ตอนที่ 686 แต่ละคนล้วนมีที่มา
หน่วยวินัยทหาร หน่วยฝึกทหาร กองลาดตระเวน สามหน่วยงานจัดตั้งขึ้น เมืองหลวงสั่นสะเทือน ขุนนางบัณฑิตชิงหลิววิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด แต่พวกยื่นฎีกามีไม่กี่คน
ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวระดับล่างใช่ว่าทุกคนล้วนมีใจเพื่อแผ่นดินหรือเพื่อประชาอันใด ยังมีคนถูกชักจูงไปยื่นฎีกายุ่งเกี่ยวการเมือง แต่อย่างไรก็ย่อมไม่ออกหน้าเรื่องคุณธรรมอย่างไร้ที่มาที่ไปที่ตนเองไม่ได้ประโยชน์อันใด
ในบรรดาขุนนางบัณฑิตชิงหลิวที่เป็นระดับผู้นำล้วนพากันนิ่งไม่เคลื่อนไหว เงียบไม่กล่าวอันใด คนอื่น ๆ ก็ย่อมรู้สึกได้ว่ามีกระแสบางอย่าง ทุกคนอย่าได้เคลื่อนไหวพลการ
องครักษ์เสื้อแพรเป็นทหารในพระองค์ ในวังมีราชการจัดโครงสร้างใหม่ คนยื่นฎีกาใช่ว่าคิดต้องการขวางรับสั่งโอรสสวรรค์หรือ หน่วยวินัยทหาร หน่วยฝึกทหาร กองลาดตระเวนล้วนเป็นเรื่องภายในองครักษ์เสื้อแพร เสียหรือได้ก็ล้วนเป็นเรื่องภายในขององครักษ์เสื้อแพร ไม่เกี่ยวอันใดกับคนนอก สถานการณ์นี้ ทุกคนย่อมคร้านจะสนใจ
คณะเสนาบดีใหญ่กับหกกรมกองเองก็เงียบ ทุกคนภายใต้การนำของเหยียนชิงย่อมไม่อยากให้หวังทงกุมอำนาจองครักษ์เสื้อแพร แต่การเปลี่ยนแปลงในสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขา ในวังมีราชโองการมาก็จัดการได้ จะว่าไป พวกเขาแม้ว่าพูดไปจะทำอันใดได้
คณะเสนาบดีใหญ่ส่งต่อให้สำนักส่วนพระองค์ลงชาดอนุมัติ จึงนับว่าเสร็จกระบวนการราชโองการ แต่อำนาจนี้อยู่ในมือใครกัน ก็มหาอำมาตย์นั่นไง พวกเขาไม่คิดทำอันใด ไม่แน่เซินสือหังอาจยอม ราชโองการเป็นอย่างไร พวกเขาไม่อาจข้องเกี่ยว ไยต้องแกว่งเท้าหาเสี้ยนด้วยเล่า
**********
วันนั้นตอนรับราชโองการเสร็จ ทุกคนในที่ทำการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็เข้าไปห้อมล้อมประจบเอาใจ หวังทงอย่างไรก็ต้องรับน้ำใจ ทุกคนรู้จักกันมาไม่นาน ตอนนี้ยังมิได้มีบุญคุณความแค้นต่อกัน อย่างไรก็ไม่มีผู้ใดผลักไสคนยิ้มเข้าใส่ให้ออกห่างตัว
เกรงใจไปมาก็หนึ่งชั่วยามกว่า เมืองหลวงมีนายกองพันหลายนานประจำการในพื้นที่ตน เดือนหนึ่งก็มีหลายวันต้องมาหารือการปฏิบัติหน้าที่ในที่ทำงาน แต่วันนี้ไม่อยู่ พวกเขาได้ยินข่าวก็สายกว่าคนอื่นแล้ว สายก็ส่วนสาย มาก็ต้องมา นี่เป็นเรื่องของท่าที
รอจนบรรดานายกองพันพวกนี้แสดงน้ำใจเสร็จ นายกองพันเซวียจานเยี่ยแห่งสำนักบูรพาอย่างไรก็ต้องมาทักทาย ทหารสำนักบูรพาล้วนมาจากทหารองครักษ์เสื้อแพร หวังทงคุมหน่วยวินัยทหารก็ย่อมรวมพวกเขาด้วย หากเป็นคนอื่น ย่อมไม่กล้าเข้าจัดการสำนักบูรพา แต่หวังทงมีอันใดไม่กล้าจัดการ สำนักบูรพาเริ่มเคร่งเครียดแล้ว
เดิมปฏิบัติหน้าที่อยู่ในห้องทำงาน เป็นเช่นนี้อยู่จนฟ้าเริ่มใกล้มืด หวังทงปฏิเสธการจัดเลี้ยง ทุกคนก็ไม่อาจฝืน ย่อมต้องพากันกลับไป อย่างไรก็ต้องกลับไปคิดถึงการเปลี่ยนแปลงและรับมือในสำนักองครักษ์เสื้อแพรในวันหน้า ธรรมเนียมเมื่อก่อนที่เคยเป็นมานั้นไม่อาจนำมาใช้ได้แล้ว
ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหยางจั้นตกใจก็ส่วนตกใจ อย่างไรสถานะก็ยังคงอยู่ เขากล่าวแสดงความยินดีกับหวังทงไปสองสามประโยค รอจนทุกคนแยกย้ายจึงออกจากที่ทำการไป
แต่ทว่าทำงเขาเพิ่งขึ้นเกี้ยวออกไป ทุกคนก็เปลี่ยนท่าที แม้ว่าสิ่งที่องครักษ์เสื้อแพรทำก็คืองานสืบคดี แต่ในเมืองหลวงยามสงบสมัยนี้ การจะเรียกว่าหน่วยอารักขา ไม่สู้เรียกว่าเจ้าหน้าที่ถืออาวุธจะดีกว่า เอาไว้แสดงบารมีเท่านั้น
มีคนสังเกตเห็นว่า วันนี้หวังทงอยู่ห้องทำงานจนดึกมาก อันนี้ก็เข้าใจได้ ใต้เท้าหวังเพิ่งมารับตำแหน่งใหม่ มีงานมากมายที่ต้องจัดการ อย่างไรก็ต้องทำงานให้ทุกคนได้เห็นผลงาน
ฟ้ามืดลง โคมไฟก็แขวนขึ้นแล้ว คนรับใช้ใต้เท้าหวังกลับกลับมา วิ่งไปที่ห้องทำงานหวังทง ด้านนอกมีรายงานมา พอเข้ามาก็คำนับ คนที่เหลือในห้องออกไปกันหมด คนด้านนอกประตูจึงยืนขึ้นมองไปยังที่ไกลๆ เห็นทีคนผู้นี้มีข่าวสำคัญรายงาน
ที่จริงแล้ว ในห้องคนที่เอ่ยก่อนก็คือหวังทง เขาขมวดคิ้วกล่าวว่า
“เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้?”
นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรระดับนี้ คนไหนไม่มีเลี้ยงข้างนอกดึกดื่น ไม่อาจกลับจวนในเวลาเช่นนี้ แม้ว่าจับตาคนกลับจวนไปแล้วก็ไม่ควรวิ่งกลับมาในเวลาเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องสองสามชั่วยามได้
คนรายงานรีบอธิบาย กล่าวว่า
“ใต้เท้า ข้าน้อยไม่สะดวกตามต่อ ไม่ใช่ว่าไม่ไปจับตา?”
พอได้ยินเช่นนี้ หวังทงอึ้งไป คนรายงานกล่าวว่า
“ผู้ช่วยหยางไม่ได้กลับจวน แต่ไปจวนอู่ชิงโหว ที่นั่นด้านนอกมีคนอารักขา คนมากก็มากสายตา ข้าน้อยกลัวถูกจับได้ จึงได้กลับมา ใต้เท้าจะต้องส่งคนไปหรือไม่……”
“ไม่ต้องแล้ว ไปที่นั่นก็ไม่ต้องตามต่อแล้ว เจ้าไปพักผ่อนได้!”
หวังทงขัดข้อเสนอของคนรายงานข่าวขึ้น อู่ชิงโหวเป็นบิดาไทเฮาฉือเซิ่ง เป็นพระอัยกาของฮ่องเต้ว่านลี่ หยางจั้นเป็นคนของจวนอู่ชิงโหว เรื่องต่างๆ วันนี้ล้วนอธิบายได้ชัดเจน ฮ่องเต้ว่านลี่แม้จะไม่ทรงคล้อยตามไทเฮาฉือเซิ่ง แต่ความกตัญญูไม่เคยบกพร่อง กับอู่ชิงโหวหลี่เหว่ยก็ไม่เลว
หยางจั้นทำงานให้อู่ชิงโหว ก็นับว่าคนกันเอง ไม่จำเป็นต้องคิดมาก
***********
หยางจั้นอยู่ที่ทำการสำนักองครักษ์เสื้อแพร หรือที่อื่นในเมืองหลวง ก็ล้วนมีหน้ามีตา เขาสงวนท่าทีก็ส่วนสงวนท่าที คนรอบข้างกลับไม่กล้าไร้มารยาทกับเขาแม้แต่น้อย
แต่ตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรเช่นนี้ เข้าไปจวนอู่ชิงโหวกลับต่ำต้อยทันที คนดูแลหน้าประตูท่าทีไม่ยินดียินร้าย แต่เขาก็ยังยัดเงินให้คนเฝ้าประตูไป ที่จริงแล้ว หน้าประตูอู่ชิงโหวไม่เห็นแก่เงินไม่กี่ตำลึงนี้เท่าไร แต่หยางจั้นกลับไม่กล้าเสียมารยาท
พอเข้าไปก็รอสักครู่ ก็มีพ่อบ้านสามมานำทางเข้าไป พอเห็นพ่อบ้านสามมา สีหน้าหยางจั้นก็แย้มยิ้ม กล่าววาจาเกรงอกเกรงใจกันไปหลายประโยค
พ่อบ้านสามอู่ชิงโหวมิได้ผลักไสสัมพันธ์ หากสนทนาด้วยมารยาทเกรงใจ หยางจั้นก็ฟังออก อีกฝ่ายมีท่าทีและน้ำเสียงดูเหินห่าง
พอนำไปถึงเรือนข้างไม่นาน หยางจั้นก็ได้ยินฝีเท้าดังมา รีบลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้ดี ยืนรอ พอคนผู้นั้นเข้ามา หยางจั้นรีบคุกเข่าโขกศีรษะกล่าวว่า
“ข้าน้อยหยางจั้น คำนับอู่ชิงป๋อ”
“ไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร เหตุใดจึงเอาแต่คำนับใหญ่เช่นนี้ รีบลุกขึ้นๆ !”
คนที่เข้ามากล่าวน้ำเสียงสุขุมนิ่ง คนผู้นี้น่าจะราว 40 ต้นๆ สวมชุดสีเทาอ่อนชุดยาว ท่าทางเหมือนเป็นพวกไม่มีการงานอันใดให้ทำนัก ว่างยิ่ง แม้แต่งกายธรรมดา แต่ก็เรียกได้ว่าตัดเย็บเรียบร้อย ท่าทางการวางตัวก็มีกิริยาแบบชนชั้นสูง เป็นหลี่เหวินเฉวียนบุตรชายคนโตของอู่ชิงโหว เป็นน้องชายแท้ๆ ไทเฮาปัจจุบัน ตอนนี้ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นอู่ชิงป๋อ เป็นชนชั้นสูงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองหลวง
น้าแท้ๆ ฮ่องเต้ คิดจะไม่มีชื่อเสียงก็คงยาก แต่ปกติหลี่เหวินเฉวียนก็วางตัวสงบเสงี่ยมดี ไม่เคยวางอำนาจบาตรใหญ่ ทำอันใดก็รอบคอบยิ่ง เป็นที่กล่าวขานของคนทั่วไป
สงบเสงี่ยมก็ส่วนสงบเสงี่ยม ไม่ได้หมายความว่าอำนาจในมือจะสงบเสงี่ยมไปด้วย หยางจั้นรู้ดีว่าอำนาจวาสนาตนได้จากที่ใด ดังนั้นท่าทีจึงนอบน้อมอย่างมาก พอได้ยินหลี่เหวินเฉวียนกล่าวให้เกียรติ จึงรีบยิ้มกล่าวว่า
“ท่านป๋อกล่าวเช่นนี้ ทำข้าน้อยอายุสั้นแล้ว หากไม่มีท่านป๋อดูแล ไหนเลยข้าน้อยจะมีวันนี้ได้……”
หลี่เหวินเฉวียนยิ้มโบกมือบอกให้หยางจั้นนั่งลง พอนั่งลง หยางจั้นก็นั่งเพียงแค่ครึ่งเก้าอี้ ร่างโค้งไปด้านหน้าแสดงถึงการระมัดระวังด้วยมารยาทอย่างที่สุด หลี่เหวินเฉวียนกล่าวว่า
“ได้พบกันวันนี้ เจ้าคิดว่าหวังทงเป็นคนเช่นไร?”
หยางจั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนแสดงสีหน้าประจบกล่าวว่า
“ที่ใต้เท้าหวังว่ามาและทำมา ล้วนไม่เหมือนการกระทำของคนอายุเท่านี้ สุขุมมาก และที่ข้าน้อยได้ยินมา ใต้เท้าหวังมาดำรงตำแหน่งในสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็เพื่อกุมอำนาจแทนฝ่าบาท เหรินต้าถงกับเหยียนจวิ้นเฉวียนถูกข้าน้อยลากไปซักถามเอาเรื่อง ตอนนั้นใต้เท้าหวังก็แสดงท่าทีออกมาเล็กน้อย ดูแล้วไม่ได้แสร้งทำ ล้วนเพื่อฝ่าบาทแท้จริง เพื่อสำนักองครักษ์เสื้อแพร”
เรียกหวังทงว่า ‘ใต้เท้าหวัง’ หากเรียกชื่อเหรินต้าถงกับเหยียนจวิ้นเฉวียนตรงๆ เห็นได้ชัดว่ายามนี้กับยามกลางวันนั้นท่าทีต่างกัน น่าแปลกใจ
“เจ้าเด็กหวังทง ข้าเคยพบสองครั้ง เป็นผู้ช่วยมือดีของฝ่าบาท เจ้าดูเขาจัดการเทียนจินสิ ทำได้ความชอบเช่นนี้ กลับไม่เอามากล่าวอ้าง ได้แต่เพียรทำงานเพื่อวังหลวง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงก่อนหน้าที่สร้างความดีความชอบใหญ่เช่นนั้น……”
หวังทงวางตัวสงบเสงี่ยม หลี่เหวินเฉวียนก็เช่นกัน อู่ชิงป๋อผู้นี้ย่อมชื่นชมหวังทง กล่าวถึงตรงนี้ หลี่เหวินเฉวียนก็เหมือนเหม่อไปก่อนจะกล่าวว่า
“ฝ่าบาทตอนนี้กุมอำนาจปกครอง ใต้หล้านี้เป็นของฝ่าบาท ทำเอาเป็นเช่นนี้ไปได้ เฮ้อ โทษพี่สาวข้าที่ไม่วางใจอันใดสักเรื่อง เรื่องใดก็ต้องจัดการเอง ปรากฏเป็นไง แม่ลูกต้องมาเหินห่าง จริงๆ เลย”
เขากล่าวด้วยท่าทางบอกไม่ถูก หยางจั้นได้แต่นิ่ง เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เขาควรกล่าวแทรกอันใดได้ ถึงกับได้ฟังก็ยังผิด ดีที่เขาเป็นคนสนิทหลี่เหวินเฉวียน ไม่เช่นนั้นหลี่เหวินเฉวียนคนไม่หลุดออกมากล่าวเช่นนี้
หลี่เหวินเฉวียนนิ่งไป หยางจั้นจึงกล่าวด้วยท่าทีระมัดระวังว่า
“ท่านป๋อ หวังทงตอนนี้แม้เป็นรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร แต่อำนาจกลับไม่ได้น้อยกว่าลู่ปิ่งในสมัยนั้น งานที่เทียนจินของเขาทั้งหมดก็ยังอยู่ในกำมือ เรื่องนี้เกรงว่าอาจจะ……”
“เขาจงรักภักดี ก็พอแล้ว เทียนจินขึ้นมาได้ก็เพราะเขา องครักษ์เสื้อแพรเละเทะเช่นนี้จัดการสักหน่อยก็ดี เจ้ายังคงขี้บ่นเหมือนเมื่อก่อนไม่ผิด พอแล้ว เจ้าควรช่วยก็ช่วยไป แต่ก็อย่าให้เจ้าเด็กนั่นใช้งานจนหัวหมุนไป เรื่องอื่นข้าจัดการเอง!!”
หยางจั้นรีบก้มคำนับรับคำ อารมณ์เสด็จน้าฮ่องเต้นั้นเปิดเผยยิ่ง ที่จริงแล้วทำงานรอบคอบ ตอนนั้นปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบภาษีเหนือใต้ ก็เป็นคนที่เห็นโลกมามาก เขาจึงไม่กล้ารอช้า ลังเลครู่หนึ่งก็กล่าวว่า
“ท่านป๋อ หลี่เฉิงเหลียงเมืองเหลียวโจวส่งสารมา เขาพลั้งมือสังหารหัวหน้าเผ่าทางนั้นไป บุตรชายทางนั้นจะเอาเรื่องให้ได้ หลี่เฉิงเหลียงคิดมอบตำแหน่งหัวหน้าเผ่าต่อให้แก่บุตรชายหัวหน้าเผ่าเดิม แต่ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมทางนั้น หัวหน้ากาวทางเมืองเหลียวโจวไม่ยอม แต่หากยังดึงดังเช่นนี้ไป ยากจะจบเรื่อง ขอให้ท่านป๋อช่วยไกล่เกลี่ย”
หลี่เหวินเฉวียนโบกมือ กล่าวอย่างรำคาญว่า
“หัวหน้าเผ่าเล็กๆ จะเท่าไรกัน ให้ไปเถอะ เหล่ากาวก็มากเรื่องจริง เจ้าช่วยข้าเขียนจดหมายไปแจ้งด้วย!!”