภอเซียงเหออู๋หลี่เหวินได้มานั้นเป็นเพราะเทียนจิน เขาเองย่อมรู้ดี หากไม่ทำตามที่หวังทงต้องการ ทางนั้นไม่พอใจขึ้นมา ไม่ต้องใช้เส้นสายวงการขุนนางมาเอาเรื่อง แค่เทียนจินทำอันใด ตนเองก็ย่อมเดือดร้อนเป็นแน่

แต่อู๋หลี่เหวินเองก็ไม่เข้าใจ แม้ว่าเขาไม่ใช่ขุนนางมือสะอาดอันใด แต่อำเภอเซียงเหอทุกเรื่องราวเขาล้วนกระจ่างแจ้ง อำเภอเซียงเหอแม้ว่าไม่ได้เป็นพื้นที่สงบสุขอันใดในใต้หล้า แต่ก็ไม่มีพื้นที่วุ่นวายไร้ความสงบ การรักษาความปลอดภัยยังคงเป็นไปได้ดี แต่ที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่ที่ไกลหูไกลตาอันใด พวกนักโทษมีความผิดคงไม่โง่ที่จะมาหลบกันที่อำเภอเซียงเหอนี่ นายกองพันหวังมาอำเภอเซียงเหอเพื่อการใดกัน

หลังจากคิดไปคิดมาแล้วก็ยังไม่ได้คำตอบ ก็ส่งคนสนิทไปสืบข่าวในอำเภอ ปรากฏว่าไม่พบเหตุอันใด อำเภอเซียงเหอปกติดีทุกอย่าง

*************

“นายอำเภออู๋ พรุ่งนี้ตอนเช้าสำนักองครักษ์เสื้อแพรจะลงมือปฏิบัติการ ที่จะลงมือปฏิบัติการก็คือถนนเสาศิลา[1]รอบด้านสามเส้นทางขอให้ท่านช่วยปิดทางเข้าออกด้วย แต่ขอให้รวมพลออกคำสั่งพรุ่งนี้ คืนนี้อย่าได้เคลื่อนไหวอันใด!”

อู๋หลี่เหวินคิดไม่ถึงว่าตอนเช้ามีเอกสารทางการมา ตอนบ่ายก็มาพบถึงที่ ดูการแต่งกายแล้วยังคิดว่าเป็นพ่อค้า คนในบ้านหนีไปจึงต้องมาตาม อีกฝ่ายแสดงป้ายสถานะองครักษ์เสื้อแพร หวังทงถึงกับปลอมตัวมา พาคนติดตามมาเพียงสามคน

ตกใจที่เห็นว่าหวังทงยังอายุน้อย อู๋หลี่เหวินยิ้มแย้มกล่าวอย่างนอบน้อมว่า

“ข้าน้อยจะปฏิบัติตามคำสั่ง แต่ใต้เท้าหวังนำคนมาสามคนเท่านั้น จะจับโจรได้อย่างไรกัน!?”

หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“ตอนยามสอง[2]ขอให้นายอำเภออู๋เปิดแง้มช่องทางประตูตะวันออกเล็กน้อย ถึงตอนนั้นย่อมมีทหารม้าเข้าเมืองมา แต่นายอำเภออู๋จากนี้ไปห้ามคนในจวนท่านออกไปข้างนอก รอให้คืนนี้ค่อยเริ่มลงมือ พวกโจรเล่ห์เหลี่ยมมาก ทุกอย่างต้องเป็นความลับ จะได้ไม่ให้พวกมันรู้ตัว มีเรื่องใดไม่สะดวก ขอโปรดอภัย”

ใบหน้าอู๋หลี่เหวินยิ้มค้าง แต่ก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด ได้แต่พยักหน้ายิ้มรับคำ ส่งเสียงเรียกคนด้านนอก

ในห้องนอกจากหวังทงกับคนติดตามสามคนแล้ว ก็มีเพียงนายอำเภออู๋และคนสนิท สองฝ่ายนั่งสนทนากัน คนสนิทนายอำเภอไปสืบในอำเภอมาแล้วไม่พบอันใด นายอำเภออู๋รู้สึกไม่เข้าใจก้มหน้าถามเบาๆ ว่า

“ถนนเสาศิลาไม่ใช่ว่าเป็นตระกูลใหญ่ไม่กี่ตระกูลในอำเภอเซียงเหอหรือ?”

เสียงไม่ดังนัก แต่ก็ไม่ได้เบาจนพวกหวังทงไม่ได้ยินทั่ว ผู้ติดตามก้มหน้ากล่าวว่า

“ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้อง ถนนเสาศิลามีเพียงสองตระกูลใหญ่ หนึ่งก็คือนายกองขนส่งเกลือฉางหลูที่อำลาตำแหน่งเกษียณกลับภูมิลำเนาเดิม ยังมีอีกหนึ่งก็พวกทำการค้า นายใหญ่มักไปทำการค้าที่อื่นกัน……”

วาจานี้หวังทงย่อมได้ยินเช่นกัน หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“ไม่ทราบว่าท่านได้ข่าวมาหรือไม่ว่า นายหญิงปีก่อนคลอดบุตร เด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำ”

———————-

[1] ถนนในเมืองที่สร้างเสาศิลาตกแต่งไว้

[2] สามถึงห้าทุ่ม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!