ตอนที่ 589 ปราณร้อนตีขึ้นศีรษะ คดีร้ายแรงเมืองต้าถง
ซวงสี่ที่คอยรับใช้หลินซูลู่รู้กระจ่างในสุขภาพเจ้านายตนดี ยานั้นแม้ว่าเป็นยาเสือจิ้งจอกที่มีอานุภาพร้ายแรงยากที่ร่างกายคนจะทำนทนได้ แต่ก็ได้ผล สามารถระงับอาการไว้ได้จริง นอกจากนี้ยาที่หมอที่จี่หนานให้มาก็ได้ผลดี แม้ว่าไม่อาจรักษาได้ แต่ก็บรรเทำได้มาก ทำให้ไม่ค่อยออกอาการมากนัก
หากร่างกายก็อ่อนแอลงทุกวัน เช่นนี้จนไม่อาจฟื้นคืน ทุกวันหลินซูลู่จะหลับอยู่ที่ห้องทำงานเป็นเวลานานขึ้นเรื่อยๆ เป็นข้อพิสูจน์เรื่องนี้
“นายท่าน ผู้ตรวจการเป็นเจ้าหน้าที่ที่ครั้งก่อนตรวจสอบหวังทง พวกเราต้องลงมืออันใดบ้าง……”
“ไม่ต้อง เจ้าให้ท่านรองเปิดเรื่องตระกูลอวี๋ออกมา เรื่องที่ซานซีให้ยิ่งสืบก็ยิ่งใหญ่ ทางเมืองหลวงจะได้ไม่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากนัก”
หลินซูลู่สั่งการนิ่งๆ ซวงสี่รีบรับคำ นิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าซวงสี่ก็มีรอยยิ้ม รายงานว่า
“นายท่าน มีเรื่องน่ายินดีรายงานท่าน วันก่อนในขณะคณะเสนาบดีกำลังหารือออกราชโองการ จางจวีเจิ้งกลับพักรักษาตัวอยู่ที่จวน ยังต้องนำราชโองการไปถึงที่จวนให้เขาตัดสินใจ เมื่อครู่ข้าน้อยได้ยินข่าวมาว่า จางจวีเจิ้งเป็นโรคปราณร้อนตีขึ้นศีรษะ”
พอกล่าวเช่นนี้ หลินซูลู่ที่มีทีท่าเหนื่อยอ่อนอย่างมากก็ตาเป็นประกาย ลุกขึ้นกล่าวว่า
“เรื่องจริงหรือ?”
“ไม่ผิดนายท่าน จางจวีเจิ้งมีตุ่มน้ำพองที่ขา ตัวร้อน เชิญหมอหลวงไปดูอาการที่จวน บอกว่าเป็นปราณร้อนตีขึ้นศีรษะ ทำงานหนักเกินไป ให้พักผ่อนสองสามวันก็หาย”
รอยยิ้มบนสีหน้าหลินซูลู่ยิ่งกดหนัก ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า
“ท่านจางจะขาดสตรีได้อย่างไร จะว่าไป ยาพวกนั้นก็ช่วยพละกำลังร่างกาย เขาจะขาดได้อย่างไร?”
ซวงสี่ข้างๆ เองก็ยิ้มพยักหน้า หลินซูลู่เงียบไปครู่หนึ่ง ยันตัวตรงขึ้น กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ทางเซี่ยหยวนเฉิงพวกนั้นต้องเลี้ยงดูให้ดี อย่าให้พอถึงเวลาใช้การไม่ได้”
ทางนี้รีบรับคำ หลินซูลู่คว้าเอาเอกสารออกมาพลิกดู ถามขึ้น
“เงินไม่ค่อยพอแล้วใช่ไหม?”
“ตึงอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้จากเมืองต้าถงไปทางเหนือใช้จ่ายไปมาก เงินท่านสามก็ใช้จนหมดแล้ว เงินส่วนตัวก็ไม่ยอมให้ ท่านรองดำเนินการหลายเรื่อง เงินบรรณาการส่งขึ้นมาก็น้อย หากก็ยากอยู่ แต่พวกข้าน้อยก็ให้คนข้างนอกคิดหาทาง หากหาเงินได้มาก ก็จะให้เข้าวังมาทำงาน เดือนสองเดือนนี้ก็ได้เงินบรรณาการมาเกือบสองหมื่นตำลึง……”
หลินซูลู่เงียบไป สุดท้ายถอนหายใจยาว กล่าวว่า
“น้ำแก้วหรือจะสู้ฟืนทั้งคันรถ……พอเถอะ ข้าไยต้องคอยจับตาดูแน่นหนาด้วย ซวงสี่ คนสำนักอาชาหลวงมีเงินได้อันใด เจ้าก็ยื่นมือเข้าไปเอี่ยวด้วยสักส่วน นี่จึงเป็นบรรณาการก้อนโต”
สำนักอาชาหลวงคุมห้ากองกำลัง ยังมีเงินจากร้านค้าของราชสำนัก รายรับไม่รู้ว่ามีคนสอดมือมาล้วงไปมากเท่าไร หลินซูลู่ทำหน้าที่ขันทีตรวจสอบ แต่ไรมาก็จับตาดูแน่นหนา คนเบื้องล่างคิดจะล้วงเอาไปก็ไม่ง่าย หลายเดือนนี้หลินซูลู่กลับไม่สนใจดูแล ปากก็ค่อยๆ อ้ากันกว้างขึ้น พวกโกงกินเบี้ยหวัดก็เริ่มออกลีลาไม่เบา ซวงสี่เป็นคนสนิทหลินซูลู่หากเขาต้องการเอี่ยว คนรอบข้างก็ย่อมคิดว่าเป็นหลินซูลู่ต้องการมีเอี่ยว ย่อมต้องแบ่งปัน
ซวงสี่รับคำ หลินซูลู่กินยาไปสองเม็ด สติก็ดีขึ้นไม่น้อย ซวงสี่ประคองเดินในห้องทำงานไปรอบสองรอบ ก่อนจะนั่งลงอ่านเอกสารต่อไป
ซวงสี่ขอตัวออกจากห้องทำงาน เดินไปยังลานด้านหน้า ก็มีขันทีวัยกลางคนสวมชุดยาวสีดำเข้ามารายงาน เดินข้ามาคำนับจากนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า
“ซวงสี่กงกง คนที่เข้าวังมาเมื่อหลายวันก่อนสิบกว่าคนนั้นท่าทางไม่เลว”
ซวงสี่พยักหน้า ขันทีผู้นั้นเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างนอบน้อม ยังกล่าวอีกว่า
“ล้วนมีข้อเสียเหมือนเดิม พอเข้าวังมาได้ก็คิดว่าเหนือคน พอโดนโบยไปสักไม้สักแส้สั่งสอน ก็สงบเสงี่ยมขึ้น แต่มีคนหนึ่งชื่อว่า หลี่เฉวียน ไม่เลวเลย เป็นคนซื่อๆ เหมือนว่าสมองขาดอะไรไปสักส่วนหนึ่ง”
“หากสมองดี ก็ย่อมไม่เอาเงินหลายร้อยนั่นเข้าวังมาหรอก!”
ซวงสี่แค่นยิ้มกล่าว น้ำเสียงกดต่ำ ขันทีด้านหลังฟังไม่ชัด ซวงสี่ยิ้มหันไปกล่าวว่า
“ในวังขาดคนซื่อ คนเช่นนี้มีประโยชน์ใช้สอยดี”
*************
โอรสสวรรค์มีราชโองการสืบคดีชายแดนเมืองต้าถง ทุกคนในเมืองหลวงก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไร ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้อิงจงมา ก็มีเรื่องแปลกประหลาดหลากหลายมาตลอด
เช่นว่าพวกมองโกลเข้าปล้น ขุนพลชายแดนนัดแนะพวกมองโกล เมืองต้าถงไม่ต่อต้าน ปล่อยพวกมองโกลเข้ามาในเมืองต้าถงข้ามไปปล้นเมืองอื่น ทัพใหญ่มองโกลโดนฝนกระหน่ำระหว่างเดินทัพ คนและม้าป่วยตายมากมาย สุดท้ายประคองตนเองกลับมาถึงนอกด่าน ตอนผ่านเมืองต้าถง ทหารเมืองต้าถงยังหดหัวในกระดอง รอจนศัตรูออกไปไกล 30 ลี้ จึงได้ทำทีแต่งตัวออกไล่ล่า จับเอาสัตว์หลายร้อยตัวได้เรียกว่า ชัยชนะใหญ่
ก่อนปีรัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งที่ 40 เมืองต้าถงมีเรื่องทุกปี เช่นเรื่องทหารผู้น้อยถูกหักเบี้ยหวัดกันเละเทะ ทนไม่ไหวก่อเรื่องก่อราว การจัดการของราชสำนักก็คือเคลื่อนกำลังทหารจากเสฉวนและเจ้อเจียงไปปราบปราม จากนั้นทหารหลายพันหลายหมื่นที่ก่อเรื่องก่อราว เจอทหารพันกว่าจากใต้ก็หยุดก่อเรื่องทันที
ไร้สามารถ อ่อนแอ ล้วนเป็นทหารชายแดน ที่เงียบมาได้หลายปี ก็เพราะชายแดนสงบสุข ราชสำนักคร้านจะเอาความ ในเมื่อราชสำนักต้องการตรวจสอบ แม้ว่าไม่มีเรื่องภัยเสียหายชายแดน แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ดี ถึงตอนนั้นจัดการปลดให้หมด แล้วค่อยเปลี่ยนชุดใหม่ไป ก็ทำได้แค่เท่านี้
ทหารชายแดนไร้สามารถอ่อนแอ แต่หลายปีนี้ใต้หล้าล้วนรู้ว่าพ่อค้าซานซีร่ำรวยหนัก เมืองลู่อันเป็นแหล่งผลิตผ้าไหม เมืองเจ๋อโจวผลิตเครื่องเหล็ก แต่สองแห่งนี้ก็ล่มสลายไปนานแล้ว ซานซียังจะมีแหล่งอันใดให้ร่ำรวยกัน แม่น้ำไหวเหอทางใต้ค้าเกลือรวย ทางใต้มีการค้าทางทะเล พูดกันตรงๆ ก็คงมีแค่การค้ากับมองโกลเท่านั้น
เพื่อป้องกันศัตรู สินค้าเช่นเกลือและเครื่องเหล็กไปขายบนทุ่งหญ้าล้วนถูกทางการควบคุม แต่เพราะควบคุม ดังนั้นจึงได้กำไรก้อนงาม พ่อค้าซานซีอาศัยเรื่องนี้ค้ากำไร
แม้ว่าคนที่ไม่เคยติดตามข่าว ก็ล้วนคิดเรื่องกระทำผิดออกมาได้มากมายเช่นนี้แล้ว ราชสำนักคิดจะตรวจสอบ ยังมีเรื่องแปลกอันใด ก็แค่ดูว่าผู้ใดโชคร้ายถูกจับออกมาก็เท่านั้น
สิ่งที่เมืองหลวงกำลังสนใจก็คืออาการป่วยของมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง ป่วยพักแต่ในจวนมาสามวัน เป็นเรื่องใหญ่ระดับรุนแรงมาก
ตั้งแต่ปีที่ 1 แห่งรัชสมัยว่านลี่ที่ท่านจางเป็นมหาอำมาตย์มา ไม่สิ ตั้งแต่ฮ่องเต้หลงชิ่งที่จางจวีเจิ้งเข้าร่วมคณะเสนาบดีใหญ่มา นอกจากตอนเรื่องไว้ทุกข์บิดาแล้ว ท่านจางต้องพักผ่อนที่จวนหลายวันแล้ว นอกนั้น ก็ไม่เคยเห็นว่าป่วยจนต้องหยุดพัก
พริบตาเดียวก็ลือกระจายทั่วเมืองหลวง พวกมีสถานะสูงก็ไปเยี่ยมเยียนที่จวน พวกที่สถานะยังไม่พอก็หาข่าวจากหลายแหล่ง หวังว่าจะได้ข่าวอันใดมาบ้าง
แต่พวกที่ไปเยี่ยมที่จวนก็ล้วนได้เห็นว่าสีหน้าท่านจางแดงอย่างไม่ปกตินัก นอกนั้นก็ไม่เห็นอันใดผิดปกติ ยังยิ้มกล่าวกับทุกคนว่า
“เป็นเรื่องเล็กแท้ๆ กินอาหารให้ดีปรับสมดุลสักหน่อยก็ดีขึ้น คนที่บ้านตกใจเกินไป ทำให้ทุกคนต้องมาพลอยเป็นห่วงไปด้วย!”
ข่าวแพร่กระจายออกไป การคาดเดาต่างๆ ก็เงียบสงบลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนจึงได้เบนหัวไปทางเรื่องที่ซานซี ดูว่าครั้งนี้จะมีเรื่องสนุกอันใด จะมีเรื่องน่ำตกใจอันใดอีก
เสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยกับเสนาบดีกรมพิธีการเซินสือหังล้วนเป็นผู้ที่ไปเยี่ยมที่จวนคนแรกๆ แต่ก็เพียงแค่ตามมารยาท ไม่ให้ตนเองต้องเสียมารยาทไปก็เท่านั้น
ยามปกติ พวกเขาก็แค่เข้าไปทำงานที่คณะเสนาบดีใหญ่ ทุกอย่างดูปกติดีหมด
“เพียงแค่ปราณร้อนตีขึ้น ข่าวหมอหลวงมีแค่เท่านี้หรือ?”
ในห้องหนังสือในจวนเสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยมีคนเพียงสองคน สีหน้าจางซื่อเหวยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มองดูไม่เห็นความผิดปกติอันใด มีเพียงแววอำมหิตน่ากลัว ชายตรงหน้าได้แต่คำนับตอบว่า
“ข้าน้อยถามหมอหลวงมาสามท่าน ยังไปสอบถามจากผู้ติดตามท่านจางในจวน ล้วนว่าปราณร้อนตีขึ้น พักผ่อนสองสามวันก็หายแล้ว”
จางซื่อเหวยคว้าหนังสือมาจากโต๊ะเล่มหนึ่ง พลิกไปสองสามหน้าก่อนจะโยนลงโต๊ะ ค่อยๆ สะบัดหัว ถอนหายใจกล่าวว่า
“เรื่องนี้พอเท่านั้น เจ้ายังต้องจับตาดูคนตระกูลเซินต่อไป เงินค่าซื้อหาข่าวก็ไปเบิกเอา”
ชายตรงหน้าพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็กล่าวว่า
“นายท่าน นอกจากพวกเราไปสอบถามแล้ว พวกที่โรงหมอและหมอหลวงยังถูกคนที่รู้ข่าวไปถามข่าวกันหมด ได้เงินทองไปไม่น้อย ว่ากันว่ายังไปสร้างเรือนพักตากอากาศที่เทียนจินเสียด้วย ……เรื่องนี้ ต้องให้ข้าน้อยสอบหรือไม่……”
“ไม่ต้องแล้ว เมืองหลวงไม่รู้ว่ามีคนสอบถามมากเท่าไร”
กล่าวจบ ชายผู้นั้นคำนับถอยออกไป จางซื่อเหวยวางหนังสือในมือลง ท่องกลับไปกลับมาหลายรอบ ก่อนจะถอนหายใจยาว กล่าวกับตนเองว่า
“ยังต้องรอต่อ!”
*************
เอกสารระหว่างเมืองต้าถงกับเมืองหลวงไปมาก็ต้องครึ่งเดือนขึ้นไป แต่ข่าวแพร่มาเร็วกว่า ราชโองการลงมาได้ไม่กี่วัน เมืองต้าถงก็รู้ข่าวแล้ว
หลังขุนพลซุนต้าอิงแห่งเมืองต้าถงได้ข่าว ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นทันใด ราชโองการรุนแรง ขุนพลชายแดนเมืองต้าถงนั้นก็มิได้ระบุชื่อเสียงเรียงนาม ทุกคนในเมืองต้าถง ผู้ใดล้วนไม่อาจกล่าวว่าตนเองนั้นมือสะอาด หรือว่าครานี้จะโดนทั้งหมด
ตามหลักในมือกุมอำนาจทหารหลัก ยังอยู่ชายแดน ราชสำนักย่อมไม่กระทำการบุ่มบ่ามเช่นนี้ แต่ในใจซุนต้าอิงรู้ดี ตนเองหากมีเรื่องไม่ถูกต้องจริง ก็ไม่จำเป็นต้องถึงมือชีจี้กวงแห่งจี้โจวนำทัพมาเอง แค่คนของหลี่หรูซงแห่งเมืองเซวียนฝู่ก็ย่อมพอเพียงที่จะปราบปรามพวกเขาแล้ว
ซุนต้าอิงใช่ว่าไม่เคยคิดจะสมคบคิดพวกมองโกลลองเสี่ยงดูสักครา แต่คิดไปคิดมาก็ได้แต่ด่ามารดามันแทน สายสัมพันธ์กับเผ่าอันต๋าที่เมืองกุยฮว่าเฉิงนั้นก็เหมือนจะถูกตระกูลอวี๋ครองพื้นที่ไปหมดแล้ว คนอื่นไม่อาจสอดมือเข้าข้องเกี่ยว
ร้อนใจไร้หนทางอยู่สามวัน ขันทีตรวจการทัพเมืองต้าถงเสวียงเจาไฉก็มาขอพบถึงที่ เสวียงเจาไฉมาพบถึงที่ทำให้ซุนต้าอิงรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย ให้ทหารของตนทุกหน่วยเตรียมพร้อม เกรงว่าขันทีจะมาจับคน ได้ยินว่าเสวียงเจาไฉนำผู้ติดตามมาด้วยแค่สองคนก็วางใจผ่อนลมหายใจลงได้ รีบส่งคนไปเชิญเข้ามา
“ขุนพลซุน ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อบอกให้ใต้เท้าทราบเรื่องหนึ่ง”
พอนั่งลงเรียบร้อย เสวียงเจาไฉก็เปิดประเด็นทันที ซุนต้าอิงจึงเพิ่งนึกถึงว่าขันทีผู้นี้เคยทำเรื่องผิดไว้ไม่น้อย สืบไปสืบมา ก็ย่อมหนีไม่พ้นเช่นกัน
“ไม่ทราบว่ากงกงมีเรื่องอันใด?”
“ก่อนข้ามาเมืองต้าถง ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่สำนักส่วนพระองค์ ได้รับการดูแลจากจางกงกง เมื่อวานจางกงกงส่งคนนำจดหมายมา บอกว่าให้ข้าร่วมมือกับขุนพลซุนสืบเรื่องราวให้กระจ่าง!”
ได้ยินว่าสืบให้กระจ่าง ซุนต้าอิงก็อดทำอวดรู้ไม่ได้ รีบรับคำที่เสวียงเจาไฉกล่าวมาทันที การได้ร่วมกับผู้แทนพระองค์สืบคดีให้กระจ่าง แสดงว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนแล้ว