Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 658

ตอนที่ 658 หน้าประตูเมืองเป็นที่รู้กันทั่ว

ในทงโจวคึกคักเพราะการมาของหวังทง ทงโจวห่างจากเมืองหลวงเพียงการเดินทางหนึ่งวัน ใกล้อย่างมาก ขี่ม้ามาดูไม่ต้องพูดถึง เดินมาดูก็ไม่น้อย

โรงเตี๊ยมที่พักหวังทงเป็นของร้านสามธารา เพราะทงโจวเป็นที่เจริญรุ่งเรือง โรงเตี๊ยมนี้ไม่เพียงแต่ได้รับการช่วยเหลือเรื่องเงินทองจากเทียนจิน ทุกปียังทำกำไรให้ไม่น้อย

ในเมื่อเป็นพื้นที่ตนเอง เช่นนี้ก็ย่อมสะดวกมาก หวังทงพักอยู่ในเรือนเดี่ยว ถานเจียงนำเถ้าแก่เข้ามา เถ้าแก่รู้ว่านี่คือนายท่าน พอเข้ามาก็โขกศีรษะก่อน พอได้รับอนุญาตก็ยืนขึ้นก้มคำนับ คนที่เอ่ยขึ้นก่อนกลับเป็นถานเจียง

“นายท่าน แสงด้านนอกทำให้เห็นว่าคนไม่ต่ำกว่าร้อยมาสอดแนมดูพวกเรา ล้วนท่าทางเหมือนพวกสามคนที่จับได้เมื่อเช้า ยังมีท่าทางน่าสงสัยอีกหลายสิบคน คนมากมายมาล้อมดูเช่นนี้ เกรงว่ามีบ้างที่แอบอยู่แล้วพวกเรามองไม่ออก”

ถานเจียงกล่าวจบก็มองไปทางเถ้าแก่ เถ้าแก่ผู้นั้นรีบก้มตัวลงกล่าวว่า

“นายท่าน ข้าน้อยอยู่โรงเตี๊ยมนี่มาได้ 20 ปีแล้ว ฤดูนี้ไม่ใช่เวลาที่แขกมาก แต่พอนายท่านเข้าพักตอนกลางวัน ตอนนี้ก็มีแขกสิบกว่าคนเข้าพัก ล้วนพูดจากสำเนียงเมืองหลวง บอกว่าตนเองมาเยี่ยมญาติ ทำการค้า แต่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือน”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมต้อนรับแขกเข้าพักทุกวัน การมองสีหน้าค่าตาแขกออกก็ย่อมชำนาญ เขากล่าวเช่นนี้ก็เป็นไปตามที่ถานเจียงคาดไว้ หวังทงไม่ทันได้กล่าวอันใด ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าเฉินต้าเหอเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ กระหืดกระหอบกล่าวว่า

“ใต้เท้า พวกข้างนอกช่างไร้เหตุผล ถึงกับมีคนมาหยุดหน้ารถเรา คิดจะดูว่ามีอะไร พอทหารไล่ไป พวกเขาก็ยังเข้ามาอีก ใต้เท้า ท่านสั่งพวกข้าน้อยไว้ว่ามาเมืองหลวงไม่เหมือนเทียนจิน แต่หากไม่สั่งสอนพวกเขาเสียบ้าง ก็ช่างน่ารำคาญใจไม่น้อย!”

หวังทงยกมือเคาะโต๊ะ คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า

“นำตัวสามคนเมื่อเช้าส่งไปที่ทำการศาล บอกว่าพวกเขาไม่หลีกทางให้รถทางการ คิดการไม่ซื่อจึงถูกจับ ให้คนของเราอย่าลงมือ นำตัวออกไปก็พอ”

ได้ยินเช่นนี้ เฉินต้าเหอก็อึ้งไป อดไม่ได้ถามแทรกขึ้นว่า

“ใต้เท้า ส่งสามคนนั้นให้ทางการ เกรงว่าอีกวันสองวันก็คงปล่อยตัวไป พวกเราไม่ลงมือ พวกนั้นจะเกรงกลัวได้อย่างไร?”

“ทำตามที่บอก ข้ามีวิธี!”

หวังทงน้ำเสียงเฉียบขาด เฉินต้าเหอไม่กล้ากล่าวต่อ ได้แต่ทำความเคารพแบบทหารก่อนถอยออกไป สีหน้าหวังทงปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า

“ถานเจียง ไปตามหม่าซานเปียวเข้ามา เจ้าสองคนอย่าเพิ่งพัก ม้าเร็วเข้าเมืองหลวง มีสารให้พวกเจ้านำไปส่ง!”

***********

ขบวนหวังทงพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งวัน วันที่ 27 เดือนหนึ่งก็ออกเดินทาง หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไป คนที่มามุงดูก็น้อยลงไปมาก จากรายงานของทหารรอบนอก หลายคนเมื่อวานตอนบ่ายขี่ม้าเร็วมุ่งไปยังเมืองหลวง วันนี้เดินทางก็เหมือนเดิม มีคนไม่น้อยเดินตามมาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ม้าเร็วแซงหน้าไป

เมื่อวานรอบๆ ที่ส่งเสียงวุ่นวายทำให้พวกทหารรำคาญ วันนี้เงียบลงแล้ว หม่าซานเปียวและถานเจียงที่คอยอารักขาหวังทงเมื่อวานก็ไปแล้ว

การเดินทางเช้านี้ ไม่มีอันใดทำให้เสียเวลาการเดินทาง และไม่มีเรื่องอันใดใหม่ แต่ระหว่างทาง เทียนจินก็มีม้าเร็วตามขบวนมา

คนผู้นั้นมาหน้าม้าหวังทงรายงานสองสามคำ พวกสื่อชีที่ถูกมัดอยู่บนรถก็ถูกปล่อยตัวออกมา ถูกนำมาตรงหน้าหวังทง

“พวกเจ้ามีความสามารถอันใด?”

หวังทงค่อยๆ ขี่ม้าเหยาะๆ ไป พวกสื่อชีแม้ว่าถูกมัดจนเลือดลมติดขัด ปวดเมื่อยเนื้อตัว แต่ก็ยังเดินตามเร็ว ไดยินหวังทงถาม สื่อชีหันไปมองกล่าวว่า

“กล่าวกับใต้เท้าตามตรง สองวันก่อนที่ขโมยเงินจากขบวนรถท่านเป็นความสามารถพวกข้าน้อย อาศัยสิ่งนี้หากิน นอกจากนี้พวกข้าน้อยยังมือไวกว่าคนอื่น ปีนกำแพงแอบเข้าไปยามวิกาล คนอื่นยากพบเห็น”

หวังทงบนหลังม้าพยักหน้า ถามต่อว่า

“เคยฆ่าคนไหม? เคยต่อสู้จนเลือดตกยางออกไหม?”

“แม้พวกข้าน้อยไม่เคยก่อคดีเลือด แต่ทำการหากินในวงการ อย่างไรก็ต้องเคยใช้อาวุธบ้าง เคยลงมือฆ่ามาบ้าง แต่ก็ไม่ได้เปรียบอันใด หากหนีได้ทันก็หนี!”

คนผู้นี้รู้จักตอบ ตอบในสิ่งที่หวังทงต้องการรู้ หวังทงบนหลังม้าเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า

“จากนี้เจ้าเป็นนายกองธงเล็กในสังกัดข้า พี่น้องเจ้าก็เป็นทหารเจ้า ไปถึงเมืองหลวงค่อยจัดการให้ แต่กล่าวไว้ตรงนี้ก่อนว่า ขอเพียงตั้งใจทำงาน จงรักภักดี ก็จะไม่เอาเปรียบพวกเจ้าแน่นอน”

ได้ยินหวังทงจัดตำแหน่งให้ สื่อชีก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น พี่น้องด้านหลังก็คุกเข่าตาม โขกศีรษะขอบคุณไม่หยุด

พอลุกขึ้น หวังทงก็ขี่ม้าออกไป หวังทงไปเทียบม้ากับเฉินต้าเหอ หวังทงสั่งการเบาๆ ว่า

“ส่งคนไปจับตาดูพวกเขาไว้ แม้อู๋ต้ารับรอง แต่ก็ยังต้องจับตาดูไปสักระยะจึงใช้การได้”

เฉินต้าเหอหันกลับไปมอง รีบตอบทันที

ระหว่างทางพัก ตั้งเสาต้มน้ำ ทหารกินอาหารแห้งที่ติดตัวมา แล้วเร่งเดินทางต่อ ยามนี้ได้เห็นภาพประตูเมืองและภูเขาทางเมืองหลวงไกลๆ แล้ว

ห่างจากประตูเมืองไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม คนบนเส้นทางหลวงเยอะขึ้นเรื่อยๆ หวังทงมองเห็นว่ามีหลายคนที่ออกมามองดูแวบหนึ่ง จากนั้นก็ควบม้ากลับไป เห็นเช่นนี้ เหมือนว่ามาเพื่อดูว่าขบวนหวังทงโดยเฉพาะ

เดินไปได้ไม่ไกล ด้านหน้าก็มีรถม้ามุ่งมา พวกอารักขาหวังทงก็เริ่มระวังตัว ด้านหน้ามีคนผ่อนรถม้ามุ่งเข้ามาด้านหน้ารายงาน

“สวีกว่างกั๋วมีเรื่องด่วนขอพบใต้เท้าๆ !”

ชายคนขับรถม้าไหนเลยจะเคยพบเหตุการณ์เช่นนี้ สีหน้าจึงซีดขาว พยายามกระชากบังเหียนม้าให้หยุดพร้อมกับร้องตะโกนดัง

เสียงดังขึ้น ทหารข้างกายหวังทงก็รีบขี่ม้าเข้ามา เปิดม่านรถม้าออกดู หันกลับไปรายงานว่าไม่มีอันใด จึงได้ปล่อยรถม้าเข้ามา

รถม้ามาหยุดหน้าหวังทง สวีกว่างกั๋วในชุดบัณฑิตรีบโดดลงจากรถ เร่งรีบเข้ามากล่าวว่า

“ใต้เท้า นอกเมืองมีคนมาชุมนุมมากมาย รอใต้เท้าเข้ามาก็จะเล่นงานใต้เท้า ใต้เท้าพักก่อนดีกว่า ให้ทางเมืองหลวงคิดหาทางก่อน!”

หวังทงหันไปพยักหน้าให้สวีกว่างกั๋ว ยิ้มกล่าวว่า

“เจ้ารีบออกมาแจ้งข่าว แสดงให้เห็นว่าทำงานได้ดี มาถึงนี่แล้ว ข้าจะหยุดได้อย่างไร ข้าเป็นขุนนางเปิดเผย กลัวอันใด เจ้ารอสักครู่ค่อยตามไป จะได้ไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าเป็นคนของข้า!”

สวีกว่างกั๋วคิดจะกล่าวอันใดต่อ หากมองเห็นท่าทางหนักแน่นของหวังทงก็ไม่ได้กลัว หากก็รู้ว่าไม่ควรทำต่อ แต่ก็อดไม่ได้กล่าวว่า

“ใต้เท้า ตอนนี้ไม่ควรรีบร้อน!”

***********

หากสวีกว่างกั๋วไม่มารายงานทันทีที่ตนถึงประตูเมือง หวังทงก็ย่อมไม่ใช้งานคนผู้นี้อีก และพอเข้ารับตำแหน่งเมืองหลวง เรื่องแรกที่จะทำก็คือจับสวีกว่างกั๋วเข้าคุก แต่ในเมื่อเขาออกมารายงาน ก็ยังพอคุยกันได้

เทียนจินอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้เมืองหลวง มาจากเทียนจินก็ย่อมเข้ามาทางประตูเมืองฉงเหวินทางด้านใต้ของเมืองหลวง หรือจะเข้าจากประตูตงจื๋อเหมินทางด้านตะวันออกก็ได้ พวกหวังทงเลือกเข้าประตูตงจื๋อเหมิน

สองข้างล้วนเป็นอาคารบ้านเรือน มีคนไม่น้อยมาดูขบวนของหวังทงตามทาง รถใหญ่ร้อยกว่าคัน ชายฉกรรจ์คนงานอีกหลายร้อย ในสมัยนี้ขุนนางเข้าเมืองแม้ว่าเป็นราชทูตใหญ่หรือทหารใหญ่ก็ใช่ว่าจะดูท่าทางองอาจเช่นนี้ ลองมองดูด้านในชุดตรงธงใหญ่ปักว่า ‘รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทง’ แต่ละคนล้วนต้องอุทานในใจ ก็ควรเป็นเช่นนี้ หวังทงมีชื่อเสียงมากมายในด้านต่างๆ ในเมืองหลวง แม้ว่าไปเทียนจิน หากเรื่องกล่าวขานก็ยังไม่เสื่อมคลาย ขุนนางที่ทรงโปรดเช่นนี้ มีขบวนยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็เป็นเรื่องสมควร

พอเข้าใกล้ประตูตงจื๋อเหมิน รอบเส้นทางก็เป็นพื้นที่โล่งกว้าง เป็นพื้นที่ของทางศาลอาญาใหญ่ให้เว้นว่างไว้ ไม่เช่นนี้ราษฎรด้านเมืองเข้ามาลงหลักปักฐานกันนานแล้ว

เส้นทางนี้ เมื่อก่อนหวังทงผ่านมาหลายครั้ง มาเมืองหลวงย่อมมีคนมากมาย แต่ยามนี้พระอาทิตย์ถูกกำแพงเมืองบังแสงไว้ มีแสงเล็ดรอดออกมาจากรูกำแพงบ้าง ยามนี้ห่างจากปิดประตูกำแพงเมืองไม่ถึงหนึ่งชั่วยามแล้ว ทุกคนเร่งรีบเดินทาง ทั้งเข้าเมืองออกเมือง แต่ตอนนี้พื้นที่โล่งสองข้างล้วนเต็มไปด้วยผู้คน เป็นเรื่องแปลกมาก

หวังทงเร่งม้าให้เดินไปหน้าสุดของขบวน ได้เห็นคนสองข้างทางสวมชุดยาว ข้างๆ ยังมีคนงานติดตาม ด้านหลังยังมีเกี้ยวรถม้า

เมื่อครู่สวีกว่างกั๋วไม่ได้บอกละเอียดถึงสถานะของคนที่มาออกกันอยู่หน้าประตูเมือง แต่หวังทงเห็นก็รู้ทันที การแต่งกายและท่าทางเช่นนี้ ย่อมเป็นพวกมีสถานะในเมืองหลวง

หวังทงมองซ้ายมองขวา เดินเข้าสู่สายตาของคนพวกนี้ พอเห็นหวังทง ก็มองไปยังขบวนยิ่งใหญ่ด้านหลังหวังทง คนสองข้างเริ่มมีการเคลื่อนไหว เดิมทีเงียบสงบอยู่ก็เริ่มเสียงดังขึ้น

สถานการณ์ที่เริ่มเคลื่อนไหวทำเอาพวกเฉินต้าเหอตกใจ รีบเรียกคนขี่ม้าออกมาด้านหน้า ทหารอารักขาหวังทงสิบกว่าคนก็มารายล้อมหวังทงไว้ แต่ละคนมือแตะด้ามดาบพร้อม ระวังภัยเต็มที่

ท่าทางกลิ่นอายสังหารเช่นนี้ของพวกเขาไม่ได้ทำให้คนสองข้างทางเกรงกลัวแม้แต่น้อย เสียงเอ็ดอึงยิ่งดังขึ้น มีบางเสียงดังชัดขึ้นมาว่า

“……เจ้าคนชั่ว!!”

“…คนเลว……”

“ภัยแห่งแผ่นดิน!!!”

“……เจียงปิน เฉียนหนิงแท้ๆ ……”

“..ปล่อยคนผู้นี้ไปไม่ได้เด็ดขาด!!”

เสียงด่าทอรุนแรง บรรยากาศเริ่มดุเดือด พวกเฉินต้าเหอที่เป็นองครักษ์ประจำตัวหวังทงก็ยิ่งเครียด ชักดาบออกมาเตรียมพร้อมแล้ว หวังทงกลางวยิ้มกล่าวว่า

“กลัวอันใด ปล่อยเขาพูดไป หรือว่าจะพูดจนเราเลือดตกยางออกได้กัน?”

ช่างบังเอิญ พอหวังทงกล่าวจบ ด้านหน้าก็มีสองสามคนพุ่งออกมาขวางอยู่กลางทาง พวกหวังทงได้สติดึงกระชากบังเหียนม้าไว้ทัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!