ตอนที่ 631 ตกเป็นหมากมิรู้กล
“……หวังทงเป็นรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร……เทียนจินเป็นพื้นที่การค้าสำคัญ ไม่อาจละเลย……”
ขันทีถ่ายทอดราชโองการเป็นบุตรบุญธรรมโจวอี้นามว่าเมิ่งตั๋ว ขุนนางใหญ่เมืองหลวงออกนอกเมืองหลวงเป็นเรื่องยาก ขั้นตอนการถ่ายทอดราชโองการจึงให้คนสนิทนำมา เป็นวิธีการที่ทำกันทั่วไป
หลังจากอ่านราชโองการไปตามธรรมเนียมปฏิบัติจบ หวังทงก็รับไป เมิ่งตั๋วฉีกยิ้มกว้าง แม้ว่าไม่มีคำอธิบายจากเมิ่งตั๋ว ความหมายในราชโองการ หวังทงก็พอเข้าใจ
แม้ว่าได้เลื่อนเป็นรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร แต่ก็ยังให้เวลามากพอ ให้เขาจัดการทุกอย่างที่เทียนจินให้เสร็จค่อยไปเมืองหลวงรับตำแหน่ง
ตำแหน่งเปลี่ยน จะไปรับตำแหน่งเมื่อใดล้วนมีกฎระเบียบเข้มงวด หากไม่ปฏิบัติตามย่อมมีโทษหนัก แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รู้ว่าเทียนจินทำเงินก้อนจินฮวามากทุกปี ทำให้เกิดกองกำลังหู่เวยและระบบต่างๆ ที่หวังทงสร้างขึ้น เป็นกำลังที่อยู่ในมือหวังทงในทุกวันนี้
จำเป็นต้องมีเวลาให้หวังทงมากพอ ให้เขาจัดการให้เรียบร้อยเหมาะสม จะได้ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นฮุบเอาไปง่ายๆ
ความต้องการของโอรสสววรค์ในเรื่องนี้ บรรดาขุนนางล้วนเข้าใจดี แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรก็ยกให้ลั่วซือกงไปแล้ว เรื่องอื่นหากจะไปโต้แย้งอีก เกรงว่าคงต้องผิดใจกันมองหน้ากันไม่ติด ไม่ว่ากับผู้ใดก็ย่อมไม่เป็นผลดี
“สำนักอาชาหลวงมีงานมาก โจวกงกงต้องดูแลทั้งวันไปไหนไม่ได้ เรื่องสำนักรักษาความสงบตอนนี้ก็ให้ข้าน้อยมาช่วยดูแล ครั้งนี้นอกจากเรื่องก่อนหน้านี้แล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ต้องบอกกล่าวใต้เท้า สำนักรักษาความสงบลงทัณฑ์พวกลัทธิไตรสุริยัน คนพวกนั้นกล่าวว่า พวกลัทธิไตรสุริยันที่มีฝีมือถือดาบได้ ต่อมาไปอยู่กับหลินซูฝู นอกจากเขาแล้ว แม้แต่หลินซูไฉก็สั่งการไม่ได้”
เมิ่งตั๋วกล่าวถึงตอนสุดท้ายจบ หวังทงก็ครุ่นคิดก่อนจะยิ้มกล่าวว่า
“รบกวนเมิ่งกงกงแล้ว เทียนจินอาหารดีทิวทัศน์เลิศ รุ่งเรืองหาใดเทียม ขอให้กงกงท่องเที่ยวสักสองสามวันค่อยกลับ เมืองหลวง วาจาเมื่อครู่หนักหนานัก ยังต้องขอให้ปิดเป็นความลับ!”
“ข้าน้อยรู้ดี ที่เมืองหลวงมักได้ยินคนพูดถึงเทียนจินเช่นนั้นเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องไปชมให้ดีๆ สักหน่อย”
เมิ่งตั๋วก็รู้งานดี หวังทงยิ้ม ไช่หนานที่รอรับราชโองการอยู่ด้วยก็รู้จักกับเมิ่งตั๋วมาก่อน ก็เขามายิ้มรับก่อนจะพากันออกไป
ในห้องรับราชโองการมีแค่หวังทงกับไช่หนาน พอไช่หนานออกไป ทุกคนก็กรูกันเข้ามา หลี่หู่โถวใจร้อนถามขึ้นทันทีว่า
“ใต้เท้า เมื่อใดท่านจะไปเมืองหลวง เรื่องที่เทียนจินไม่สนใจแล้วหรือ?”
เขากับหวังทงสนิทกันมาก แต่ต่อหน้าคนอื่น ยังคงต้องเปลี่ยนคำเรียกพี่หวังว่าใต้เท้า หวังทงส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ราชโองการมีแค่เลื่อนให้ข้าเป็นรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินกับหัวหน้ากองกำลังหู่เวย หรือตำแหน่งผู้ควบคุมการทำงานโรงช่างหลวงก็ยังไม่ได้เอ่ยถึง ราชโองการไม่ได้เอ่ย ก็ย่อมเป็นข้าดำรงตำแหน่งอยู่ ……เพียงแต่ เรื่องเมืองหลวงน่าจะเป็นเรื่องกำหนดไว้แล้ว!”
จางซื่อเฉียง ซุนต้าไห่ ขุนพลตระกูลถาน พวกที่มาจากลานฝึกหู่เวยและยังมีหม่าซานเปียว บรรดาคนสนิทล้วนอยู่ในห้อง ได้ยินหวังทงว่ามา สีหน้าก็งุนงง
“มีอันใดต้องเศร้ากัน การดำเนินการในเทียนจินทุกเรื่อง ไม่ได้ขึ้นกับว่าใครดูแล หากระเบียบจัดไว้เคร่งครัด พวกเจ้าก็แค่ดำเนินการให้เคร่งครัด ทุกอย่างไม่ต้องกังวลไป”
“หากไม่มีใต้เท้า เทียนจินที่อวบอ้วนนี้ไม่รู้มีคนจ้องมองตาเป็นมันมากมายเท่าไร คิดจะฮุบในคำเดียวเป็นแน่!”
ถานเจียงสงบนิ่ง หวังทงอยู่หรือไปจากเทียนจินไม่เกี่ยวกับพวกเขานัก อย่างไรพวกเขาก็ต้องติดตามอารักขาต่อ แต่เขาเองก็เอ่ยเรื่องที่กังวลใจ หวังทงโบกมือกล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า
“ข้าไปเมืองหลวงดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการ ใกล้ชิดฝ่าบาท อำนาจบารมีย่อมมากกว่ายามนี้ พวกเจ้าอยู่ทางนี้ทำงานให้ดี มีข้าอยู่เมืองหลวงคอยดูแลพวกเจ้า ดูซิว่าผู้ใดจะกล้าแตะต้องเทียนจิน!”
กล่าวจบ ในใจทุกคนก็นิ่งลงไม่น้อย หวังทงยังยิ้มกล่าวว่า
“ใช่ว่าต้องเร่งร้อนไปในวันสองวันนี้เสียเมื่อไร ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำมากมายในเทียนจินนี่อยู่ จางซื่อเฉียงอยู่ก่อน ที่เหลือออกไปปฏิบัติงานของตนได้แล้ว!!”
*************
จางเฉวียนแม้ถูกขังในคุก แต่ก็รู้เรื่องราวข้างนอกไม่น้อย เทียนจินเป็นผลงานสร้างขึ้นจากมือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียว แม้ว่ามีวิธีที่ดีมากมาย แต่ก็ในรายละเอียดก็ยังมีช่องโหว่มาก
เช่นพวกเฝ้าอยู่นอกประตูคุยไปหัวเราะไป ราวกับว่าไม่สนใจว่านักโทษจะแอบฟัง ไม่ว่าอะไรก็กล้าพูด ไม่รู้จักหนักเบาสักเรื่อง
กลางเดือนเจ็ดแล้ว เล่ากันว่าร้านสามธาราเริ่มออกซื้อหาเสบียงและข้าวสาร เหตุใดต้องซื้อหาตอนนี้ ก็เพราะร้านสามธารามีโกดังหลายแห่ง ในโกดังต้องมีเสบียงข้าวสารสะสมไว้ เพื่อให้กองกำลังหู่เวยไว้ใช้ ปกติก็สะสมไว้ แต่พอครึ่งปีหลังไปก็จะขายออกมาในราคาถูก จากนั้นก็เก็บงวดใหม่เข้ามาสะสมต่อ รับประกันว่าจะต้องมีจำนวนสะสมเพียงพอที่กำหนด
กลางเดือนเจ็ดไม่ใช่เวลาซื้อหาเสบียง แต่เพราะต้องซื้อหา เพราะต้องเตรียมไว้ใช้ฉุกเฉิน จำต้องหามาเพิ่มให้พร้อม เหตุที่ต้องหามาให้พร้อมก็เพราะใต้เท้าหวังจะนำเรือหลายลำกับทหารเรือกวางตุ้งออกไปปราบโจรสลัด เรือหลายพันคน ต้องเดินทางทางทะเล ย่อมต้องนำเสบียงไปให้มากพอ
ยังบอกว่าทัพเรือนี้นำทหารกองกำลังหู่เวยไปไม่น้อย การรักษาการณ์เทียนจินแต่ละแห่งก็ย่อมขาดคน พวกที่เฝ้าคุมนักโทษก็ย่อมถูกโยกย้ายไปไม่น้อย
จางเฉวียนเมื่อก่อนเคยเป็นทหารชายแดน ย่อมเข้าใจเรื่องราวทหารพวกนี้ดี ได้ยินกองกำลังหู่เวยเตรียมการทางทหารเองได้เช่นนี้ เขาเองก็ตกใจไม่น้อย
แต่ที่เขาสนใจยิ่งกว่าก็คือกำลังเฝ้าคุมน้อยลง ต้องเปลี่ยนที่คุมขัง เขาเองก็ถูกส่งมาคุมขังที่นี่ ด้านนอกมีทหารเฝ้าคุมน้อยมาก พวกเขาถูกนำมาลงทัณฑ์สอบสวนแล้ว ก็ทำตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้าว่าให้ปากคำเหมือนกัน อีกฝ่ายเหมือนจะเชื่อ
เพราะจางซื่อเหวย จางเฉวียนจึงสนใจเรื่องหวังทงไม่น้อย ก็พอเข้าใจอยู่บ้าง รู้ว่านายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนุ่มน้อยนี้แม้ว่ามีความสามารถ แต่จิตใจไม่เหี้ยมโหดพอ วิธีการของเขาก็สังหารให้สิ้น การสังหารให้สิ้นทั้งครอบครัวก็รวดเร็วดี หากใจแข็งพอ ก็ไม่น่ากลัวอันใด เพียงแค่หลับตาก็ผ่านไป
หากการทรมานที่อยู่ไม่สู้ตายพวกนั้นต่างหากถึงจะทำให้คนหวาดกลัวได้ จางเฉวียนเคยใช้วิธีการเหล่านี้กับคนอื่นมาก่อน เห็นคนอื่นสภาพน่าอนาถ ย่อมต้องกลัวว่าคนอื่นจะนำมาใช้กับตน
ถูกหวังทงจับได้ เขากลับไม่กลัวถูกทรมาน เพราะเขารู้ว่าหวังทงเป็นคนฉลาด ชอบสืบให้ถึงรากโคน จึงได้นัดแนะกับลูกน้องไว้ มีวิธีการรับมือต่างๆ ตอนนี้ดูท่าแล้ว วิธีการรับมือที่ว่ากันนั้นได้ผล อย่างน้อยคนบาดเจ็บก็มีหมอมาดูแล ยังมีอาหารให้กินอิ่ม ที่พักก็นับว่าสะอาด เห็นได้ว่าหวังทงมิใช่คนใจเหี้ยม และก็ไม่อยากให้พวกเขาตาย
จางเฉวียนไม่ได้ถูกคุมขังอยู่ในคุกที่ทำการ ย่อมไม่รู้ว่าหวังทงเคยใช้วิธีการทรมานให้สารภาพ เคยเชิญตัวองครักษ์เสื้อแพรจากเมืองหลวงมาลงทัณฑ์สอบโหดเหี้ยมเช่นกัน
ปลายเดือนเจ็ด ด้านนอกมีผู้คุมเพียงคนเดียว จางเฉวียนยังได้ยินหัวหน้าด้านนอกตำหนิไปว่าอย่าได้เอาแต่รักสนุกจนเสียงานใหญ่
ทหารยามผู้นั้นรับปากดี แต่พอตกดึกจางเฉวียนแอบลอดมองผ่านช่องประตูก็ได้กลิ่นสุราลอยเข้ามา……
นับดูเวลาแล้ว ราววันที่ 22 เดือนเจ็ด ตามหลักแล้ว ตอนกลางวันทหารก็จะเข้ามาในคุกปัดกวาดรอบหนึ่ง เปลี่ยนน้ำให้จางเฉวียนอะไรพวกนี้ สามวันติดกัน จางเฉวียนล้วนได้กลิ่นสุราจากตัวทหารยามผู้นั้น ตอนปัดกวาดก็เห็นว่ายังเมาอยู่ แทบไร้สติ
หากเป็นที่อื่น ทหารยามจะดื่มกันเช่นนี้จางเฉวียนย่อมไม่เชื่อ ทหารจะมีเงินมากมายไปดื่มได้อย่างไร แต่เทียนจินนี่แตกต่างจากที่อื่น ก่อนหน้านี้ได้ยินพวกทหารคุยกันว่า เบี้ยหวัดจ่ายเงินสดทุกเดือน อยู่0กองกำลังหู่เวยไม่มีโอกาสใช้เงิน เจ้าหน้าที่หน่วยอื่นสบายกว่ามาก
เช้าวันที่ 22 เดือนเจ็ด ทหารยามที่เมาสุราเข้ามาในคุก ร่างกายโงนเงนไปมา จางเฉวียนที่ถูกใส่กุญแจมืออยู่ ก็ยันกายลุกขึ้นมาอย่างตกใจ โดดหลบไปอีกทาง
ทหารยามผู้นั้นปัดกวาดไปก็ด่าทอไป ด่าทอภรรยาที่บ้านร้ายกาจ ไม่มีลูกชายให้อะไรพวกนั้น เจ้านายก็ลำเอียง ให้ตนเองมาทำงานยากลำบากที่นี่ ทั้งตัวกลิ่นสุราคละคลุ้ง ไม่รู้ดื่มมามากเท่าไร ในคุกเห็นว่าเป็นพื้นเรียบ ยังเดินโงนเงนไปมาได้ จางเฉวียนรีบเข้าไปประคอง
พอเข้าไปประคองก็ถูกผลักออก ยังด่าทอยกใหญ่ น่าจะเมาจนเสียสติไปแล้ว จางเฉวียนได้แต่ฟังๆ ไป
พอปัดกวาดหญ้าในคุกเสร็จ ก็ออกไปใส่กุญแจดังเดิม ไม่นานก็ได้ยินเสียงกรนดังสนั่น เดาว่านั่งหลับคาเก้าอี้ไปแล้ว
จางเฉวียนนั่งพิงกำแพงแบมือออก เมื่อครู่ล้วงเอากุญแจออกจากตัวทหารยามผู้นั้นมาดอกหนึ่ง ไม่รู้ใช้กุญแจมือนี่ไหม ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงขนาดพอได้ก็พอ กุญแจมือก็เพียงแค่ให้แน่นหนา จะให้ประณีตก็ไม่จำเป็น ได้ยินเสียง ‘เคร้ง’ ดังสองที กุญแจมือก็เปิดออก
จากที่จางเฉวียนได้ยินมา การลาดตระเวนด้านนอกมีเปลี่ยนกะ หากเวลานี้ทหารที่เฝ้าเขามีเพียงทหารเมาสุรานี้ผู้เดียว
ได้ยินเสียงคนส่งอาหารจากไป จางเฉวียนก็ร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด เป็นดังที่เขาคาดไว้ ทหารเมาสุราด้านนอกเข้ามาด่าทอเสียงดัง พอเข้ามาไม่เห็นใคร ก็แปลกใจ หากอยู่ๆ ด้านหลังก็เหมือนโดนทุบอย่างแรง สองตามืดลงก่อนจะล้มลง
จางเฉวียนถอดเสื้อผ้าทหารยามเมาสุราอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนให้ตนเอง เอาอาหารแห้งที่พื้นยัดใส่เสื้อ ก่อนจะรีบหนีออกจากคุก
ด้านนอกไม่มีคนจริงดังคาด จางเฉวียนก้มหน้าก้มหน้ารีบเดิน เลียนแบบท่าทางทหารยามเมาสุราผู้นั้น พอเห็นคนสวนมาก็ทำเป็นเบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง จางเฉวียนหนีออกไปด้วยการกระทำเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดสอบถาม
************
“ใต้เท้าจาง โจรชั่วนั่นแย่งชิงม้าตัวหนึ่งที่จิ่วฉือโข่ว มุ่งไปทางตะวันตก”
จางซื่อเฉียงกับทหารติดตามสองนายอยู่ที่คุกที่เคยคุมขังจางเฉวียน ทหารนายหนึ่งเข้าไปพลิกศพทหารยามที่กลิ่นสุราคลุ้งไปทั้งตัว ส่ายหน้ากล่าวว่า
“เหล่าหลี่ป่วยด้วยโรคร้ายถึงแก่ชีวิต ครั้งนี้ได้โอกาสได้ทิ้งเงินก้อนไว้ให้ลูกเมียได้กินไปทั้งชีวิต ใต้เท้าหวังช่างเมตตา ติดตามรับใช้ ย่อมไม่เสียชาติเกิด”
กุญแจมือกระแทกท้ายทอย คนย่อมไม่อาจรอดชีวิต จางซื่อเฉียงก้มหน้ามองสองสามทีก่อนจะส่ายหน้ากล่าวว่า
“ใต้เท้าออกทะเลไปได้ห้าวันแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ถึงที่หมายหรือยัง……”