Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 654

ตอนที่ 654 เจอขโมย

“เจ้านี่วางท่าทางใหญ่โตเช่นนี้ วันหน้าต้องเป็นเฉียนหนิง[ 1 ]แน่ๆ”

พอทุกคนเห็นขบวนคาราวานหวังทงค่อยๆ ห่างออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าอวี๋จี้หย่งนายกองตรวจการแห่งเทียนจินพลันมลายหายไป ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าคลั่งแค้น

สวีกว่างขันทีกองเสบียงประจำเทียนจินข้างๆ ก็กล่าวอย่างแค้นใจว่า

“หวังทงได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะต้องทำราชสำนักวุ่นวาย ทำลายแผ่นดินหมิงเรา!!”

อวี๋จี้หย่งถูกส่งมาเทียนจินก็เพราะสายสัมพันธ์กับอิ๋วชี ส่วนสวีกว่างนั้นเป็นสายสัมพันธ์ของเฝิงเป่า ตอนนี้จางจวีเจิ้งจากไปแล้ว เฝิงเป่าก็ถูกขับออกจากเมืองหลวง เขาสองคนกลายไปพวกหลักลอยไร้ที่พึ่งแล้ว

แม้ว่าได้สานสายสัมพันธ์กับนายใหม่ที่เมืองหลวงแล้ว แต่ใครเล่าจะรู้ว่าได้ น่าขันทีสวีกว่างปีนั้นยังฝากตัวเป็นศิษย์เฝิงเป่า เฝิงเป่ามาเทียนจินครานี้ คนทั่วเทียนจินรู้หมด แต่เขากลับไม่สนใจไยดีแม้แต่น้อย

ตนเองถูกบีบเช่นนี้ หวังทงกลับรุ่งเรือง ไปเมืองหลวงครานี้ย่อมได้ทำงานใหญ่ สองคนเดิมก็ไม่ใช่คนดีมีศีลธรรมอันใด จะไม่ให้อิจฉาคลั่งแค้นได้อย่างไร

สองคนกล่าววาจาโกรธแค้นออกมา อวี๋จี้หย่งหันไปมอง ก็เห็นว่าขุนนางคนอื่นๆ จากไปไกลแล้ว จึงได้แค่นยิ้มกล่าวว่า

“สวีกงกง เมืองหลวงเป็นแหล่งรวมขุนนางบัณฑิต พวกเขาย่อมไม่นั่งดูขุนนางบู๊วางท่าทางใหญ่โตโดยไม่สนใจหรอก เห็นหวังทงวางท่าทางได้ใจเช่นนี้แล้ว ถึงเวลาโดนยื่นฎีกาเมื่อไร ย่อมเป็นการสั่งสอนเขาเสียบ้าง!!”

“ใต้เท้าอวี๋ช่างมีคุณธรรม!”

สวีกว่างยิ้มร่า ยกนิ้วโป้งกล่าวชม

**************

เดือนหนึ่ง เส้นทางหลวงเมืองหลวงไปเทียนจินยังคงแข็งไปด้วยน้ำแข็ง รถใหญ่เดินทาง ไม่ต้องกังวลว่าล้อลงจะจมลงดินให้เป็นที่ยุ่งยาก

แม้ว่าเป็นเช่นนี้ แต่รถใหญ่สี่ม้าลากเดินไปบนเส้นทาง ก็เห็นรอบล้อไม้ที่หุ้มด้วยโซ่บดทับเป็นรอยลึก เส้นทางนี้คนเดินทางไปมามาก วุ่นวายไปด้วยผู้คนมากมาย คนแต่ละประเภทล้วนมีมากมาย ร่องรอยล้อรถบดถนนเช่นนี้ คนที่เห็นก็วิเคราะห์ได้ว่าเป็นของที่หนักมาก

ขบวนเดินทางอลังการเช่นนี้ รถร้อยกว่าคัน หากได้ไปครอบครองล่ะก็ เกรงว่าชาตินี้คงกินใช้ไม่หมดแล้ว แต่เมื่อมองไปยังชายฉกรรจ์บนหลังม้าที่ท่าทางน่าเกรงขามคุ้มกันขบวนรถมา ยังมีธงผืนใหญ่โบกสะบัดบนเสาธงหน้าขบวน ใครคิดการใดก็ล้วนต้องสลัดความคิดทิ้ง

‘รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทง’ เห็นบนธงเขียนคำนี้แล้ว พวกที่เคยผ่านประสบการณ์มาย่อมเงียบกริบไม่กล้าเสียงดัง ก้มหน้าก้มตาเดินหลบไป ราษฎรธรรมดาไม่รู้ แต่คนในวงการนักเลงไม่มีผู้ใดไม่รู้ ไม่ว่าทำงบกหรือทางทะเลที่ล่วงเกินหวังทง ก็ล้วนถูกทำลายราบคาบ บางคนถูกทำลายราบเอาไปรับใช้ คิดจะมีชีวิตดีๆ ก็อย่าได้หาเรื่องเทพสังหารองค์นี้

รถใหญ่มากเพียงนี้ ยังบรรทุกของหนัก ย่อมเดินทางได้ไม่เร็ว ดีที่ตลอดทางสถานีพักม้ามีพร้อม เดินทางระยะหนึ่งก็หยุดพักระยะหนึ่งก็แล้วกัน

พอตกค่ำ รถใหญ่ก็จะมารวมตัวกัน ม้าก็ปลดออกไปที่คอกม้า คนงานและองครักษ์ที่ตามมาก็ผลัดเวรกันเฝ้ายาม

ก่อนหวังทงไปเมืองหลวง ได้ส่งคนไปแจ้งและจัดการตามเส้นทางแล้ว ให้สถานีพักม้าระหว่างทางแต่ละแห่งเตรียมเสบียงอาหารให้พร้อม จะได้ไม่เกิดสภาวะขาดแคลนเสบียง

ตอนออกมาวันแรก ทุกอย่างราบรื่นดี วันที่สองตอนกลางวัน ม้าเร็วจากเทียนจินตามมาทันหวังทง ตัวไปอยู่เมืองหลวงแต่ตอนนี้งานต่างๆ ในเทียนจินก็ยังไม่ได้จัดการให้กระจ่างชัด ย่อมทำเหมือนเดิมที่เคยเป็นมา ทุกเรื่องรายงานหวังทง

“อวี๋จี้หย่งกับสวีกว่างเดือนไหนไม่ส่งจดหมายไปเมืองหลวงให้พรรคพวกเขา เรื่องเช่นนี้ส่งมารายงานประจำเดือนก็ได้ ไยต้องเร่งรีบเช่นนี้……พวกเขาเห็นข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไง เกรงว่าข้าไปเมืองหลวงจะเสียเปรียบงั้นหรือ”

หวังทงอยู่ในห้องที่โรงเตี๊ยมสถานีพักม้า เคาะโต๊ะไปยิ้มเฝื่อนไปพลางกล่าวขึ้น หยางซือเฉินข้างๆ ก็พลอยยิ้มไปด้วย กล่าวว่า

“อวี๋จี้หย่ง สวีกว่างสองคนนี้ปกติส่งจดหมายไปเมืองหลวงมักเป็นกลางเดือนปลายเดือน ไม่ใช่เวลานี้ และปกติจดหมายที่เขาส่งไปเมืองหลวง พวกเราก็เหมือนว่าได้อ่าน แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้แตะต้องเลย เขาส่งคนสนิทไปส่งจดหมายที่เมืองหลวง”

หวังทงพยักหน้า รับเอกสารมาโยนไว้อีกทาง สองคนตอนนี้คงอิหลักอิเหลื่อไม่น้อย ที่พึ่งพาในเมืองหลวงสิ้นแล้ว ที่พึ่งใหม่ยังหาไม่ได้ จะฟื้นตัวอีกคราได้อย่างไร รักษาตัวเองให้รอดยังยาก หวังทงขี้เกียจจะสนใจ

รอยยิ้มเฝื่อนและอาการบ่นของหวังทงใช่ว่าไร้เหตุผล หวังทงไปครานี้ จัดคนทิ้งไว้ดูแลงาน จัดคนติดตามมา ยังเอาเงินมาอีกมา เขาดูแล้วว่าพอใช้

คิดไม่ถึงว่าบรรดาลูกน้องจะไม่วางใจ พวกเขายังจัดการเรื่องอื่นๆ อีก เช่น เดิมหวังทงจัดทหารติดตามมาร้อยกว่าคน กับคนงานอีก 500 กว่าเท่านั้น กำลังก็พอแล้ว แต่ไช่หนานและหลี่หู่โถวกับบรรดาเด็กหนุ่มจากลานฝึกหู่เวยหารือกันแล้ว ยังจัดให้ทหารปืนไฟสองกองร้อยที่ติดตามหวังทงแต่ต้นมาด้วย และยังคัดเลือกทหารโดดเด่นแต่ละค่ายมาให้อีกส่วนหนึ่งที่ล้วนจงรักภักดีอีกร่วมร้อยมาเปลี่ยนตัวจาก 500 คนที่หวังทงเลือกไว้ไปตามใจชอบอีกด้วย

500 คนนี้ กับปืนอีก 1,000 กระสุนไม่ต้องพูดถึง ชุดเกราะก็เป็นเกราะชั้นดีจากโรงช่าง อาวุธก็เป็นอาวุธที่สุดยอดที่สุด ย่อมเป็นหน้าที่เทียนจินบำรุงซ่อมแซมและเติมให้เต็มอยู่เสมอ

พอหวังทงเห็นกระสุนก็ต้องตกใจ ตามหลี่หู่โถวมา กล่าวด้วยสีหน้าแทบร้องไห้ว่า

“เจ้าคิดว่าข้าไปเมืองหลวงทำอะไร ไปรับตำแหน่งนะ ไม่ใช่ไปก่อกบฏ ของพวกนี้หากให้ฝ่าบาทรู้เข้า ไม่ต้องคนอื่นพูดยุยงอันใด ฝ่าบาทคงได้ระแวงเองก่อนแล้ว ของพวกนี้ไม่ต้องเอาติดขบวนเราไป หากต้องการใช้จริง ค่อยเตรียมก็ได้ อย่างไรก็ห่างกันไม่ไกล”

***********

คืนวันที่สาม ขุนนางและคนใหญ่คนโตอำเภอเซียงเหอนำรถม้ามาต้อนรับโดยเฉพาะ และยังจัดเตรียมอาหารเลี้ยง ขุนนางก็ว่าไปอย่าง แต่บรรดาพ่อค้าที่ล้วนทำกำไรกันอยู่ที่เทียนจินนี่สิ ตอนนี้คนควบคุมเทียนจินล้วนเป็นคนสนิทหวังทง อย่างไรก็ปูทางไว้สักหน่อยไม่เสียหาย

การต้อนรับเช่นนี้ เป็นเรื่องปกติของวงการขุนนาง หวังทงอย่างไรก็ต้องดื่มสักสองแก้ว ก่อนจะปฏิเสธหญิงสาวที่จัดมาให้ ตนเองกลับไปพัก

เช้าวันที่สี่ หวังทงปกติตื่นเช้ากว่าทุกคน ให้คนที่โรงเตี๊ยมสถานีพักม้าจัดน้ำร้อนมาให้ล้างหน้าสักหน่อย จากนั้นก็ได้ยินเสียงเอะอะด้านนอก ด้านนอกมีคนตะโกนดังว่า

“ใต้เท้าหวัง ข้าน้อยเฉินต้าเหอ!”

วาจานี้เรียกได้ว่ารายงาน ตามมาด้วยเสียงเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ เฉินต้าเหอหายดีจากการถูกยิงแล้ว ช่วงที่พักรักษาตัวนั้น หน้าที่เขาให้คนอื่นทำแทนไปก่อน ไปเมืองหลวงครานี้ เขาว่างงานอยู่ ยังเป็นคนสนิทที่ไว้ใจได้ จึงได้พาไปเมืองหลวงด้วย

เฉินต้าเหอตอนนี้เป็นทหารติดตามหวังทง ทุกวันจัดเตรียมรถม้าและเวรยามค่ำคืน หวังทงหยุดมือ สีหน้าเฉินต้าเหอไม่ดีนัก รายงานว่า

“ใต้เท้า รถขนเงินหายไปคันหนึ่ง!”

ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็อึ้งไป เฉินต้าเหอกล่าวต่อว่า

“ทุกคืนก่อนพักข้าน้อยจะตรวจนับ เช้ามาก็ตรวจอีก เช้านี้ตื่นมานับก็ยังครบ แต่ตอนที่กำลังเทียมม้า ก็พบว่ามีคันหนึ่งเบามาก จึงตะโกนเรียกข้าน้อยไปดู ข้างในว่างเปล่า”

“หายไปหมื่นห้าพันตำลึง?”

หวังทงเองก็อึ้งไปเช่นกัน รถม้าทุกคันล้วนบรรทุกเงินมาจำนวนมาก ครอบครัวยุคนี้สี่คนระดับกลาง ปีหนึ่งแค่ 12 ตำลึงก็พอใช้แล้ว นี่ตั้งหมื่นห้าพันตำลึงที่ทำให้คนร่ำรวยเป็นเศรษฐีเลยทีเดียว เงินมหาศาลเช่นนี้ ย่อมพอเพียงที่คนจะยอมเสี่ยงภัย แต่ถึงกับกล้ามากระตุกหนวดกองกำลังหู่เวย ช่างกล้าเกินไปแล้วกระมัง

ไม่นาน ทั้งขบวนก็ตื่น ข่าวเงินหายไปหนึ่งคันค่อยๆ แพร่กระจาย เริ่มมีความโกลาหล เฉินต้าเหอกับหม่าซานเปียวที่ได้ยินข่าวรีบมาถึงก็มีสีหน้าละอายใจ หวังทงอึ้งไป สีหน้าแปลกใจ หนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงเป็นก้อนใหญ่มาก แต่สำหรับหวังทงแล้วก็ไม่เท่าไร ทว่าเป็นผู้ใดที่กล้ามาขโมยเงินก้อนนี้ได้ การเฝ้าเวรของกองกำลังหู่เวยก็จัดระเบียบแน่นหนา ที่แท้ใช้วิธีการใดในการเข้าใกล้กัน นี่เป็นสิ่งที่หวังทงสนใจอยากรู้

“พาข้าไปดูหน่อย!”

หวังทงยิ้มกล่าวขึ้น กล่าวจบ หม่าซานเปียวกับเฉินต้าเหอก็โล่งใจ พากันออกไป เถ้าแก่ร้านคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตู พอเห็นหวังทงเดินออกมา ก็โขกศีรษะโป๊ก กล่าวอย่างหวาดกลัวว่า

“ข้าน้อยควรตาย ข้าน้อยควรตาย ขอใต้เท้าลงโทษ?”

หวังทงยิ้มโบกมือกล่าวว่า

“ไม่ใช่ความผิดเจ้า เขาสองคนจัดเวรยามไม่ได้เฝ้าให้ดี แม้ว่าจะลงโทษก็คงต้องลงโทษสองคนนี้ก่อน ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

เถ้าแก่ผู้นั้นยังคงโขกศีรษะไม่หยุด แต่จากการรับผิดเปลี่ยนเป็นขอบคุณ เฉินต้าเหอกีบหม่าซานเปียวหน้าหนา รู้ว่าหวังทงแค่ล้อเล่น จึงพากันยิ้มแหะๆ ตาม หวังทงเดินผ่านเถ้าแก่ไปก็ยิ้มกล่าวว่า

“หากหลิ่วซานหลางอยู่ คงจะไม่เกิดเหตุผิดพลาดเยี่ยงนี้”

ตอนไปที่ที่จอดรถ ก็พบว่าด้านนอกสุดก็อยู่ทางด้านใต้ ถานเจียงกำลังนำคนตรวจสอบอยู่ นอกจากทหาร 20 นายแล้ว ที่เหลือไม่เกี่ยวข้องถูกไล่ไปทำงานของตนเอง พอเห็นหวังทงมา ถานเจียงก็พยักหน้าให้เป้าเอ้อร์เสี่ยว เป้าเอ้อร์เสี่ยวลุกขึ้นรายงานว่า

“ใต้เท้า มีรอยล้อรถออกไปจากทางนี้ ล้อรถเข้ามารอยไม่กดลึกจึงมองไม่ออก แต่ตอนออกไปกดลึกมาก เมื่อครู่ถามคนงานที่ร้านแล้ว เมื่อคืนให้รถมาส่งหญ้าม้า ให้รถเข้ามาส่งที่นี่ น่าจะเป็นรถแฝงตัวเข้ามา อาศัยจังหวะชุลมุนมาจอดเทียบรถใหญ่เรา ขนย้ายเงินไปบนรถขนหญ้าม้า แล้วก็ออกไป”

หวังทงพยักหน้าเอ่ยถามว่า

“เส้นทางเทียนจิน-เมืองหลวงนี้ ผู้ใดสามารถทำได้?”

เป้าเอ้อร์เสี่ยวขมวดคิ้วคิด มองซ้ายมองขวา ตอบว่า

“ครอบครัวข้าน้อยทำการค้าเกลือเป็นหลัก ไม่คุ้นเคยเรื่องพวกนี้จริงๆ”

“ไม่รู้ว่าคืนนี้จะมาไหม?”

หวังทงหัวเราะตามมา

………………..

[1] ขุนนางคนโปรดฮ่องเต้อู่จงที่ถูกประนามว่าเป็นขุนนางชั่ว ประจบสอพลอ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!