ตอนที่ 581 กลางดึกสามีภรรยาสนทนา ความสลดรันทดท่ามกลางงานรื่นเริง
เสิ่นหวั่งเองก็วางสายไว้ทั่วเทียนจิน และเขาเองก็รู้ว่าสำนักองครักษ์เสื้อแพรเองก็วางสายไว้มากเช่นกัน จับตาดูจวนนั้นแน่นหา ไม่กล้าส่งคนเข้าใกล้นัก
ข่าวที่รายงานนับว่าดี คนนอกจวนเข้าออกมีคนติดตาม หากเพียงแค่นี้เท่านั้น ไปมายังคงมีอิสระ คนในจวนออกไปนอกเมืองไหว้วัดกวนอิมก็จะไปพร้อมกับสาวใช้คนงาน บางทีไปเที่ยวชมตลาดในเมืองนอกเมือง บางทีก็ไม่ร้านค้าที่ไปประจำเพื่อเลือกซื้อของ
การเคลื่อนไหวเหล่านี้ล้วนมีคนคอยตามดู แต่ซื้ออันใด ทำอันใด ย่อมไม่ตรวจสอบ ก็ย่อมไม่รู้สึกเหมือนถูกกักขังในจวนสักเท่าไร
หากเสิ่นหวั่งเข้าใจดี สถานการณ์เช่นนี้ดูแล้วไม่กระไรนัก แต่ตนเองทำการสิ่งใด เกรงว่าอีกฝ่ายคงรู้ในทันที ถึงตอนนั้นก็คงเปลี่ยนจากกักขังในจวนแท้จริง เกรงว่าภรรยาและบุตรชายตนจะลำบากไปด้วย
ใช่ว่าเสิ่นหวั่งไม่คิดจะทิ้งขว้างทิ้งไม่ไยดี หากเขาอายุมากแล้ว อันตรายบนท้องทะเลก็มาก ไม่มั่นใจว่าจะมีบุตรชายอีก
กำลังกองทัพเรือเทียนจินเขาเองก็เห็นอยู่ เรือปืนใหญ่ตะวันตก ทัพเรือกวางตุ้ง รวมกำลังกันก็ไม่ใช่เล็กน้อย หากว่ารวมกันป้องกันชายทะเล เช่นนั้นก็แพ้อย่างไม่ต้องคิดสู้แล้ว
แม้ว่าการรบบนท้องทะเล ตนจะสามารถตีพ่ายทัพเรือเทียนจินได้ แต่ก็ย่อมสูญเสียกำลังตนไปมาก ถึงตอนนั้น บรรดาสมุนโจรสลัดที่ฮึดฮัดไม่พอใจอยู่ก็ย่อมเข้ากลืนกำลังของเขาไปสิ้น
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องราชาไตรธาราเสิ่นหวั่งนำเงินมาลงทุนการค้าที่เทียนจินจนร่ำรวย คนลำบากย่อมกล้าเสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิต หากคนร่ำรวยแล้วกลัวก็แต่ไม่มีชีวิตใช้เงิน ไหนเลยจะมีความกล้าใช้ขวานจามเรือตนเองได้
หวังทงอายุไม่มาก หากไม่เคยทำเรื่องผิดคำพูดที่ให้ไว้ เสิ่นหวั่งไตร่ตรองดูแล้ว อีกฝ่ายรับปากตนแล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นต่อสู้กันด้วยอาวุธมาก่อน ไม่ถึงขั้นไม่อาจมองหน้ากัน
คิดไปคิดมา อย่างไรก็ไม่อาจทอดทิ้งภรรยาและบุตรชาย สุดท้ายก็ขึ้นฝั่งที่ซานตง นั่งรถม้ามาเทียนจิน
ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ พอขึ้นฝั่งมาก็เตรียมการพร้อมสรรพ ขอเพียงทางเทียนจินคิดการอันใดไม่เป็นผลดีกับเขา เสิ่นหวั่งก็จะเข้าไปแอบซ่อนในบ้านเรือนชาวบ้านละแวกนั้นวันหนึ่ง ก็มีโอกาสหนีออกนอกเมืองได้ ม้าเร็วไปยังซานตงขึ้นเรือหนีทัน
แต่ลองคิดถึงผลที่เลวร้ายทีสุด อย่างไรเทียนจินก็ป้องกันรัดกุมเพียงนี้ หากหวังทงมีใจคิดทำเช่นนี้ ผู้ใดก็ไม่อาจหลบพ้น
เสิ่นหวั่งนำคนติดตามมาสองคน ขี่ม้ามาถึง ‘จวนตนเอง’ เขามีนิสัยที่เคยชินมาจากท้องทะเลทำให้มองออกว่ารอบกายมีคนจับตาดูเขาอยู่กี่คน เสิ่นหวั่งยังคงระวังไม่เปลี่ยน มีแต่ระวังเพิ่มขึ้น หากอีกฝ่ายก็มองออกว่าเขากำลังหรี่ตามอง จากนั้นก็ไม่สนใจอันใด
หากเดินก้าวเท้าอย่างไม่สนใจสิ่งใดเข้าไปในจวน ไม่ต่างอันใดกับตอนกลับไปยังอำเภอเซียงเหอ พอเข้าไปก็ย่อมมีคนรับใช้ที่คุ้นเคยออกมารอรับเข้าไป
คนในจวนเสิ่นหวั่งไม่รู้สถานะของเสิ่นหวั่ง เรื่องการย้ายมาเทียนจินก็ยังคงรู้สึกงงอยู่ ก็ไม่รู้ว่านายตนกำลังถูกจับตาดูแน่นหนา ยังคิดว่านายตนย้ายมายังสถานที่ที่ไม่เลวนัก
หากเป็นภรรยาเสิ่นหวั่งที่มีชาติกำเนิดจากท้องทะเล ได้เห็นได้ยินเรื่องมาไม่น้อย ย่อมรู้ความเป็นจริง อย่างไรนางก็เป็นสตรี ยังมีลูกแบเบาะ ในพื้นที่ที่วางกำลังรัดกุมราวกับแหทอดทั่วฟ้าเช่นนี้ อย่างไรก็หนีไม่พ้น
เสิ่นหวั่งจากไป เดิมคิดว่าไม่อาจได้พบกันอีก คืนวันสิ้นปี ข้างนอกคึกคักฉลองปีใหม่กัน ในจวนมีเพียงนางและบุตรชายสองคน ยังโอบกอดบุตรชายร้องไห้อยู่หลายครา
คิดไม่ถึงว่า วันที่ 7 เดือนหนึ่ง เสิ่นหวั่งมาเยือนได้ เป็นความยินดีอย่างยิ่ง สามีภรรยายินดีปรีดายิ่งนัก แม้แต่ทารกน้อยก็พลอยหัวเราะเอิ้กอ้ากไม่หยุด
เสิ่นหวั่งไม่ขาดแคลนเงินทอง เทียนจินอุดมสมบูรณ์ แม่ลูกกินอยู่ไม่มีขาดตกบกพร่อง เห็นครอบครัวตนมีความเป็นอยู่ดี เสิ่นหวั่งก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
การจากกันระยะสั้นมีรู้ค่ายิ่งกว่าการแต่งงานกันใหม่ๆ ความยินดีนี้ย่อมมิจำเป็นต้องกล่าวออกมา คืนนี้ในห้องอบอุ่น ทารกหลับอยู่ในเปลด้านนอก สามีภรรยาสองคนคุยกันอยู่ในห้อง
“เจินจู เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เป็นนักโทษผู้อื่นแล้ว ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก แต่ก็ไม่ได้คุมตัวแน่นหานัก ขอเพียงไม่หนีก็ไม่ได้ควบคุมมากมายอันใด……นายท่าน หรือว่าท่านลองหาวิธี พวกเราแอบหนีออกไป ท่านจะได้ไม่ต้องถูกบีบบังคับ”
หญิงที่อย่างไรก็มีชาติกำเนิดจากโจรสลัด ก็ย่อมมีความกล้าหาญ ยามนี้ถึงกับคิดหนี เสิ่นหวั่งมองหัวเตียง แค่นยิ้มกล่าวว่า
“เจ้าเห็นว่าไม่รัดกุม ด้านในด้านนอกอย่างน้อยก็มีสามด่าน หลายสิบคนจับตาดูอยู่ เจ้าย้ายมาเทียนจิน สาวใช้คนงานในบ้าน เจ้าคิดว่าพวกเขาจัดคนมาหรือไม่ สำนักองครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติหน้าที่ใด เจ้าไม่ลองคิดดู……”
ผู้หญิงของเสิ่นหวั่งได้ยินก็เงียบไป ผ่านไปสักครู่ เสิ่นหวั่งกลับถอนหายใจ สตรีนามเจินจูกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“นายท่าน ไม่ต้องกังวล หากสำนักองครักษ์เสื้อแพรบังคับท่าน ข้าจะโยนบุตรทิ้ง จัดการปลิดชีวิตตนเอง จะไม่ให้ท่านต้องลำบากอย่างเด็ดขาด”
“เหลวไหล หากไม่สนใจเจ้าสองแม่ลูก ข้าก็ไม่มาแล้ว ข้าถอนหายใจด้วยเรื่องอื่น ฉลามดำทางนั้นไม่พอใจที่ได้ส่วนแบ่งน้อย มาก่อกวนหลายครั้ง ข้าก็เพิ่มให้พวกเขาไปสองครั้งแล้ว ไม่อาจเพิ่มได้แล้ว แต่สายยังรายงานมาว่าฉลามดำยังคงนำลูกน้องออกฉีกธงทิ้ง”
“ข้าจำได้ว่าฉลามดำมีเรือแค่ไม่ถึง 200 จัดการเขาทิ้งก็จบไม่ใช่หรือ”
“หากสะดวกเช่นนั้น ข้าคงลงมือตั้งแต่อยู่ผิงฮู่ไปแล้ว จัดการเขาทิ้ง หัวหน้าคงอื่นเกรงว่าคงไม่พอใจ ให้เขาออกไปฉีกธงตามใจละกัน ให้พลาดท่าเอาเอง ข้าเองก็คงต้องมีเรื่องต้องคุยกับหวังทง ก็ได้แต่ลำบากเจ้าสองแม่ลูกแล้ว……ช่างเหลวไหลบัดซบสิ้นดี ทุกคนร่ำรวยมีเงินใช้กันมีอันใดไม่ดี ยังจะออกมาหาเรื่องลงมือใช้อาวุธบนท้องทะเลให้ได้ หรือว่าสนุกกัน”
ได้ยินเช่นนี้ เจินจูก็หยอกเย้าขึ้นเบาๆ ว่า
“พวกเขาคิดจะแบ่งก้อนโต เงินที่นายท่านเก็บมาได้กับกำไรที่ได้จากเทียนจิน มีเท่าไรแบ่งให้พวกเขากัน พวกเขาเห็นแล้วน้ำลายหก ย่อมต้องก่อกวน!”
ภรรยาเสิ่นหวั่งหยอกจนเขาหัวเราะออกมา เอี้ยวตัวไปกระซิบว่า
“ข้ารอนแรมลำบากอยู่ข้างนอก ก็เพื่อเจ้าสองคนแม่ลูก……”
สามีภรรยาหยอกเย้ากันไปมา เจินจูภรรยาเสิ่นหวั่งอยู่ๆ ก็กล่าวว่า
“นายท่าน รอบด้านเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่จับฉลามดำมอบให้หวังทงเพื่อเป็นการแสดงน้ำใจ ไม่รู้สึกเบิ่งตาให้ดีไปหาเรื่องทางการเข้า พวกเราบนท้องทะเลจะกล่าวอันใดได้ เมื่อก่อนนายท่านก็บอกว่า คนบนท้องทะเลล้วนเห็นหวังทงเป็นดังพยัคฆ์ เกรงกลัวยิ่งไม่ใช่หรือ?”
“เหลวไหล ราชาไตรธาราขายลูกน้องตนให้ทางการ หากเรื่องเปิดเผยออกไป ผู้ใดจะยอมรับข้าอีก”
กล่าวได้ครึ่งหนึ่งก็เงียบไป เจินจูบนเตียงยันกายขึ้น กล่าวว่า
“คนกู้เหล่าหู่ 3,000 หนีไม่รอดสักคน หวังทงบางทีก็โหดเหี้ยม ขอเพียงไม่มีคนกลับไปรายงาน ผู้ใดจะกล่าวอันใดได้กระจ่างกัน จะว่าไป นายท่าน ท่านมีสถานะระดับบนท้องทะเล สามารถขึ้นฝั่งได้ พวกทางการนั้น ท่านยังต้องปฏิบัติต่อด้วยความนอบน้อม ท่านลำบากมานานปี แต่ท่านคิดถึงพวกเราแม่ลูกบ้างไหม?”
เสิ่นหวั่งเงียบไป ผู้หญิงของเขาราวกับปืนใหญ่ยิงออกมากล่าวไม่หยุดว่า
“หวังทงตอนนี้มีอำนาจมากเช่นนี้ที่เทียนจิน วันหน้าย่อมแข็งแกร่งมากกว่าตอนนี้ นายท่านเองก็เคยบอกว่าเขาต้องการเรือต้องการลูกเรือ แต่ตอนนี้ขาดลูกเรือมากที่สุด ความสามารถระดับนายท่านหากยอมสวามิภักดิ์ ย่อมมีประโยชน์ใหญ่ ถึงตอนนั้นค่อนมอบสถานะให้บุตรชายเรา”
อาจเพราะเสียงดังเกินไป ทำให้ทารกน้อยตกใจ จึงตกใจตื่นร้องให้จ้า เจินจูไม่สนใจจะกล่าวอันใดต่อ รีบลุกไปดูแลทารกน้อย
*************
วันที่ 10 เดือนหนึ่งยังฉลองปีใหม่ไม่เสร็จ แต่ร้านค้าใหญ่ในและนอกเมืองเทียนจินก็เริ่มจ้างคนติดตั้งโคมไฟแล้ว ทุกคนทำการค้าได้เงินมาก ก็มักจะแสดงความอู้ฟู่ตน วันที่ 14 – 16 เดือนหนึ่งเป็นวันเทศกาลโคมไฟ เป็นโอกาสอันดี
งานศิลปะไม้ในเขตการค้ามีไม่น้อย ม่าแต่ละฝ่ายจะเหลือที่ไว้บ้าง แต่ก็ยังมีคูน้ำไว้เตรียมป้องกันไฟไหม้ อย่างไรก็ปลอดภัยไว้ก่อน พื้นที่กว้างในเขตการค้าและริมทะเลล้วนปล่อยพื้นที่ว่างไว้เฉพาะ เรียกว่าลานโคมไฟ ให้ทุกคนในเทียนจินได้มาชมกัน
ร้านค้าใหญ่แต่ละละร้าน เดิมก็เป็นพวกคหบดีใหญ่ เป็นเจ้าของเรือการค้า ก็ล้วนมีโคมไฟตนเองที่ลานโคมไฟ แต่ละร้านมีพื้นที่เฉพาะตน และยังตั้งป้ายไม้ในพื้นที่นั้น เขียนชื่อร้านตนเองเอาไว้ ยังมีจุดพลุดอกไม้ไฟอยู่ทางตะวันออกของลานโคมไฟ และอีกหลายกิจกรรม
ทุกคนที่ทำการค้ากันจนชำนาญย่อมรู้โอกาสทางการค้านี้ คนที่ทำเงินได้ที่เทียนจินไม่น้อย เดือนหนึ่งก็มีพวกว่างไม่มีงานทำมากนัก ย่อมมาชมโคมไฟ ถึงตอนนั้นหากตนเองทำโคมได้ดี ลูกเล่นมากมาย ย่อมนำคนไม่น้อยให้มาชม หากได้เผยแพร่ชื่อเสียงร้านให้ทุกคนได้รู้จักไป ย่อมทำให้การค้าหลังปีใหม่รุ่งเรืองยิ่ง
ร้านหนึ่งคิดได้ ร้านอื่นก็ย่อมคิดได้ ล้วนแย่งกันตั้งโคมไฟ ร้านทำโคมไฟเดือนหนึ่งจึงกิจการดียิ่ง แต่ช่างฝีมือยามนี้มักอยู่กันที่เมืองหลวงและเมืองเป่าติ้งเป็นส่วนใหญ่ เมื่อก่อนไม่ค่อยมาเทียนจินกัน ไม่ค่อยมีสายสัมพันธ์ที่เทียนจิน แต่มีเรื่องดีอันหนึ่งที่ที่นี่จ่ายหนัก ให้ราคาดี คนที่อื่นๆ ย่อมยินยอมมากัน
ไม่นานตามตรอกซอกซอยในเทียนจินก็เต็มไปด้วยดอกไม้ประดับแพร แต่ละแห่งมีคนแขวนโคมไฟกันทั่ว ภาพเช่นนี้ทำให้เด็กๆ ในพื้นที่ตื่นเต้นยินดีอย่างมาก ทั้งวันเอาแต่รวมกลุ่มกันวิ่งเล่นไปทั่ว ไปดูตามหน้าร้านต่างๆ และยังไปกำแพงด้านหลังมองดูอีกด้วย
เช่นนี้ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศเทศกาลในเทียนจินคึกคักยิ่งขึ้น วันที่ 12 เดือนหนึ่ง แต่ละแห่งขึ้นโคมไฟกันพอสมควรแล้ว ตอนบ่ายจะย้ายไปที่ลานโคมไฟ ร้านค้าแต่ละแห่งตอนนี้ตั้งโคมกันไว้หน้าร้าน แสดงความอลังการกันก่อน ดึงดูดลูกค้ากันก่อน
ความเงียบเหงาของเขตการค้าในห้วงปีใหม่เริ่มคึกคักขึ้น บางกลุ่มเป็นเด็กน้อยรวมตัวกัน บางกลุ่มเป็นผู้ใหญ่ที่พาครอบครัวมา แต่ละคนชมโคมกันอย่างมีความสุขสร้างสีสันอย่างมาก
ขณะทุกคนกำลังยินดีปรีดาอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาเบาๆ ทุกคนตะลึงค้างอึ้งไปคิดว่าฟังผิด ปีใหม่เช่นนี้มีเรื่องน่าเศร้าใดกัน ต่อมาเสียงก็ยิ่งชัด ทุกคนจึงรู้ว่าไม่ได้ฟังผิด ล้วนหันไปมอง
ตรงทางแยก มีขบวนเดินแถวแบกสัมภาระอยู่ เป็นคนแปลกหน้า มีทหารสองแถวแต่งกายเต็มยศกำลังคุมตัวอยู่
กลุ่มคนบนท้องถนนมองไปอย่างตกใจแอบซุบซิบกัน
“ทำตัวเอง ชีวิตดีๆ ไม่เอา ไปไหว้พระจุดธูปเชื่อลัทธิมารทำไมกัน……”