Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 637

ตอนที่ 637 ส่งเสริมพวกเดียวกันเป็นเรื่องธรรมดา

วันที่ 3 เดือนแปด ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 หัวหน้ากองกรมสอบสวนเหอหนานกัวเหวยเสียนถวายฎีกาเสนอแต่งตั้งอู๋จงสิง เจ้าย่งเสียน อ้ายมู่ เสิ่นซือเสี้ยวและโจวหยวนเปียวเข้ารับตำแหน่งขุนนาง

ทั้งห้าคนนี้เป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูในหมู่ประชาอย่างยิ่ง แต่ในหมู่ขุนนางบัณฑิตแล้วมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่ง ได้รับฉายาว่า ห้าวิญญูชน

แน่นอน เรียกพวกเขาว่า ‘ห้าวิญญูชน’ นั้นเป็นเพราะเลื่อมใสจริงหรือประชดประชันก็ไม่มีผู้ใดรู้ได้ ในตอนนั้นที่บิดาจางจวีเจิ้งป่วยจากไป ควรจะกลับไปบ้านเกิดไว้ทุกข์ ปรากฏว่าโอรสสวรรค์ยับยั้งการไว้ทุกข์ บรรดาขุนนางในราชสำนักและวงการบัณฑิตต่างก้าวออกมากล่าวหาว่าจางจวีเจิ้งกระทำขัดต่อหลักคุณธรรม ควรจะกลับบ้านเกิดไปไว้ทุกข์แสดงความกตัญญู

วาจานี้กล่าวได้ดูมีเหตุผลยิ่งใหญ่ แต่ทั้งห้าคนที่กล่าววาจานี้คงอ่านหนังสือจนสมองตายไปหลายส่วน หรือว่าออกหน้าแทนขุนนางใหญ่ใด หรือว่าการออกมากล่าววาจาน่ำตกใจก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตนเอง ผู้ใดก็ย่อมไม่รู้ในเรื่องนี้

ทว่าทั้งห้าคนนี้ก็โชคร้ายอย่างที่สุด ตำแหน่งถูกปลด จากนั้นก็เนรเทศไปไกล หายไปจากวงการโดยสิ้นเชิง

แต่เพราะสวรรค์ลิขิต จางจวีเจิ้งอยู่ ๆ มาป่วยตายในยามกำลังรุ่งเรืองได้ คำกล่าวว่า ‘เมื่อคนจากไป น้ำชาเย็นชืด’ ดังนั้นเมื่อจางจวีเจิ้งจากไป จางซื่อเหวยขึ้นตำแหน่ง ในเมืองหลวงก็มีกระแสว่าจางซื่อเหวยจะแก้ไขสิ่งผิด มีข่าวว่าจะปรับแก้ทุกอย่างที่พลาดไปแล้วในสมัยจางจวีเจิ้ง ฎีกาเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ทุกคนเพิ่งรู้ว่าตอนที่กัวเหวยเสียนยื่นฎีกาเสนอ ในวังก็มีคำสั่งจัดการกัวเหวยเสียนเรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการว่า ‘สมคบคิดเพื่อประโยชน์ส่วนตน’ ลดตำแหน่งสองขั้นไปเป็นนายอำเภอเจียงซาน นายอำเภอเจียงซานนั้นเป็นขุนนางท้องถิ่นเล็ก ๆ

กรมสอบสวนเป็นขุนนางบัณฑิตชิงหลิวในวัง มีความเป็นไปได้ว่าจะก้าวไกลในวงการขุนนาง การต้องย้ายไปเป็นขุนนางท้องถิ่นเล็กๆ ชีวิตนี้ย่อมสิ้นหวังแล้ว ส่วนเรื่องเงินนอกระบบน้ำร้อนน้ำชาเรียกได้ว่าไม่มี ขุนนางที่วันๆ หวังแต่ได้เลื่อนตำแหน่ง การถูกลดมาเป็นนายอำเภอนั้นจึงนับว่าเป็นการลงโทษที่โหดร้ายอย่างที่สุด

เมื่อถูกจัดการเช่นนี้ บรรดาขุนนางบัณฑิตที่คิดจะเคลื่อนไหวก็เงียบกริบ เจตนาของกัวเหวยเสียนเป็นเช่นไรทุกคนไม่อาจรู้ได้ แต่คนภายนอกมองมาแล้ว ก็รู้ว่าเป็นสัญญาณหนึ่ง เป็นการลองเชิงดูว่า เมื่อจางจวีเจิ้งจากไป ราชสำนักจะไปในทิศทางใด ตอนนี้ทุกคนได้คำตอบแล้ว

การปฏิเสธผลงานจางจวีเจิ้งในตอนนี้ไม่ว่าเรื่องใดก็สะเทือนถึงไทเฮาฉือเซิ่งและหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์เฝิงเป่า แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ยังทรงกริ้วหนักในเรื่องนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดเห็นด้วย

จัดการลงโทษไปหนัก ทำให้บรรดาขุนนางใหญ่ในราชสำนักตกใจกันอย่างมาก เรื่องกัวเหวยเสียนเป็นสัญญาณบางอย่าง เห็นได้ว่ามีคนคิดหาเรือกับพรรคพวกฝ่ายจางจวีเจิ้ง

รองเจ้ากรมปกครองฝ่ายซ้ายหวังจ้วนผู้เป็นเครือญาติจางจวีเจิ้งและเสนาบดีกรมโยธาเจิงสิ่งอู๋ที่เพิ่งแต่งตั้งมาในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 9 สองคนล้วนเป็นคนสนิทจางจวีเจิ้ง และยังเป็นระดับหัวหน้าในฝ่ายจางจวีเจิ้ง หลังจากในวังจัดการเช่นนี้ ก็ไปเยี่ยมเยือนรองมหาอำมาตย์คนปัจจุบัน เสนาบดีกรมพิธีการเซินสือหัง

ไม่ว่าประวัติส่วนตัวหรือตำแหน่งหรือว่าความสนิทกับจางจวีเจิ้ง มหาอำมาตย์จางซื่อเหวยในตอนนี้เหนือว่ารองมหาอำมาตย์เซินสือหัง แต่พรรคพวกจางจวีเจิ้งกลับไปหาเซินสือหังเพื่อหารือในหลายเรื่อง

ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้ล้วนไม่ใช่คนโง่ ทุกคนมองออกว่า จางซื่อเหวยมีท่าทีผิดปกติตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนจางจวีเจิ้งจากไป

หากสืบไปต้นทาง ทุกคนยังจำได้ว่า ปีนั้นจางซื่อเหวยเป็นคนสนิทของกาวก่ง เพราะว่ากาวก่งเป็นคนเสนอให้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งศูนย์กลางขุนนางในวันนี้

กาวก่งกดเฝิงเป่าและจางจวีเจิ้งเอาไว้ ต่อมาถูกเฝิงเป่ากับจางจวีเจิ้งร่วมกันโค่นล้ม ก่อนกลับไปตายที่บ้านเกิด จางซื่อเหวยหันมาแกว่งหางเข้าหาจางจวีเจิ้งแทน กอปรกับเดิมก็มีความสามารถอยู่แล้ว จึงได้ค่อยๆ ก้าวสู่ตำแหน่งนี้

แต่ตอนนี้ เมื่อเรื่องทุกอย่างกระจ่าง มองไปทางคำวิพากษ์วิจารณ์บรรดาขุนนางบัณฑิตเมืองหลวงในตอนนี้ ผู้คนก็ไม่อาจไม่ป้องกันคนผู้นี้ กลับกัน เซินสือหังที่พูดจาน้อยกลับได้รับความไว้วางใจจากทุกคนมากกว่า

*************

เดือนเจ็ดในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 มหาอำมาตย์จางซื่อเหวยยับยั้งฮ่องเต้มิให้แต่งตั้งหวังทงเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร หากยังให้นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังชุนและหลัวซิ่วเฉาขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญในสำนักองครักษ์เสื้อแพรอีกด้วย

ยับยั้งหวังทงขึ้นตำแหน่งเป็นความเห็นร่วมกันของบรรดาขุนนางบุ๋น เรื่องนี้ทุกคนย่อมเห็นชอบ เลื่อนตำแหน่งให้นายกองพันสองคนในสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด

แต่ทว่าวันที่ 27 เดือนเจ็ด จางซื่อเหวยเสนอให้หวังหลินเป็นรองเจ้ากรมทหารฝ่ายซ้ายเพื่อจัดระเบียบกองกำลัง กองกำลังเมืองหลวงเป็นเรื่องสำคัญ ต้องได้รับความเห็นชอบจากบรรดาชนชั้นสูงและขุนนาง แต่ความจริงขุนพลที่มาจากชนชั้นสูงนั้นอำนาจน้อยมากเพราะคนกุมอำนาจตัวจริง ก็คือขันทีและขุนนางบุ๋น จัดระเบียบกองกำลังนั้นความจริงก็คือกุมอำนาจนั่นเอง

การได้ตำแหน่งนี้ก็เท่ากับได้กุมกำลังหลักของเมืองหลวงเกือบทั้งหมด การกระทำนี้ ขุนนางบุ๋นทั้งหลายย่อมไม่อาจนั่งมองดูเฉยอยู่ได้ วันที่ 2 เดือนแปด ในวังมีราชโองการเลื่อนให้หวังหลินเป็นเสนาบดีกรมโยธาประจำหนานจิง

ตามการบริหารจัดการในราชวงศ์หมิง เมืองหนานจิงก็มีหกกรมเช่นเมืองหลวง หากนอกจากตำแหน่งเสนาบดีกรมทหารประจำหนานจิงที่มีอำนาจเต็มแล้ว ที่เหลือก็แค่ตำแหน่งลอยๆ

รองเจ้ากรมได้เลื่อนเป็นเสนาบดี ดูเหมือนได้เลื่อน หากความจริงจากการกุมอำนาจทหารในเมืองหลวง ถูกเตะออกไปนั่งตำแหน่งตบยุงโดยแท้

เหตุใดมหาอำมาตย์ต้องรีบร้อนกุมกำลังเมืองหลวง คิดโยงไปถึงช่วงก่อนหน้าที่กัวเหวยเสียนยื่นฎีกาก่อนหน้า ทุกคนก็เริ่มเคร่งเครียดกันขึ้นมา ตำแหน่งจางซื่อเหวยย่อมไม่เป็นดังหวัง เรื่องนี้บอกได้ชัดเจนประการหนึ่ง มหาอำมาตย์จางซื่อเหวยในตอนนี้คงเป็นตำแหน่งที่มีแต่ชื่อ

***********

หลังว่านลี่ครองราชย์ เฝิงเป่าก็เป็นหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์ควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักบูรพา ยังควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ ร่วมกับไทเฮาฉือเซิ่งและมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งเป็นสามขั้วอำนาจ กุมอำนาจบริหารแผ่นดิน ฮ่องเต้ว่านลี่พบเฝิงเป่ายังต้องเรียกว่า ต้าปั้น ไม่อาจเรียกชื่อได้ตรงๆ

จางจวีเจิ้งล้มป่วยจากไปกะทันหัน ขั้วอำนาจทั้งสามก็ย่อมสลายไป เฝิงเป่าไม่มีแรงช่วยเหลือจากขุนนางในราชสำนัก สถานะในวังในก็ย่อมไม่มั่นคง

ทว่าตอนนี้ การปรากฏขึ้นของจางซื่อเหวย ทำให้เขาไม่เพียงแต่เป็นมหาอำมาตย์ ยังยินยอมคงฐานอำนาจแบบเมื่อก่อนเอาไว้ ไทเฮา เฝิงเป่ากับมหาอำมาตย์พึ่งพากัน ทว่าอำนาจเหล็กไหลสามมุมนี้ไม่อาจเป็นแบบเมื่อก่อน บารมีจางซื่อเหวยยังไม่อาจเทียบเท่ากับจางจวีเจิ้งในตอนนั้นได้

ฐานอำนาจสามมุมนี้สร้างขึ้นมา เห็นได้ว่าบารมีและอิทธิพลของไทเฮาและเฝิงเป่าจะมากกว่าสมัยจางจวีเจิ้งเป็นมหาอำมาตย์

อยู่บนอำนาจระดับสูงมานาน คนมักจะสูญเสียการไตร่ตรองความประพฤติตนเองไป เฝิงเป่าเป็นหัวหน้าสำนักสำนักส่วนพระองค์เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในวังมาสิบปี เห็นตำแหน่งมหาอำมาตย์ของจางซื่อเหวยไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าไร แต่ตำแหน่งอันดับหนึ่งของเฝิงเป่าจะต้องดำรงต่อไป ท่าทีในใจก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

เฝิงเป่าตอนนี้เป็นถึงมหาขันทีอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์หมิง อำนาจบารมีถึงขีดสุด ที่ควรมีล้วนมีพร้อม ถึงกับที่ไม่ควรมีก็มี

ตามระเบียบแห่งแผ่นดินหมิง หัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์ไม่อาจควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักบูรพา เพราะสองตำแหน่งนี้ล้วนมีอำนาจอย่างที่สุด หากอยู่ในอำนาจคนๆ เดียวย่อมเสียสมดุล และตำแหน่งที่ไม่อาจให้อยู่ในมือคนๆ เดียวได้ก็คือ ตำแหน่งในการออกเอกสารทางการหรือตำแหน่งที่มีผลต่อการลงโทษหรือปูนบำเหน็จ หากถูกคนๆ เดียวกุมอำนาจไปแล้ว ก็ย่อมสูญเสียสมดุลเช่นกัน ไม่มีผู้ใดสามารถรับความเสี่ยงนี้ได้ แต่เฝิงเป่ากลับกุมตำแหน่งทั้งสองนี้เอาไว้หมด บารมียิ่งใหญ่เกรียงไกร หากมองจากบางมุมแล้ว เขาเหมือนว่าเหนือว่ามหาขันทีหลิวจิ่นในสมัยฮ่องเต้เจิ้งเต๋อที่มีชื่อเสียงเสียอีก เพียงแต่เพราะว่ามีบารมีจางจวีเจิ้งในราชสำนักที่มากกว่า สายตาใต้หล้าจึงเบนไปที่จางจวีเจิ้งมากกว่า จึงไม่ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์โจมตีอันใด

คนมักไม่เคยพอ พอทำได้อย่างก็มักจะคิดก้าวหน้าไปอีกอย่าง เป็นขุนนางราชสำนักมาถึงขั้นนี้ ไม่มีตำแหน่งเหนือขึ้นไปอีกแล้ว เฝิงเป่าต้องการบรรดาศักดิ์

บรรดาศักดิ์ติดตัวย่อมเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แต่ทว่าขันทีหากมีบรรดาศักดิ์ ในสายตาขุนนางบัณฑิตกลับเป็นพวกคนเลวตัวยง เป็นโจรชั่วแห่งแผ่นดิน ในประวัติศาสตร์ขันทีที่ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ล้วนถูกเรียกว่าขันทีชั่ว ถูกขุนนางบัณฑิตทั้งหลายเขียนบทความด่าทอ

เมื่อมีรอยล้อรถดำเนินเป็นแบบอย่างแล้ว คนเช่นเฝิงเป่าก็ย่อมไม่ควรดำเนินรอยตาม แต่หากเฝิงเป่าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขามั่นใจในตัวเองมาก เฝิงเป่ารู้สึกว่าตนเองเป็นผู้มีคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดินหมิง ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ก็ย่อมเป็นเรื่องสมควร ใต้หล้าย่อมไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์

เรื่องแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ ก็ย่อมให้คณะเสนาบดีพิจารณาตามธรรมเนียม ไทเฮาฉือเซิ่งย่อมไม่ขัดขวางการกระทำเช่นนี้ของเฝิงเป่า ขอเพียงคณะเสนาบดียอมอนุมัติเป็นพอ

เฝิงเป่าติดต่อจางซื่อเหวย ให้จางซื่อเหวยดำเนินการในเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้เป็นที่ต่อสู้กันภายนอกราชสำนักมาอย่างดุเดือดแล้ว จางซื่อเหวยไม่อาจทำการใดที่จะเปิดโอกาสให้ผู้อื่นนำมาเป็นเรื่องในภายหลังได้เด็ดขาด

จางซื่อเหวยอยู่ในวงการขุนนางมานาน ย่อมรู้ดี หากตนเองเสนอบรรดาศักดิ์ให้เฝิงเป่า ก็ย่อมถูกฝ่ายตรงข้ามในราชสำนักนำมาเล่นงานได้ บรรดาขุนนางย่อมพากันยื่นฎีกามายังกลางราวกับห่าหิมะ บรรดาขุนนางบัณฑิตใต้หล้าย่อมร่วมกำลังมุ่งมาจัดการตน ตนเองย่อมกลางเป็นพรรคพวกเดียวกับโจรชั่ว

ตระกูลจางซื่อเหวยเป็นพ่อค้ามีเงินทองมหาศาล ทุกครั้งที่เขาได้เลื่อนตำแหน่งก็ล้วนเกี่ยวข้องกับการส่งมอบของขวัญไปยังหน่วยงานต่างๆ แต่การมอบของขวัญเพื่อปฏิเสธครานี้กลับเป็นการล่วงเกินเฝิงเป่า

ในวังไม่มีความลับ กลางเดือนแปด แต่ละแห่งในเมืองหลวงก็เริ่มมีข่าวสะพัดว่าจางซื่อเหวยส่งของขวัญให้เฝิงเป่า มีชิ้นหนึ่งเป็นโคมไฟคริสตัลที่ซื้อมาจากเทียนจินราคำสามพันตำลึง สูงค่าอย่างมาก คนมอบยังตั้งใจห่อด้วยผ้าแพรทองต่างหาก กลับถูกเฝิงเป่าเขวี้ยงลงพื้นแตกกระจาย ด่าว่า

“หากไม่มีข้า จางซื่อเหวยจะมีวันนี้ได้อย่างไร คิดไม่ถึงว่าจะลืมบุญคุณเช่นนี้!!”

ท่าทีของหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์เฝิงเป่ารู้ไปถึงพวกฝ่ายตรงข้ามจางซื่อเหวย รองเจ้ากรมปกครองฝ่ายซ้ายหวังจ้วนกับเสนาบดีกรมโยธาเจิงสิ่งอู๋ก็รีบส่งของขวัญสูงค่าไปขอพบเฝิงเป่า

วันที่ 21 เดือนแปด ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 หยางอิ๋นชิวเจ้ากรมสอบสวนประจำยูนนานก็ยื่นฎีกาเสนาบดีกรมปกครองเหลียงเมิ่งหลงว่ามีความผิดฐานเบียดบังหลวงและกระทำเรื่องน่าบัดสีชู้สาว

เสนาบดีกรมปกครองเหลียงเมิ่งหลงแม้ว่าเป็นศิษย์ของจางจวีเจิ้ง แต่พอจางซื่อเหวยขึ้นสู่ตำแหน่ง เขาก็ร่วมขบวนการเลื่อนตำแหน่งขุนนางคนอื่นไปด้วย เขาล้วนให้ความร่วมมืออย่างดี ผู้คนเห็นว่าเขาเป็นผู้ทรยศต่อจางจวีเจิ้งไปนานแล้ว……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!