ตอนที่ 660 ด่าคนทั่วไปก็ช่าง หากด่าฝ่าบาทย่อมมีโทษหนัก
สถานการณ์กำลังคึกคัก ทุกคนกำลังคิดว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดังระบือไกล คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะออกคำสั่งเช่นนี้
ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินหมิงมา ขุนนางคิดสร้างชื่อ ดีที่สุดก็ตำหนิโอรสสวรรค์ ถูกองครักษ์เสื้อแพรจับไปโบย จากนั้นไปก็จะมีชื่อใต้หล้า ได้เลื่อนตำแหน่งเร็วกว่าผู้ใด
ไม่ประหารขุนนางกล้าทูลเป็นคำสั่งบรรพชนฮ่องเต้ ฮ่องเต้หมิงมักทำอันใดไม่ได้ แต่หลายปีมานี้ ล้วนมีประสบการณ์มามาก ขุนนางคิดใช้เส้นทางนี้ย่อมไม่ง่าย
ไม่ได้ตำหนิฮ่องเต้ แต่หากได้ตำหนิขุนนางบู๊คนโปรดฮ่องเต้หรือชนชั้นสูงก็ดี คนพวกนี้แม้ว่าวางอำนาจแต่ก็รู้ว่าไม่อาจแตะต้องขุนนางบุ๋น ไม่เช่นนั้นน้ำลายทั่วหล้าต้องถ่มรดเขาแน่นอน
การกระทำของหวังทงแต่ละอย่างล้วนห่างไกลจากคำว่าบัณฑิต แต่พฤติกรรมก็ยังเรียกได้ว่าใช้ได้ ทุกคนมาก่อเรื่องก็ล้วนคาดการณ์ไว้แม่นแล้วว่าไม่มีอันตรายอันใด หากยั่วยุให้หวังทงทนไม่ไหวลงมือ ทุกคนอย่างมาก็โดนแส้โดนกระบอง จบเรื่องก็คงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว
ได้ยินหวังทงตะโกนบนหลังม้าเช่นนี้ ทุกคนยังคิดว่าเป็นเพราะเขาทนไม่ไหวแล้ว เสียงโห่ร้องและร้องตะโกนก็เงียบลงพักหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงเอะอะดังยิ่งขึ้น
ห่างจากเวลาปิดประตูเมืองอีกครึ่งชั่วยาม บรรดาขบวนพ่อค้าที่เร่งเดินทางมายังหน้าประตูตงจื๋อเหมิน ไม่ว่าเข้าหรือออกจากเมืองก็ล้วนสนใจเรื่องตรงหน้า ปกติทหารศาลอาญาใหญ่ที่คอยดูแลประตูเมืองจะมีหน้าที่ขับไล่คนไม่เกี่ยวข้อง แต่ครานี้กลับดูดาย ทุกคนพากันมามุงดูเรื่องสนุก
มีคนมามุง มีคนมาส่งเสียงดัง คำสั่งหวังทงคือวินัยทหาร ทหารติดตามมาถูกเสียงคนด้านนอกก่อกวนสมาธิ แต่พอได้ยินคำสั่งหวังทง ก็รีบออกมาจัดการทันที พอเข้าใกล้ไปจับคน ก็มีเสียงดังตะโกนว่า ‘เลือดเนื้อหยาดเหงื่อประชา’
“หวังทง!! เจ้าคิดว่าอยู่เทียนจินหรือ!! นี่เมืองหลวง ใกล้เบื้องพระบำท มีกฎหมาย มีขุนนางใต้หล้าจับตาดูอยู่!! วันนี้กล้ากำเริบเช่นนี้ คิดว่าใต้หล้านี้ไม่มีปากหรือ!!”
พอทุกคนถูกจับ ก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับยังคงกระทืบเท้าด่าไม่หยุด มีบางคนสีหน้าแตกตื่นอย่างอดไม่ได้ ล้วนรู้ว่าขุนนางใหญ่ราชสำนักไม่ถูกกับหวังทง เรื่องวันนี้ที่ข้ากล้าเผชิญ นอกจากสร้างชื่อแล้ว ไม่แน่ว่ายังได้ก้าวไกลในวงการขุนนางอีกด้วย
การถูกจับมัดย่อมไม่ใช่เรื่องทนรับได้แต่อย่างใด ทหารกองกำลังหู่เวยลงมือไม่เกรงใจ มัดไว้ด้วยเชือกจนแน่น หากต่อต้านก็จะถูกตี บรรดาคนเรียนหนังสือพวกนี้ปกติไม่ได้ออกำลังกายอันใด ถูกตีไปสองสามทีก็ล้วนร้องโอดโอย คนที่ไม่ได้ถูกจับก็รีบกระจัดกระจายหนีไปคนละทิศละทาง
คนเหล่านั้นวิ่งกลับไปสองข้างทาง กลับไม่กล้าไปไกลนัก มีไม่น้อยกลับมามองตาปริบๆ คนที่ถูกจับส่วนใหญ่เป็นเจ้านาย ที่หนีไปเป็นลูกน้อง เจ้านายถูกจับ พวกเขาหนีไปก็ใช่เรื่อง อยู่ต่อก็ทำไรไม่ได้
“รีบไปในเมือง ไปหน้าจวนใต้เท้าเซิน ใต้เท้าจาง แต่ละจวนร้องทุกข์ ว่าหวังทงใช้กำลังทหารทำเรื่องชั่วร้าย!!”
“รีบไปกรมสอบสวนเชิญใต้เท้ามา!!”
เสียงโหวกเหวกดังขึ้น คนเหล่านี้ไม่กลัวเกรงหากกำลังใจยิ่งมากขึ้น แต่ฟ้าก็มืดแล้ว หลายคนไม่เห็นสีหน้าหวังทงมีรอยยิ้มเยียบเย็นปรากฏขึ้น
คนงานหลายคนก็รีบเข้าเมืองไปรายงาน ตอนนี้ท้องถนนเงียบลงไม่น้อย หวังทงควรออกคำสั่งเข้าเมือง หากหวังทงกลับไม่ยอมออกคำสั่งเสียที
“ใต้เท้า ยามนี้เข้าเมืองกันเถอะ เสียเวลาที่นี่นานแล้ว เกรงว่าจะยุ่งยากขึ้นเรื่อยๆ !”
เฉินต้าเหอขี่ม้าเข้ามารายงาน หวังทงส่ายหน้า ตอบว่า
“รีบร้อนไปไย รอก่อน!!”
เฉินต้าเหอรู้สึกร้อนใจ ในใจคิดว่าสถานการณ์นี้ ยังรออันใด หากรอช้าต่อไป ในเมืองไปเชิญใต้เท้าต่างๆ มา ก็คงยุ่งยากแล้ว กำลังจะพูดต่อ ทางประตูเมืองก็มีเสียงเอะอะดังมา
ทุกคนได้สติเงียบลง หรือว่ามีคนมา เร็วเพียงนี้เชียว สายตาทุกคนมองไปทางประตูเมือง ทหารเฝ้าประตูเมืองที่ไม่เคลื่อนไหวแต่ต้นยามนี้รีบขยับตัวกันออกมา มีคนตะโกนดังไปทางประตูเมืองว่า
“ใครกัน ผ่านเข้าออกประตูเมืองกลับไม่รักษาระเบียบ!”
ทางนั้นตะโกนดังมา ทุกคนก็ได้ยินเสียงแหลมตะโกนตอกกลับไปว่า
“รักษาระเบียบมารดาเจ้าสิ ข้าเมื่อก่อนเข้าออกทางนี้ ผู้ใดกล้ากล่าวรักษาระเบียบอันใดกับข้า รีบไสหัวไป!!”
ได้ยินเสียงแหลมดังมา ทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้ดีว่าเป็นเสียงขันทีในวัง ทหารเฝ้าประตูเมืองจากศาลอาญาใหญ่ตำแหน่งยังอยู่รองจากหน่วยงานอื่นในวังอีก ไหนเลยกล้าล่วงเกินขันทีในวังได้ และคนที่ขี่ม้ามา เกรงว่าคงมีสถานะไม่น้อย
ทหารรีบหลีกทางให้ ม้าสิบกว่าตัวก็วิ่งออกจากประตูเมืองไป อาศัยแสงริบหรี่ ทุกคนก็เห็นชัดว่าบนหลังม้ามีขันทีในชุดดำ ทุกคนรู้ว่ามาจากที่ใด คนจากสำนักอาชาหลวง
ระหว่างขบวนรถและประตูเมือง ยังมีคนไม่น้อยรอชมเรื่องสนุกกันอยู่ ในนั้นก็มีคนตะโกนโหวกเหวกดัง ห่างไม่ไกล แต่ก็ขี้เกียจไปจับ มีขันทีขี่ม้าออกมาจากประตูเมือง คนไม่น้อยไม่ทันหลบ ขันทีจากสำนักอาชาหลวงไม่ได้มีความอดทนเช่นหวังทง พอเห็นคนด้านหน้าก็ยกแส้ตวัดลงไปตวาดด่าดังลั่น
“อย่าได้ขวางทาง สำนักอาชาหลวงปฏิบัติหน้าที่ พวกเจ้ากล้าทำให้เสียเวลาหรือ!!?”
เมื่อครู่หวังทงจับคน คนรอบๆ ยังอารมณ์คุกรุ่น แต่ตอนนี้พวกขันทีสำนักอาชาหลวงขันทีลงแส้ กลับไม่กล้าส่งเสียง ได้แต่กุมหัววิ่งหนี
ขันทีสิบกว่านายนี้มาถึงหน้าขบวนรถหวังทงก็ดึงม้าให้นิ่งก่อนจะรีบโดดลงมาวิ่งไปทางหวังทง หวังทงในชุดขุนพล แยกแยะจากฝูงชนได้ชัด
ห่างจากม้าราวห้าก้าว บรรดาขันทีก็หยุด ก้มกายคำนับ ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าน้อยคารวะใต้เท้าหวัง โจวกงกงกำลังหารือการทหารกับกองกำลังฝ่ายใน ก่อนหน้านี้เพิ่งได้ข่าวจากใต้เท้า พวกข้าน้อยเร่งเดินทางมาก็ยังมาสายเพียงนี้ ขอใต้เท้าหวังโปรดอภัย”
บรรดาผู้คนหน้าประตูตงจื๋อเหมินเงียบกริบไปหมด หลายปีนี้ขันทีในวังเข้มงวดมาก ไม่กล้าล่วงเกิน แต่ชื่อเสียงขันทีพวกนี้นอกวังล้วนเป็นที่รู้กันว่าวางอำนาจไม่เกรงกลัวผู้ใด ไม่มีผู้ใดอยู่ในสายตา เช่นกัน ผู้ใดก็ไม่กล้าล่วงเกินพวกเขาที่มาจากในวัง ผู้ใดจะรู้ได้ว่าเบื้องหลังพวกเขามีผู้ใดหนุนหลังอยู่
หากยามนี้ เห็นขันทีที่มากันอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใดกำลังคำนับให้กับรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรที่มารับตำแหน่ง นอบน้อมอย่างมาก ทุกคนก็รู้สึกอึ้งไปตามๆ กัน ดูแล้วขันทีที่มายังเหมือนว่าเป็นขันทีระดับสูงอีกด้วย
อย่างไรหวังทงก็ไม่ได้มาเมืองหลวงห้าปีแล้ว แม้กล่าวว่า พอคนจากไป น้ำชาเย็นชืด แต่ขุนนางใหญ่มักจะต้องถกเถียงกันด้วยเรื่องหวังทงตลอดมา หากสำหรับชาวบ้านและขุนนางระดับล่างแล้ว เขาเป็นคนแปลกหน้ายิ่ง ได้ยินชื่อบ้างเป็นบ้างครั้ง เป็นเพียงคนไร้ชื่อเสียงที่นำมาว่าร้ายกันบางเวลาเท่านั้น
ได้เห็นบรรดาขันทีนอบน้อมเช่นนี้ ทุกคนก็รู้แล้วว่าหวังทงเป็นบุคคลระดับใด หวังทงกล่าวอยู่มุมสูงกว่า ตอนนี้ยังไม่ลงจากหลังม้า บรรดาขันทีไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจอันใด กลับยังก้มกายยิ่งต่ำลงอีก
“ไม่เป็นไร ล้วนกำลังปฏิบัติหน้าที่ กงกงทุกท่านลำบากแล้ว”
“ใต้เท้าหวังเกรงใจไปแล้ว เรียกข้าน้อยสวีจวิ้นก็พอ ต่อหน้าใต้เท้า ข้าน้อยไม่กล้ารับคำเรียกขาน กงกง!”
หัวหน้าขันทีที่มามีทีท่าลนลาน ทำให้รอบๆ ยิ่งเงียบกริบ คนที่ส่งเสียงดัง คนที่ถูกมัดไว้เริ่มเงียบงง ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงวางท่าใหญ่โตไม่กลัวเกรงอีกแม้แต่คนเดียว พากันสั่งการให้คนงานของตนเองรีบหลบไปก่อนค่อยว่ากัน
“สวีจวิ้น วันนี้ข้าเสียเวลาระหว่างทางไม่น้อย เงินพวกนี้เป็นเงินก้อนจินฮวาที่ส่งเข้าวัง นับคร่าวๆ ก่อน พอเข้าเมืองพร่งุนี้ค่อยส่งมอบ!”
ขันทีสวีจวิ้นรีบก้มคำนับ หันไปสั่งการ ทุกคนรีบวิ่งเหยาะๆ เข้ามาเตรียมนับ หวังทงขยับเชือกรัดออก ยิ้มกล่าวว่า
“สวีกงกง เมื่อครู่ตอนข้าเข้าเมืองมา มีคนไม่น้อยบอกว่าเงินพวกนี้เป็นเลือดเนื้อหยาดเหงื่อประชา ดูทางนั้น จับมัดไว้แล้ว พวกที่มุงดู เมื่อครู่ก็เอาแต่ตะโกนโหวกเหวกว่าเช่นกัน!!”
สวีจวิ้นได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ก็รีบหยุดเดิน หันมาตวาดเสียงแหลมว่า
“เป็นผู้ใดกล้าลบหลู่ใส่ร้ายฝ่าบาท เป็นผู้ใดกล้าใส่ร้ายใต้เท้าหวัง ทุกปีเทียนจินส่งเงินล้านสองแสนตำลึงเข้าวัง นี่เป็นพระประสงค์ฝ่าบาทเพื่อให้ใช้จ่ายในวังแล้วเป็นเบี้ยหวัดแก่ทหารทั้งหลาย เทียนจินรุ่งเรืองเช่นนี้ได้ก็เพราะภาษี กล่าวว่าเป็นเลือดเนื้อหยาดเหงื่อประชา ใช่ว่าเป็นการลบหลู่ฝ่าบาทงั้นหรือ โทษล่วงเกินเบื้องสูงเช่นนี้ หากข้าได้ยินก็ยังไม่อาจทนได้เด็ดขาด!!”
รอบด้านเงียบกริบ สวีจวิ้นกล่าวจบ ขันทีด้านหลังผู้หนึ่งก็รับคำทันทีกล่าวว่า
“พื้นที่ใกล้เบื้องพระยุคลบาทเช่นนี้ มีกฎหมาย คนพวกนี้กล้ามาสร้างเรื่องเท็จหน้าประตูเมือง ลบหลู่ฝ่าบาท เบื้องหลังย่อมมีคนบงการ ใต้เท้าหวัง สวีกงกง ข้าไม่อาจทนดูได้ ต้องรายงานให้ดำเนินการสอบสวน!”
หวังทงบนหลังม้าพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“กงกงท่านนี้กล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าเองก็จับตัวหัวหน้าได้แล้ว มีคนใส่ร้ายลบหลู่ฝ่าบาทต่อหน้าข้า กระทำการลบหลู่เบื้องสูงเช่นนี้ ข้าเป็นขุนนางในพระองค์ อย่างไรก็ไม่อาจทนดูเฉยได้ จับตัวไว้หมดแล้ว นี่คือพยาน หนึ่ง ทหารที่ข้านำมา สองทหารคุมประตูเมือง สามคนมุงรอบๆ ล้วนเป็นพยานได้!!”
“ไม่ถูกต้อง เงินก้อนจินฮวาจากเทียนจินไม่ใช่ว่าส่งมาหนึ่งล้านสองแสนตำลึงทุกเดือนหรือ ครั้งนี้ขนมาด้วยรถมากเพียงนี้ เกรงว่าคงไม่ใช่แค่ล้านตำลึง หวังทงเจ้ากล่าววาจาเท็จ เจ้าสมคบคิดในวัง จงใจปิดบังหลอกลวง ต้องมีความนัยหลอกลวงซ่อนอยู่!!!”
เห็นสภาพการณ์เบื้องหน้าเช่นนี้ เฉินเกอก็เข่าอ่อนยวบ คนอื่นก็ไม่ดีไปกว่ากันเท่าไร เฉินเกอได้แต่ร้องเสียงแหบแห้ง คนอื่นๆ ย่อมรู้ว่าไม่ได้การแล้ว ได้แต่พากันตะโกนดังตาม
ยังไม่ทันรอให้หวังทงพูด สวีจวิ้นจากสำนักอาชาหลวงก็แค่นยิ้มกล่าวว่า
“เหลวไหลสิ้นดี เทียนจินส่งมอบเงินก้อนจินฮวาเข้าวัง เป็นพระประสงค์ฝ่าบาท เจ้าไม่รู้ หรือว่าต้องบอกเจ้าให้รู้ด้วย เจ้าเอาแต่บอกว่ามีเรื่องปิดบังหลอกลวง เป็นการลบหลู่ฝ่าบาท!!”