ตอนที่ 656 เล่นอุบายเพื่อขอสวามิภักดิ์
“รอให้จับโจรบัดซบได้ จะต้องค่อยๆ เฉือนเนื้อมันทีละชิ้น จากนั้นโยนให้สุนัขกิน…”
ได้ยินหวังทงสั่งการ เฉินต้าเหอก็คบเขี้ยวเคี้ยวฟันสบถด่า แม้ข้างนอกมีทหารรายงานดังมา แต่เขาเองก็ยังคงตะลึงค้างอยู่
อย่าว่าแต่เขาตกใจค้างเลย แม้แต่ทหารด้านนอกรายงานเข้ามาก็มีน้ำเสียงลังเล หวังทงเองก็อึ้งไป มองทุกคนในห้องแล้ว ทุกคนก็ตกตะลึงเช่นกัน หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“ออกไปดูกันเถอะ!”
ด้านนอกทหารกำลังรออยู่ ทหารเฝ้าประตูวุ่นวายเล็กน้อย เงินหายไปสองคืนติด แม้ว่าทุกคนจะวิจารณ์กันวุ่นวาย แต่ในใจก็งงและโมโห กำลังคิดว่าคืนที่สามจะมาหรือไม่อยู่นั้น อีกฝ่ายอยู่ ๆ ก็เดินส่ายอาดๆ เข้ามามอบเงินคืนถึงที่
นอกประตูมีรถใหญ่จอดอยู่สามคัน ม้าสำหรับขี่อีกสองสามตัว ชายฉกรรจ์สวมชุดหนังอีก 11 คน คุกเข่าอยู่นอกประตู โขกศีรษะ
ท่าทางดูแล้วก็นอบน้อมยิ่ง แต่เฉินต้าเหอ หม่าซานเปียวและคนอื่นๆ ก็รู้สึกไม่ดีนัก โดนลงมือติดๆ กัน การแสดงท่าทีนอบน้อมเช่นนี้เหมือนมาหยอก
“ตั้งแต่เงินหายข้าก็งง ผู้ใดใจกล้าเพียงนี้ กล้าแตะต้องเงินที่มีภัยถึงล้างชั่วโคตร แม้ขโมยได้แล้ว ซ่อนตัวได้สามวันห้าวัน แต่ก็ไม่อาจซ่อนตัวได้สิบวันยี่สิบวัน เห็นพวกเจ้าแล้ว ข้าก็เข้าใจแล้ว”
หวังทงยิ้มกล่าวขึ้น ชายในชุดหนังที่คุกเข่าอยู่หน้าสุดโขกศีรษะกล่าวว่า
“ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้อง พวกข้าน้อยลงมือสำเร็จ คืนนี้ทางการหลายแห่งก็จะออกปูพรมสืบหาตัว หลายวันนี้หากไม่ได้เดินทางตามนายท่านมา เกรงว่าคงถูกจับไปแล้ว!”
หมู่บ้านระหว่างทางเมืองหลวงและเทียนจินหลายปีนี้มีชีวิตที่ดีมาก เหตุผลก็ง่ายมาก ชายไปทำงานหาเงินที่เทียนจิน ของที่เพาะปลูกได้ก็ขายไปเมืองหลวง และยังขายไปยังเทียนจินในราคาสูงกว่า เจ้าของที่หลายแห่งกองเสบียงอาหารไว้เต็มบ้าน หากถือเงินสดกันไม่มาก ตอนนี้ขายให้ร้านสามธาราที่มาขอซื้อ ได้เงินมาก็เอาไปลงทุนที่เทียนจินต่อ หรือไม่ก็เก็บไว้ ได้ผลประโยชน์กำไรไม่น้อย
นอกจากการค้าสุจริตพวกนี้แล้ว เป้าตันเหวินยังทำการค้าเกลืออยู่รอบๆ เทียนจิน การลักลอบค้าเกลือตามเส้นทางเมืองหลวง-เทียนจินจึงต้องผ่านด่านเขาไปก่อน พวกลักลอบค้าเกลือส่วนใหญ่เป็นคหบดีในพื้นที่
คนพวกนี้เป็นหัวหน้าอยู่ตามหมู่บ้าน ตนเองได้รับประโยชน์จากเทียนจิน หวังทงมาเสียเปรียบที่นี่ ไม่ต้องให้หวังทงสั่งการอันใด เพื่อจะเอาใจหวังทง หรือเพราะกลัวตนเองมีความผิดไปด้วย พวกอิทธิพลในพื้นที่ต้องเริ่มเคลื่อนไหวหาตัวคนร้าย
อย่าว่าแค่หนึ่งหรือสองหมู่บ้านเลย ทุกหมู่บ้าน คนนอกเข้ามาย่อมหนีไม่พ้นสายตาพวกนักเลงในพื้นที่ไปได้
นี่หวังทงยังไม่ได้สั่งการ หากหวังทงสั่งการปูพรมค้นหา องครักษ์เสื้อแพรและหน่วยรักษาความปลอดภัยร่วมมือกัน ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่อย่างไรก็ต้องเคลื่อนไหวไปด้วย คนขโมยเงินไม่ว่าเป็นคนในพื้นที่หรือคนนอก ก็ล้วนยากจะรับประกันได้ว่าจะเป็นความลับได้ต่อไป นี่เป็นเหตุที่หวังทงไม่รู้สึกร้อนใจในเรื่องนี้
“อย่าได้มัวแต่คุกเข่าอยู่เลย รีบเข้ามาคุยกันข้างใน!”
“ขอบคุณใต้เท้าที่เมตตา เงินที่ขโมยไปได้สองวันนี้ล้วนอยู่บนรถด้านนอก ไม่ได้แตะต้องแม้แต่น้อย ขอใต้เท้าตรวจนับ”
หวังทงพยักหน้าให้ถานเจียงข้างๆ ถานเจียงรีบส่งคนออกไปนับ หวังทงหันเดินกลับเข้าไปด้านใน
หม่าซานเปียวกับเฉินต้าเหอไม่กล้าชักช้า ตะโกนเรียกคนมารวมกันก่อนจะแยกกันเป็นสองกลุ่ม ค้นตัวทุกคนให้ละเอียด
เงินถูกขโมย วุ่นวายกันมาหลายเรื่องเช่นนี้ คนของหวังทงระดับขุนนางหัวหน้าอัดอั้นกันไม่น้อย ทหารผู้น้อยก็เช่นกัน การเคลื่อนไหวทำงานจึงย่อมไม่นุ่มนวล ชายทั้งสิบเอ็ดไม่กล้าต่อต้าน ได้แต่ยอมให้ค้นตัวแต่โดยดี
***********
“ข้าน้อยแซ่สื่อ เป็นบุตรลำดับเจ็ด จึงได้ชื่อว่าสื่อชี อู๋ต้าแนะนำ ให้ข้ามาพึ่งพาใต้เท้า”
ปีก่อนหวังทงเคยให้พี่น้องตระกูลอู๋ช่วยหาคนในวงการนักเลง พวกระดับนักเลงหัวไม้ เดิมคิดว่าหลังเดือนหนึ่งจึงหาคนมาได้ คิดไม่ถึงว่ามาเร็วเพียงนี้
“พวกข้าน้อยทำการค้าอยู่ที่ซานตงมาตลอด มีสายสัมพันธ์กับอู๋ต้าอย่างดี ได้ยินเรื่องราวรุ่งเรืองเทียนจินตั้งแต่อยู่ซานตง ก็รู้สึกอยากมาเปิดโลกสักครา”
“หืม? คิดมาทำการค้าที่เทียนจิน หากหาช่องทางไม่ได้งั้นสิ!”
หวังทงยิ้มถามกลับ ในวาจาแฝงความนัยใดทุกคนย่อมเข้าใจดี เห็นท่าทางคนกลุ่มนี้แล้ว น่าจะเป็นพวกหัวขโมยใช้สมอง น่าจะไม่ค่อยใช้กำลังสักเท่าไร ใช้อุบายวางแผนเสียมากกว่า
พวกเขาพูดได้น่าฟัง แต่ใจความก็คือคิดจะมาหาไรทำให้ร่ำรวยที่เทียนจิน คิดไม่ถึงว่ามีโอกาสลงมือ สื่อชีกลับรู้งาน รีบโขกศีรษะรายงานว่า
“เทียนจินมีคนไปมาและตรวจสอบทะเบียนราษฎร์เข้ม เจ้าหน้าที่ก็มาก พวกข้าน้อยเกรงว่าลงมือแล้วหนีออกจากเทียนจินไม่ได้ พี่อู๋ต้ากำชับข้าน้อยว่า หากคิดจะกลับไปซานตงอย่างปลอดภัยก็อย่าได้ก่อคดีที่เทียนจิน จุดจบไก้เถี่ยถ่าตอนนั้น ทำให้ข้าน้อยร้อนใจ อยู่ที่นี่สักพักก็เบื่อ คิดว่าเดือนหนึ่งจะกลับซานตง แต่ไม่คิดจะฟังคำของพี่อู๋ต้า……”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไม่อยู่กับอู๋ต้าอู๋เอ้อร์ได้นี่ เหตุใดจึงต้องขโมยเงินข้าด้วย”
“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยตอนอยู่ซานตงนับถือเป็นพี่น้องกับตระกูลอู๋ แต่ไม่ใช่ลูกน้อง หากไปพึ่งพาพวกเขา ข้าน้อยก็เท่ากับลดสถานะลง ยอมรับไม่ได้จริงๆ ขโมยเงินเรื่องนี้ก็เพื่อให้ใต้เท้าเห็นความสามารถพวกข้าน้อย จึงได้อยู่ ๆ มาขอพึ่งบารมี ขอใต้เท้าให้ความสำคัญ”
สื่อชีรูปร่างปานกลาง ค่อนข้างอ้วน ใบหน้ากม ต่างจากท่าทางองอาจแบบพวกอู๋ต้า อู๋เอ้อร์ที่ฝึกยุทธ์ หากไม่แสดงสีหน้าอันใดก็เหมือนกำลังยิ้ม ดูท่าทางแล้วหากบอกว่าเป็นนักเลงในวงการคงไม่มีใครเชื่อ หากบอกว่าเปิดร้านทำการค้าเล็กๆ ในตลาดหรือเป็นเถ้าแก่ ก็ล้วนดูเหมาะสมอยู่
แม้หวังทงอายุไม่ถึง 20 แต่อยู่ในตำแหน่งสูงมานาน สังหารคนมาก็มาก ท่าทางกิริยาจึงมีอำนาจบารมี คนทั่วไปเห็นก็ย่อมถูกรัศมีแผ่กดทับ วาจาก็ย่อมกล่าวไม่ถูก
แต่สื่อชีถูกทหารปฏิบัติอย่างไม่ดีนักตั้งแต่นอกประตู แต่เพราะรู้ว่าตนเองทำอันใดมา คุกเข่าต่อหน้าหวังทงกล่าวอยู่นั้นกลับพูดคุยอย่างไม่ยี่หระอันใด ช่างไม่ง่ายเลยที่คนคนหนึ่งจะมีท่าทีเช่นนี้ได้
หวังทงมองคนอีกสิบคนที่คุกเข่าด้านหลังสื่อชีกำลังเคร่งเครียดอย่างมาก มีคนพอเข้ามาก็ชะเง้อมองไปรอบตัวไม่หยุด มีแอบเงยหน้ามองหวังทงด้วย เดาว่ากำลังหาช่องทางเผื่อถอย หากสื่อชีกลับคุกเข่าอยู่อย่างนั้น ไม่เงยหน้าแม้เล่าเรื่องอยู่ มีธรรมเนียมอย่างมาก
คนในวงการชาวบ้านยากจะนิ่งได้เช่นนี้ กอปรกับการขโมยเงินอย่างมีหลักการ สื่อชีผู้นี้นับเป็นคนมีฝีมือ สีหน้าหวังทงยังคงปกติ ถามต่อว่า
“ลองบอกมาซิว่าสองวันนี้ขโมยไปได้อย่างไร ข้าเองก็แปลกใจอยากรู้”
สื่อชีโขกศีรษะอีกครั้งก่อนจะเริ่มเล่า ตั้งแต่ตัดสินใจจะขอพึ่งบารมีหวังทง ก็คิดแสดงความสามารถ สื่อชีผู้นี้ด้านหนึ่งก็ปฏิเสธอู๋ต้า ด้านหนึ่งก็แอบเตรียมการมาลอบดูหวังทง รอจนหวังทงออกเดินทาง พวกเขาก็แสร้งปลอมตัวเป็นพ่อค้าเช่ารถเดินทางตามมาด้วย
มาได้สองสามวัน ก็เริ่มได้ความการวางเวรยามยามค่ำคืน พวกเขาจ่ายเงินซื้อตัวชาวนาที่นำหญ้ามาส่ง ตกดึกก็ตามมาด้วย ชาวนาผู้นั้นเห็นแก่เงินก็รับปาก เสร็จเรื่องกลัวเกี่ยวพันไปด้วยจึงไม่กล้าพูดอันใด อย่างไรก็ไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป
ตกดึกนำรถไปขโมยเงิน แต่กลับไม่นำเงินกลับไปทันที หากจอดรถไว้ใกล้ๆ แล้วหาที่ไม่ไกลนักฝังเอาไว้ แม้ว่าเป็นหน้าหนาว แต่ที่นาก็ยังมีดินที่ขุดได้ มีทั้งหญ้าแห้งและเศษหิมะ ขุดฝังไว้ หากไม่ดูให้ดีก็ยากหาพบ ยังไม่อาจพบร่องรอยใด ทุกคนฝังเงินเสร็จ ก็ไม่มีรอยเท้าหรือรอยล้อรถอันใดเพราะตัวเบาไม่มีของไปด้วย
รอจนพวกหวังทงเดินทางต่อ พวกเขาก็ค่อยกลับมาเอาเงินเดินทางตามหวังทงต่อ คืนนี้ก็รู้ว่าหวังทงมีการเตรียมพร้อม และก็เป็นดังคาดของสื่อชี ให้คนเข้าใกล้ขบวนรถปลดทุกข์ ใช้เงินไม่เท่าไร อีกฝ่ายก็ไม่สงสัย ทำตามที่สั่ง
ครั้งนี้บรรทุกหญ้าแห้งไปเต็มคัน ขนลงปกติ อาศัยจังหวะชุลมุน ก็ให้คนถอดม้าออกแล้วนำเข้ามาเทียบรถหวังทง เปิดฝาไม้ด้านบนออก โยนเงินออกมา ถุงเงินโยนใส่ถุงบนหลังม้า ไปมาสองสามรอบ ตอนเงียบแล้วก็ค่อยๆ ตามขบวนออกมา อย่างไรก็เป็นยามค่ำคืน อีกทางป้องกันกันวุ่นวาย ทั้งยังผลัดเวรยามกัน อย่างไรก็มีช่องโหว่
“เจ้าลงมือได้เชี่ยวชาญมาก เมื่อก่อนเคยทำเช่นนี้หรือ?”
“เรียนใต้เท้า พวกข้าน้อยเมื่อก่อนอยู่แถวซานตง เหอหนาน ใช้วิธีนี้ขโมยจากขบวนพ่อค้าและขบวนเรือ ครั้งแรกลงมือพวกเขาก็เตรียมป้องกัน กลับถูกข้าน้อยลงมือได้อีกเป็นครั้งที่สอง มักจะลงมือได้หลายครั้ง”
“เหตุใดครั้งนี้จึงลงมือแค่สองครั้ง?”
หวังทงรู้สึกสนใจในสิ่งที่สื่อชีเล่ามา ลงมือครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งล้วนหาช่องโหว่ลงมือได้ นับว่าใจกล้าและรอบคอบไม่น้อย
“เรียนใต้เท้า เมื่อคืนลงมือสำเร็จ ก็กลับไปที่พักผ่อนในหมู่บ้าน แต่วันนี้ตอนเช้าในหมู่บ้านมีคนมาสอบถามมากมาย ถามละเอียดมาก ดีที่พวกข้าน้อยหลบซ่อนตัวจึงผ่านไปได้ ข้าน้อยอยู่เทียนจินเคยเห็นการทำงานของลูกน้องใต้เท้า ตอนนี้ใต้เท้าไม่ลงมือ ในพื้นที่ก็เคลื่อนไหวเช่นนี้แล้ว หากใต้เท้ามีคำสั่ง เกรงว่าพวกข้าน้อยคงไม่อาจมาได้อีกแล้ว อยู่ข้างนอกก็กลัวโดนจับได้แล้วต้องถูกส่งเข้าคุก……”
หวังทงพยักหน้า กำลังนิ่งเงียบอยู่นั้น ถานเจียงด้านนอกก็เดินเข้ามาคำนับรายงานตรงหน้าประตูว่า
“นายท่าน นับเงินแล้วไม่มีผิดพลาด เป็นที่หายไปพวกนั้นครบ”
ยามนี้หวังทงจึงได้ยิ้มถามว่า
“พาเป็นพวกข้าแล้ว ได้อย่างมากก็แค่เบี้ยหวัดพอเลี้ยงชีพ เงินย่อมไม่เหมือนที่เจ้าเป็นขโมยได้มา เจ้ายอมหรือ?”
“ข้าน้อยไม่ขาดแคลนเงินทอง คิดแต่จะมีสถานะขุนนางที่เปิดเผยได้ กลับไปเยี่ยมครอบครัวก็ยืดอกผึ่งผายได้”
“มีคดีฆ่าคนติดตัวหรือไม่?”
“เรียนใต้เท้า พวกข้าน้อยทำงานกันไม่เคยฆ่าผู้ใด…”
คำถามหลายคำถาม สุดท้ายหวังทงพยักหน้ำกำลังจะกล่าวอันใด ด้านนอกก็มีทหารวิ่งเข้ามารายงานว่า
“ใต้เท้า ข้างนอกมีคนลอบจับตาดูเราอยู่!”