ตอนที่ 6 คนรับใช้ประหลาด ภารกิจที่แสนน่าเบื่อ
พอกล่าวจบก็วางถังน้ำลง หยิบไม้กวาดกวาดพื้น ความตั้งใจดีกลับกลายเป็นถูกมองว่าแอบแฝงความชั่วร้าย หวังทงรู้สึกโมโหเล็กน้อย มาเป็นคนใช้คนอื่นมีนิสัยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน จึงเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้ายื่นมือออกไปกล่าวว่า
“เจตนาดีที่จะช่วยเหลือ ไยจักต้องกล่าววาจามากความ ส่งไม้กวาดมา ไม่งั้นก็ถือว่าข้ามิเคยเอ่ย”
คำพูดหวังทงแฝงด้วยความโกรธ ยื่นมือออกไปทื่อๆ ชายชราผู้นั้นมองหวังทงอย่างชั่งใจสักครู่ พบว่าองครักษ์เสื้อแพรคนนี้รูปร่างสูงใหญ่ แต่ท่าทางเป็นเด็กน้อย น่าจะเป็นแค่เด็กที่ยังไม่โตเต็มที่ จึงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ส่งไม้กวาดในมือให้ไป
คนอายุสิบสามแม้รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงเพียงใด หน้าตาก็ยังคงเป็นเด็กน้อยนั่นเอง นี่เป็นสิ่งที่หวังทงทำอะไรไม่ได้
เมื่อรับไม้กวาดมา หวังทงก็เริ่มกวาดพื้นอย่างแคล่วคล่องว่องไว บิดาและเขาพึ่งพาอาศัยกันสองคน งานการในบ้านก็เริ่มลงมือทำตั้งแต่ยังเล็ก นี่จึงไม่นับว่าเป็นประสบการณ์ที่นำมาจากยุคปัจจุบันแต่อย่างใด
“ท่านลุงอายุมากขนาดนี้แล้ว งานหนักจุกจิกพวกนี้ให้พวกอายุน้อยมาทำก็ได้…ตัวท่านก็ยากนักที่จะ…”
แสงอรุณเริ่มทอแสงรำไร บนท้องถนนยังคงเงียบเชียบ ในใจหวังทงรู้สึกผ่อนคลายอย่างหาได้ยากยิ่ง เขาลงมือทำไปพลางพูดเรื่อยเปื่อยไป ชายชราผู้นั้นก็ไม่สนใจ เอาแต่ใช้กระบวยไม้ตักน้ำจากถังสาดลงพื้นไปเรื่อย
รอจนกวาดทางนี้เสร็จ ชายชรารับใช้ก็รับไม้กวาดคืนไปก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย ไม่กล่าวขอบคุณแต่อย่างใด เดินเข้าประตูไปก่อนจะปิดประตูลง
อย่างน้อยก็เป็นตนเองที่ใจดีเอ่ยช่วยเหลือ ทำไมจึงได้รับการปฏิบัติตอบเช่นนี้ หวังทงเกือบสบถด่าออกมา แต่ก็อดกลั้นไว้ได้ อย่างน้อยที่นี่ก็หน้าจวนนายกองร้อย คนแก่แล้วหรือไม่ก็นิสัยแปลกประหลาด จะว่าไปการช่วยเหลือนั้นก็ไม่ได้หวังคำขอบคุณอันใด
เมื่อวานตอนมาก็ถูกพาไปยังกองบัญชาการในเขตปัจจิม วันนี้มาเช้าไปก็ต้องรอ หวังทงเพิ่งรู้ว่าตนเองนั้นมาเช้าไปจริงๆ กวาดพื้นเสร็จยังต้องยืนรออีกครึ่งชั่วยามกว่าๆ ถึงได้มีองครักษ์คนแรกมารายงานตัว พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว ประตูหน้าบ้านนายกองร้อยเถียนก็เริ่มคึกคัก ผู้คนเรื่มทยอยมารวมตัวกัน แม้ว่าทุกคนจะสวมชุดมัจฉาเวหา เหน็บดาบปักวสันต์ แต่งกายแบบทหารกองทัพ แต่ก็ไม่มีระเบียบวินัยแม้แต่น้อย แต่ละคนยืนกันกระจัดกระจาย กลุ่มละสามถึงห้าคนคุยวิพากษ์วิจารณ์ไปหัวเราะไป คุยเรื่องที่บ้าน คุยเรื่องสัพเพเหระ หากหลับตาลง อาจจะคิดว่าที่นี่เป็นตลาดสด
หวังทงยืนหลบมุมอยู่อย่างเงียบๆ บิดาก็มิค่อยได้ให้คนในบ้านได้ไปมาหาสู่กับคนที่สำนักองครักษ์ คนเหล่านี้นอกจากจางซื่อเฉียงที่ยืนข้างๆ แล้ว ยังมีอีกสองคนที่เคยไปมาเก๊ามาด้วยกัน นับว่ารู้จักกันมาก่อน แต่เมื่อพวกเขาเห็นหวังทง ก็มีท่าทีเย็นชา ไม่มีความรู้สึกว่าทักทายกันเลยแม้แต่น้อย
เริ่มแรกยังมีบางคนมองหวังทงและวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่บ้าง แต่ต่อมาทุกคนก็ไม่สนใจผู้มาใหม่ผู้นี้แต่อย่างใด สนใจแต่คุยสนุกเรื่องของตน
เมื่อมารวมตัวกันพอสมควรแล้ว นายกองธงใหญ่หลิวซินหย่งก็มาถึง ชายร่างใหญ่ผู้นั้นก็ติดตามอยู่ข้างกาย เมื่อตำแหน่งต่างกัน แน่นอนการต้อนรับที่ได้รับก็ย่อมต่างกันสิ้นเชิง ยามหลิวซินหย่งปรากฏตัว องครักษ์เสื้อแพรส่วนใหญ่ที่มาถึงแล้วก็พากันกล่าวทักทายเสียงดังด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นายกองธงใหญ่หลิวซินหย่งก็พยักหน้าทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน ดูท่าทางสง่าผ่าเผยมาก
ไม่ว่าผู้บังคับบัญชาจะปฏิบัติต่อคุณอย่างไร ในฐานะลูกน้องก็ย่อมต้องปฏิบัติตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หวังทงผู้ช่ำชองในสังคมการทำงานยุคปัจจุบันย่อมเข้าใจในหลักการนี้ดี
แต่จะให้เขายิ้มแย้มต้อนรับผู้ที่เคยคิดจะแย่งชิงทรัพย์สมบัติตอนบิดาเขาจากไปหรือ แม้แต่ที่เอาไว้หลบลมฝนบังกายก็ยังจะแย่งเอาไปด้วยนั้น เห็นทีว่า…
หวังทงเงยหน้าขึ้น ใบหน้าไร้รอยยิ้ม ส่งสายตามองไปอย่างเย็นชา หากกลับปะทะเข้ากับหลิวซินหย่งนั่นพอดี ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าหลิวซินหย่งหุบลงทันที
หวังทงก้มหน้าลง หลิวซินหย่งใบหน้าเผยรอยยิ้มกลับคืนมาอีกครั้ง พยักหน้าทักทายคนอื่นต่อไป
นายกองธงใหญ่คุมผู้ใต้บังคับบัญชา 50 นาย เป็นผู้ช่วยของนายกองร้อย หลิวซินหย่งกะเวลาที่มาถึงไว้ได้อย่างพอดี รอจนเขาทักทายทางนี้จบ ประตูจวนนายกองร้อยเถียนก็เปิดออก นายกองร้อยเถียนหรงหาวเดินออกมา
หน้าประตูที่วุ่นวายอยู่พลันเงียบลง หลิวซินหย่งรีบลงจากหลังม้า ก้มตัวโค้งคารวะอย่างสุภาพเรียบร้อยพร้อมกล่าวว่า
“คารวะใต้เท้า อรุณสวัสดิ์ขอรับใต้เท้า”
เถียนหรงหาวกวาดตามองผู้ใต้บังคับบัญชารอบหนึ่ง สายตาพลันหยุดที่หวังทงที่ยืนหลบมุมแวบหนึ่ง กล่าวเสียงดังขึ้นมาว่า
“ด้วยพระเมตตาแห่งองค์ฮ่องเต้ ทุกท่านโปรดระมัดระวังการปฏิบัติตน ปฏิบัติหน้าที่ให้แข็งขัน”
“ขอรับ!!”
“เมื่อวานมีเรื่องใดหรือไม่?”
“ไม่มีขอรับ!”
“วันนี้เหมือนเดิม?”
“ขอรับใต้เท้า!”
นี่เป็นพิธีการที่ทำเป็นประจำ หวังทงโค้งตัวลงกล่าวรับคำเหมือนกับทุกคนราวกับหุ่นยนต์ พูดอยู่สองสามประโยคผู้ติดตามนายกองร้อยเถียนก็จูงม้าเข้ามา นายกองร้อยเถียนก็ขี่ม้าออกไป
เมื่อนายใหญ่จากไป ฝูงชนก็ฮือดังขึ้นมาอีก หลิวซินหย่งที่ตำแหน่งสูงสุดในที่นั้นยิ้มแย้มทักทายไปทั่ว ไม่นานนักทุกคนก็แยกย้ายกันไป
กล่าวว่ามีงานก็ปฏิบัติ แต่ส่วนใหญ่ออกไปเตร็ดเตร่หาความสำราญกัน ที่ต้องเฝ้าฐานก็มีแต่หวังทงและจางซื่อเฉียงเท่านั้น ‘นี่มันตู้เย็นชัดๆ ’ หวังทงแอบสบถ จางซื่อเฉียงได้ยินแล้วก็ได้แต่รู้สึกงง
สองคนเดินเคียงกันไปเงียบๆ ถึงเรือนหลังเล็กโดดเดี่ยวหลังหนึ่ง เรือนนี้ภายนอกก็เหมือนบ้านเรือนชาวบ้านทั่วไป เดินเข้าไปก็พบว่ารูปแบบต่างกันอยู่บ้าง บนลานปูด้วยก้อนหิน ฉากบังกลางโถงนั้นถูกรื้อทิ้งไปแล้ว ที่มุมยังมีอาวุธค่อนข้างเก่าจำนวนหนึ่งวางอยู่ กลางห้องมีโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวหนึ่ง เก้าอี้ไม้แบบมีแต่ขาตั้งสองสามตัว
หวังทงจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนติดตามบิดามาสถานที่ประจำการองครักษ์เสื้อแพรประจำกองร้อยแบบนี้อยู่บ้าง แต่ที่นี่ทรุดโทรมมาก นอกจากเจ้าพนักงานที่นานๆ จะย่างกรายมาที ก็ไม่มีใครอยากย่างกรายเข้ามาที่นี่
การอยู่เฝ้าฐานก็คือการไม่มีงานให้ทำนั่นแหละ จางซื่อเฉียงยังเป็นพวกไร้สมอง สองคนมองตากันไปมา ไม่รู้จะคุยอะไร น่าเบื่ออย่างที่สุด
แม้จะกล่าวว่าที่บ้านยังมีสองสามร้อยตำลึง ชีวิตก็คงไม่ต้องลำบากอะไร แต่ต้องมานั่งนิ่งๆ อยู่ที่นี่ ไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เกรงว่าหากเฝ้าฐานต่อไป ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงได้ถูกแช่แข็งอยู่ที่นี่จริงๆ แม้ไม่ไล่ ก็คงต้องยอมจากไปเสียเอง
ใจหวังทงคิดเช่นนี้ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย กลับตั้งใจช่วยจางซื่อเฉียงเก็บกวาด
ยังดีที่ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว กลับไปกินที่บ้านย่อมประหยัด สองคนจึงพากันกลับบ้านตนเองไป เดินออกจากเรือนเล็กนี้ไป หวังทงก็ถอนหายใจยาว ที่นี่มันอึดอัดน่าเบื่อเสียจริง
ที่นี่ห่างจากบ้านเขาไม่ไกล เดินทะลุตรอกชุมชนก็ถึงถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้า เดินไปตามถนนทางทิศตะวันออกก็ถึงบ้านได้
อากาศหนาวเย็น แต่กลางวันแดดดี คนเดินถนนก็ไม่น้อย หวังทงที่กำลังเดินอยู่นั้นก็รู้สึกสบายใจเป็นอันมาก แม้ว่าตอนเช้าช่างเงียบเหงาโดดเดี่ยว
ในยุคปัจจุบันหวังทงมาปักกิ่งบ่อยครั้งด้วยหลายสาเหตุ ย่อมรู้ว่าใกล้พระราชวังกู้กง ก็คือรอบเขตวังต้องห้ามนี้ราคาบ้านน่าตกใจเพียงใด เรือนสี่ประสานขายได้กว่าพันล้าน ยังมีราคาสูงจนไม่อาจหาคนซื้อได้อีก
ในรัชสมัยว่านลี่นี้กลับแตกต่าง ไม่พูดถึงขนาดของวังต้องห้ามที่ใหญ่กว่ายุคปัจจุบัน อสังหาริมทรัพย์ใกล้เมืองก็ไม่ได้มีราคาขนาดนั้น
อย่างเช่นบ้านของหวังทงที่เป็นเรือนสี่ประสานขนาดกลางล้อมสองชั้นหลังนั้น ยืนกลางลานก็สามารถเห็นกำแพงเมืองหลวงสูงใหญ่ด้านหลัง แน่นอนแม้ว่าจะมีระยะห่างจากกำแพงเมืองหลวงอยู่บ้าง แต่ก็แค่บ้านเรือนไม่กี่แถว
แน่นอนว่าเขตพักอาศัยกับเขตกำแพงเมืองนั้นยังมีบริเวณเว้นว่างไว้ให้ทหารตระเวนยาม ทิศตะวันออก ตะวันตกและทิศเหนือสามทิศล้วนมีคูน้ำล้อมรอบปกป้องไว้ มีแต่ทิศนี้ที่ไม่มี
บ้านของหวังทงหากไม่ใช่เพราะติดกับถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้า ก็คงขายไม่ได้ราคาเท่าไร หนึ่งเพราะกำแพงวังหลวงสูงมากจนบังแสงแดดไว้หมด สองเพราะมักมีทหารม้าวิ่งผ่าน ยามค่ำคืนวุ่นวายเกินไป
ที่แห่งนี้หากเป็นยุคปัจจุบัน ราคาคงสูงเทียมฟ้า ทุกวันสามารถมองเห็นวังต้องห้ามที่ใหม่เอี่ยมเช่นนี้ หวังทงเดินพลางคิดไปเรื่อยเปี่อย ใจที่อึดอัดก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย