ตอนที่ 638 เดิมเป็นกลุ่มท่านจางเหมือนกัน
เสนาบดีกรมปกครองเหลียงเมิ่งหลงขึ้นสู่ตำแหน่งไม่ถึงสามเดือน อยู่ ๆ ถูกยื่นฎีกาว่ายักยอกเงินไปสองหมื่นกว่าตำลึงมีหลักฐานชัด เรื่องบัดสีชู้สาวก็คือการรับสาวงามจากลูกน้องที่นำมาบรรณาการไว้
ขุนนางใหญ่เมืองหลวงผู้ใดไม่ทำเช่นนี้ เงินสองหมื่นกว่าตำลึงจำนวนนี้พูดออกไปคงมีแต่คนหัวเราะขำ เรื่องบัดสีชู้สาวนี้ก็ยิ่งน่าขัน หากว่าเรื่องเช่นนี้ทำไม่ได้ ผู้ใดจะเป็นขุนนางได้บ้าง
แต่เรื่องนี้ไม่อาจนำมาพูดกันเปิดเผยได้ การนำเรื่องเช่นนี้มายื่นฎีกาก็ย่อมเป็นความผิดมหันต์ของผู้เกี่ยวข้อง
ฎีกานี้ส่งมาตามกระบวนการอย่างรวดเร็ว มาตั้งอยู่บนโต๊ะหนังสือในห้องทรงอักษรของฮ่องเต้ว่านลี่ การได้เห็นความฟุ่มเฟือยของบรรดาขุนนางมักทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่นึกถึงจวนจางจวีเจิ้งยามที่ทรงไปเยี่ยมในครานั้น สีพระพักตร์ดำคล้ำลงทันที จางเฉิงข้าง ๆ ก้มถวายบังคมอธิบายว่า
“เฝิงกงกงเห็นว่าเหลียงเมิ่งหลงเป็นขุนนางใหญ่หากไม่รู้จักประพฤติตนในกรอบ ควรลงโทษหนัก”
ฮ่องเต้ว่านลี่โยนฎีกาลงบนโต๊ะก่อนจะตรัสสุรเสียงเรียบว่า
“ลงความเห็นแทนเราก็แล้วกัน ทำให้ราชสำนักเสื่อมเสีย เห็นแก่เป็นขุนนางใหญ่ จึงให้ปลดตำแหน่งกลับบ้านเกิด”
จางเฉิงรีบหยิบพู่กันมาเขียนลงไป ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่แม้แต่จะมอง ปิดฎีกาทันที ก่อนจะหยิบกระดาษอีกทางมาสองสามแผ่น ประทับพิงที่ประทับอ่านขึ้น ท่าทางสบายอารมณ์ยิ่ง
“ทางหวังทงนี่ดูดีกว่าเยอะ ขึ้นเรือออกทะเลไปปราบรังโจรสลัด สังหารราบคาบ ชิชะ ยอดเยี่ยมจริง จางปั้นปั้น หวังทงยังเล่าเรื่องการงานมากมายที่เทียนจิน ไม่อาจจัดการได้ในเวลาอันสั้น อาจจะต้องรอถึงปีหน้าจึงจะมารับหน้าที่ที่เมืองหลวงได้ ……ท่านว่าหวังทงไม่พอใจตำแหน่งรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหรือไม่?”
ได้ยินเช่นนี้ ในใจจางเฉิงก็ตกใจ รีบก้มหน้าลงถวายคำนับทูลว่า
“ฝ่าบาททรงคิดมากไปแล้ว หวังทงหากไม่พอใจ จะยอมอยู่เทียนจินนานเพียงนี้ได้อย่างไร และยังทำเพื่อฝ่าบาทมากมายเพียงนี้อีก อีกอย่าง เทียนจินเป็นพื้นที่ทหาร มีท่าเรืออีก แต่ละแห่งเต็มไปด้วยการค้า หลายเรื่อง หลายอย่างต้องจัดการ จะจัดการให้เสร็จในเวลาอันสั้นไม่ทันนั้นก็ย่อมเป็นได้”
หากในใจจางเฉิงคิดว่าหวังทงคงมีความไม่พอใจอยู่บ้าง เหตุการณ์สังหารวันที่ 19 เดือนหกนั้น จางเฉิงตอนนี้ก็ยังจำได้แม่นยำไม่ลืม นายทหารหนุ่ม 11 คนรับมือกับองครักษ์และขันทีหลายร้อยรุมล้อมโจมตี ตายไปหนึ่งบาดเจ็บห้า แม้ไม่ได้เห็นเหตุการณ์สังหารด้วยตนเอง แต่ในห้องก็ได้ยินเสียงสังหารและร้องโหยหวนด้านนอกชัดเจน เสียงปืนดัง การต่อสู้ดุเดือดจบลงจึงได้ออกไปดู กลิ่นคาวเลือดและดินปืนคลุ้งไปทั่ว ในลานมีแต่ศพซ้อนกันเป็นชั้นๆ ล้วนแสดงให้เห็นว่าผ่านการต่อสู้มาอย่างดุเดือด
อารักขาฝ่าบาทอย่างไม่เกรงกลัวความตาย ความดีความชอบเช่นนี้ แต่งตั้งบรรดาศักดิ์โหวก็ย่อมได้ ปรากฏว่าทรงรับปากให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็ทำไม่ได้ สุดท้ายได้แค่รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ไม่ว่าใครก็ย่อมไม่พอใจ
แต่จางเฉิงย่อมต้องกล่าวเช่นนี้ หวังทงเป็นพรรคพวกเดียวกันที่ช่วยส่งเสริมได้ดี ต้องปกป้องไว้ให้ดี
ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ก่อนจะถอนหายใจตรัสว่า
“เป็นเราเองที่ไม่ดี หวังทงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจทุ่มเท ……จางปั้นปั้น สถานการณ์ตอนนี้ ควรปล่อยให้พวกหวังจ้วนสู้กับพวกจางซื่อเหวยใช่หรือไม่!?”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา สำนักรักษาความสงบและสำนักบูรพาล้วนมีข่าวว่า ตอนนี้พวกขุนนางเมืองหลวงเริ่มรวมตัวกันเคลื่อนไหว แม้เหลียงเมิ่งหลงที่จางจวีเจิ้งส่งเสริมขึ้นมา แต่ระยะนี้ก็ไปสนิทกับจางซื่อเหวย การยื่นฎีกาครานี้ เกรงว่าคงเริ่มต้นแล้ว”
“แล้วแต่พวกเขาละกัน เสด็จแม่กับเฝิงต้าปั้นคิดเห็นเช่นไรก็ตามนั้น เราขอดูความสนุกอยู่ห่างๆ ก็แล้วกัน!”
จางเฉิงรีบถวายคำนับ ถอนหายใจเบา ๆ พระทัยฮ่องเต้เริ่มไม่ทรงพอพระทัยเช่นกัน!
***********
วันที่ 23 เดือนแปดในวังมีราชโองการ เสนาบดีกรมปกครองเหลียงเมิ่งหลงกระทำผิดมหันต์ เห็นแก่ที่เป็นขุนนางใหญ่สร้างความดีความชอบมาก่อน จึงทรงพระเมตตาให้ปลดจากตำแหน่งและกลับบ้านเกิด
การจัดการเช่นนี้ สำหรับพวกจางซื่อเหวยแล้วเรียกได้ว่าตกที่นั่งลำบาก ผู้ใดย่อมรู้จักตีเหล็กเมื่อร้อน วันที่ 25 เดือนแปด ขุนนางกรมสอบสวนเฉาอีขุยยื่นฎีกามาอีกว่า เสนาบดีกรมปกครองเหลียงเมิ่งหลงสมคบคิดกับมหาอำมาตย์จางซื่อเหวย รับญาติผู้น้องจางซื่อเหวยนามว่าหวังเชียนมาเป็นนายกองในกรมปกครอง
การได้ตำแหน่งในกรมปกครองนั้น หากจบจากตำแหน่งนี้ก็จะได้ไปเป็นตำแหน่งอื่นที่ราวกับก้าวกระโดด ในวังจึงจัดการให้ปลดตำแหน่งหวังเชียน แต่ก็ยังตำหนิเฉาอีขุยว่าใส่ร้ายมหาอำมาตย์
การจัดการเป็นขั้นตอนติด ๆ กันของราชสำนัก แสดงท่าทีชัดเจน แม้ว่าในวังส่งขุนนางไปปลอบใจจางซื่อเหวยว่าคนในวังคิดว่าเขาไม่เกี่ยวข้อง แต่จางซื่อเหวยยังคงยื่นฎีกาขอลาออกจากตำแหน่ง ในเรื่องนี้ ในวังย่อมไม่เห็นชอบ จึงยับยั้งไว้หลายทาง จางซื่อเหวยก็ยังยืนกราน ในวังส่งคงไปยับยั้งอีกหลายครา
ในยามนี้เอง ขุนนางกรมสอบสวนแห่งซานซีจางเวิ่นต๋าก็ยื่นฎีกากล่าวหาจางซื่อเหวย ชี้ข้อบกพร่องมากมายว่าคนผู้นี้ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งมหาอำมาตย์ และยังเปิดโปงการรับสินบนของจางซื่อเหวยอีกหลายเรื่อง
ฎีกานี้และปฏิกิริยาในวังทำให้พรรคพวกฝ่ายจางจวีเจิ้งตกใจ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงกริ้วหนัก ลดตำแหน่งจางเวิ่นต๋าไปประจำที่ฮกเกี้ยน
เสนาบดีกรมปกครองหวังจ้วนกับเสนาบดีกรมโยธาเจิงสิ่งอู๋ได้ข่าวมาว่า จางซื่อเหวยส่งของขวัญล้ำค่าให้เฝิงเป่า ว่ากันว่าเป็นหมึกดำของช่างทำหมึกมีชื่อที่หาค่าไม่ได้หลายชิ้น เฝิงเป่าเชี่ยวชาญการเขียนพู่กัน ของขวัญนี้ย่อมเป็นที่ถูกใจ เรื่องในวังหลวงอย่างไรเฝิงกงกงก็ยังคงพึ่งพาได้
จางเวิ่นต๋าถูกลดตำแหน่ง จางซื่อเหวยกลับถวายฎีกาว่าถูกใส่ความ บอกว่าจางเวิ่นต๋าแค่ฟังจากคำลือ ไม่ต้องทรงลงทัณฑ์ แต่คนที่มองออกก็รู้ว่าเป็นการเล่นละครหลอกไปอย่างนั้น จางเวิ่นต๋ายังคงต้องออกจากเมืองหลวงไปในเดือนเก้า
ท่าทีในวังครานี้ทำให้พรรคพวกจางจวีเจิ้งผ่อนจังหวะการโจมตีจางซื่อเหวยลง มหาอำมาตย์จางซื่อเหวยก็ทำตัวเงียบกริบ ไม่เคลื่อนไหวใหญ่ เพียงแค่เลื่อนตำแหน่งให้ขุนนางสองคน
เลื่อนให้กับหยางจวิ้นหมินจากซานตงเป็นรองเจ้ากรมฝ่ายขวาแห่งกรมทหาร และให้หลี่จื๋อไปเป็นขุนนางสอบสวนแห่งเจียงซี รองเจ้ากรมฝ่ายขวาแห่งกรมทหารเป็นขุนนางระดับสาม จัดการกิจการในกรมทหาร ขุนนางสอบสวนจากกรมสอบสวนประจำซานซีก็ระดับเจ็ด กรมสอบสวนคนเป็นร้อย ตำแหน่งนี้ก็ไม่มีอันใดพิเศษ
แต่ทว่าหยางจวิ้นหมินเป็นเสนาบดีกรมทหารในสมัยฮ่องเต้หลงชิ่งมาก่อน บุตรชายของเสนาบดีกรมปกครอหยางป๋อ เป็นคนเมืองผูโจว มณฑลซานซี บ้านเดียวกับจางซื่อเหวย สนิทกับน้าชายจางซื่อเหวยตอนตับตำแหน่งอยู่ที่ซานซี คนเช่นนี้ย่อมเป็นพรรคพวกของจางซื่อเหวย
นอกจากหลี่จื๋อที่ขึ้นรับตำแหน่งใหม่ เมืองหลวงก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาเป็นลูกศิษย์คนสนิทของจางซื่อเหวย การจัดคนสนิทเข้าดำรงตำแหน่งนี้ วันหน้าจะทำจะพูดอันใดก็ย่อมสะดวก
สถานการณ์ตอนนี้ พรรคพวกจางจวีเจิ้งเริ่มออกมาเคลื่อนไหว แม้จางซื่อเหวยจะมีสภาพไม่ดีนัก แต่อย่างไรก็เอาอยู่ ตอนนี้ต้องการคนมาเป็นแรงผลักดันในเรื่องนี้ เซินสือหังที่พวกหวังจ้วนและเจิงสิ่งอู๋เห็นว่าเป็นผู้นำหลังจากจางจวีเจิ้งจากไปก็ยังไม่คงไม่มีท่าทีอันใด
************
วันที่ 7 เดือนเก้าใบไม้เริ่มเป็นสีเหลือง ฤดูใบไม้ร่วงในเมืองหลวงค่อยๆ เด่นชัดขึ้น พอจบการประชุมขุนนาง หวังจ้วนกับเจิงสิ่งอู๋ก็รีบจัดการการงานตนให้เรียบร้อยก่อนจะพากันไปยังจวนเซินสือหัง
“ท่านเสนา หากจางซื่อเหวยอยู่ในตำแหน่ง และทำตามอำเภอใจครั้งแล้วครั้งเล่า ทำลายระเบียบที่ท่านจางวางเอาไว้ หมด พวกเราล้วนย่อมตายไร้ที่ฝังกันหมด!”
“ท่านเสนาเป็นรองอำมาตย์ ที่จริงควรได้เป็นมหาอำมาตย์ เป็นที่ไว้วางพระทัยของฝ่าบาท ไม่ต้องให้ท่านเสนาออกปาก ให้บรรดาขุนนางออกหน้าถวายฎีกา…”
หวังจ้วนและเจิงสิ่งอู๋กล่าววาจาหนักแน่น แต่เซินสือหังก็ยังคงไม่แสดงท่าที ทุกคนคุยกันอยู่นาน ก็รู้นิสัยของเซินสือหังว่าเขานั้นไม่ได้ตั้งใจปฏิเสธ แต่เพราะปกติทำงานก็รอบคอบ หากก็ได้กล่าวไปอย่างหนักแน่นให้เห็นถึงข้อดีข้อเสียชัดแล้ว เซินสือหังยามนี้ไม่แพ้อันดับหนึ่ง ย่อมไม่อาจไม่เคลื่อนไหว
ทุกอย่างล้วนกล่าวไปหมดแล้ว สองคนก็ขออำลา ในบรรดาพรรคพวกจางจวีเจิ้งที่มาหาถึงที่ไม่เพียงแต่เขาสองคน ตอนนี้ยังมีเวลา พวกเขาก็ยังไม่เร่งรีบนัก
แต่พอพวกเขาก้าวขาออกจากประตู เซินสือหังก็เดินจากโถงรับแขกเข้าห้องหนังสือ มีแขกคนหนึ่งรออยู่ สีหน้าจริงขังเดินเข้าไปในห้อง พอเห็นคนผู้นั้นก็ลุกขึ้นคำนับก่อน
“รองเจ้ากรมหลี่ว์ไม่ต้องมากพิธี เมื่อห้าวันก่อนส่งจดหมายไปให้หยางซือเฉิน กำลังรอจดหมายตอบกลับ”
เมืองหลวงเกิดการเปลี่ยนแปลง เจ้ากรมใหญ่ศาลซุ่นเทียนหวงเซินไม่อาจอยู่ในตำแหน่งต่อได้ รองเจ้ากรมเฉินจื้อจงจะขึ้นรักษาการชั่วคราว หลี่ว์วั่นไฉที่สร้างความชอบใหญ่ก็ได้เลื่อนเป็นรองเจ้ากรมอย่างไม่รู้ตัว และยังได้ควบตำแหน่งเจ้าหน้าที่สืบคดีอีกด้วย
บัณฑิตระดับจวี่เหรินสามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้ สำหรับประวัติราชวงศ์หมิงแล้วก็นับว่าหาได้ยาก คนนอกคิดว่าหากไม่ใช่เหตุการณ์จลาจลนั้น เขาย่อมไม่อาจก้าวมาถึงขั้นนี้ได้
ด้วยสถานะหลี่ว์วั่นไฉเข้าพบเซินสือหัง โขกศีรษะก็นับว่าเป็นการคำนับที่ควรมี แต่ท่าทีเซินสือหังกลับเกรงใจอย่างมาก รอจดหมายตอบกลับของหยางซือเฉิน ทุกคนรู้ดีว่าพูดถึงเรื่องใด หลี่ว์วั่นไฉในชุดขุนนางบุ๋นนั่งอยู่กล่าวอย่างแปลกใจว่า
“อ่อ หรือว่าท่านหยางทางนั้นเกิดเรื่อง ไม่ทันได้ตอบจดหมาย ที่มาครั้งนี้เพราะได้ยินข่าวลือในหมู่ชาวบ้าน จึงมาเล่าให้ใต้เท้าฟัง”
เซินสือหังสายตาแปลกใจ หันไปกล่าวว่า
“รองเจ้ากรมหลี่ว์บอกว่าข่าวลือในหมู่ชาวบ้าน พวกเจ้าไม่ต้องอยู่ฟังต่อแล้ว ออกไปให้หมด!”
คนรับใช้ในห้องล้วนรู้ความพากันออกไป ยังปิดประตูให้ด้วย หนึ่งนั้นเป็นรองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน อีกหนึ่งเป็นรองอำมาตย์ในรัชกาลปัจจุบัน พบหน้ากันในห้องหนังสือเพื่อคุยเรื่องข่าวลือ ผู้ใดก็ไม่อาจเชื่อ แต่ผู้ใดก็ย่อมไม่พูดออกมา”
“……ข่าวลือว่า วันหนึ่งฝ่าบาทตรัสกับในวังว่าตอนนี้เกิดเหตุแย่งชิงการเมือง ฝ่าบาทตรัสว่า ในราชสำนัก ผู้ใดก็ไม่ชอบ แต่ล้วนเป็นคนจางจวีเจิ้ง เห็นแล้วไม่พอพระทัย ให้จางซื่อเหวยสู้ไปเอง……”
กล่าววาจานี้ออกมา ช่างเป็นการลบหลู่เบื้องสูง แต่สีหน้าเซินสือหังยังคงนิ่ง ถอนหายใจยาว ลุกขึ้นคำนับหลี่ว์วั่นไฉอย่างนอบน้อม หลี่ว์วั่นไฉรีบลุกขึ้น ตามมาด้วยโบกมือกล่าวว่า
“มิกล้าๆ ……”
*************
วันที่ 8 เดือนเก้า เซินสือหังอยู่ๆ ล้มป่วยเป็นหวัด ต้องพักรักษาตัว ไม่ให้ใครเข้าพบ ฮ่องเต้ว่านลี่ส่งคนในวังไปสอบถามอาการ บรรดาขุนนางต่างพากันตกตะลึง นี่มันเวลาอันใดแล้ว เป็นเวลาป่วยที่ไหนกัน เซินสือหังไม่สนใจอันใดแล้วใช่หรือไม่?
เมืองหลวงเงียบสงบมาได้ 15 วัน วันที่ 23 เดือนเก้า ผู้ตรวจการหวังจี้เซียนถวายฎีกาฟ้องเสนาบดีกรมโยธาเจิงสิ่งอู๋รับสินบน ทำเรื่องผิดชู้สาว ความผิดอื่นนับสิบกระทง
ฮ่องเต้ว่านลี่กริ้วหนัก จัดการไปแบบเมื่อหนึ่งเดือนก่อนที่จัดการเสนาบดีกรมปกครองเหลียงเมิ่งหลง ให้กลับบ้านเกิด…
จางซื่อเหวยเริ่มตอบโต้แล้ว