Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 694

ตอนที่ 694 โบยหนักทั่วเมืองหลวง

ราชสำนักตกลง ไม่ว่าฮ่องเต้หรือขุนนางล้วนระมัดระวังกันอย่างผิดวิสัย หลังประชุมขุนนางจบลง ย่อมนำท่าทีและพระดำรัสฮ่องเต้ยามนี้มาวิเคราะห์ละเอียด จากนั้นก็คิดวิธีรับมือต่อไป

ตั้งแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ครองราชย์มาจนจางจวีเจิ้งป่วยจากไปไม่ทรงมีความคิดส่วนพระองค์เท่าไร และยังไม่มีประสบการณ์การจัดการทางการเมืองสักเท่าไร ดังนั้นเรื่องใดที่เกี่ยวพันกับแผ่นดินอย่างมากหรือมีปัญหาอันใด มีการโต้แย้งอันใด ก็มักจะเอาไว้หารือกันวันหลัง วันต่อมา หรือวันที่สามก็ค่อยนำมาหารือใหม่

เช่นนี้แล้ว บรรดาขุนนางใหญ่ก็สามารถระดมแนวทางเพื่อประนีประนอม อาจหาเสียงจากขันทีในวัง และตัดสินไปตามผลประโยชน์ต่อตนเองที่สุด

ฮ่องเต้ว่านลี่ยังทรงใส่พระทัยกับภาพลักษณ์พระองค์ในสายตาขุนนาง ทรงรู้ว่ายังขาดประสบการณ์ ไม่เคยลงมือทำงานแผ่นดินจริงๆ จังๆ หากพูดผิดหรือจัดการผิดไปก็จะถูกทุกคนหัวเราะเยาะเอาได้ เกรงว่าวันหน้าจะยิ่งยุ่งยาก ดังนั้นจึงทรงรอบคอบระมัดระวังมาโดยตลอด ไม่มั่นใจเต็มร้อยก็จะไม่ตัดสินพระทัย

อีกอย่าง ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสอันใดในที่ประชุม หากขุนนางมีความเห็นค้าน ฮ่องเต้ว่านลี่จะทรงระมัดระวังสิ่งที่ทรงนำเสนอออกไป มักจะดึงออกไปค่อยตัดสินใจวันหลัง

ในความเป็นจริง ยามมีเรื่องโต้แย้งกันในการประชุม มักเป็นความเห็นของฮ่องเต้ว่านลี่องค์เดียว ไม่ได้เคร่งอันใด เด็กหนุ่มอายุ 20 ต้นๆ ยามต้องเผชิญกับขุนนางใหญ่มากมายที่อยู่ในวงการขุนนางมาหลายสิบปี ย่อมไม่อาจได้เปรียบอันใด

ครั้งนี้หวังทงยื่นฎีกาปรับเปลี่ยนระบบรักษาความสงบเมืองหลวง ก่อนประชุมนั้น ขุนนางก็มั่นใจว่าจะตีตกได้ คิดไม่ถึงว่าพอถกกันขึ้นมา ถึงกับตกในสถานการณ์เช่นนี้ไปได้

พระดำรัสฮ่องเต้ก็มีเหตุผล แต่ก็มีบางอย่างแฝงความไร้เหตุผลอยู่บ้าง วาจาไร้เหตุผลที่แฝงนี้ก็กลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง นี่ไม่เท่าไร ความผิดมากมายเตรียมโยนให้ตลอดเวลา เช่นนี้แล้วทุกคนก็ยากจะกล่าวอันใด

ฮ่องเต้อย่างไรก็คือฮ่องเต้ วาจาไร้เหตุผลตรัสออกมา ขุนนางแม้โมโห ก็ได้แต่มองหน้ากัน ได้แต่ยอมรับไปอย่างไม่ยินยอม

บางทีการรักษาความสงบนอกและในเมืองหลวงได้เวลาจัดการสักทีแล้ว บางทีต้องเสริมอำนาจองครักษ์เสื้อแพรให้เข้มแข็งเพื่อรักษาความสงบในเมืองหลวงนี้เอาไว้ แต่ว่าทุกคนรู้ดีว่า ฮ่องเต้ว่านลี่ต้องการเสริมอำนาจให้หวังทง การเสริมอำนาจให้หวังทง ก็เท่ากับเสริมอำนาจให้พระองค์เอง ต้องจัดการควบคุมเมืองหลวงไว้ให้ได้

***********

“……นี่มันเรื่องเหลวไหลแท้ๆ กล่าวมาได้อย่างไรว่าเมืองหลวงก็มีทหารรักษาเมืองหลวง เรื่องรักษาความสงบสามารถพึ่งพาทหารเหล่านี้ได้ ไยต้องใช้องครักษ์เสื้อแพร หากทัพใหญ่เคลื่อนไหว เลือดหลั่งเต็มท้องน้ำ พวกที่ไม่ก่อการก็ย่อมนำกำลังออกปราบ เกรงว่าการจลาจลเล็กคงได้กลายเป็นจลาจลใหญ่……”

“ขุนนางพวกนี้ก็คงอยากให้เรายุ่งให้น้อยๆ หน่อย ให้กองกำลังเมืองหลวงรักษาความสงบเมืองหลวง น่าขันจริง พวกเขาคิดเพื่อแผ่นดิน หรือต้องการให้ใต้หล้ารีบเกิดเรื่องขึ้นไวๆ กัน!”

วาจาหวังทง ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสขึ้นน้ำเสียงเย็นเยียบ หวังทงเข้าเมืองหลวง ทุกเรื่องจัดการเรียบร้อย ทุกสองวันก็จะเข้าวังมารายงานพระองค์ พระเมตตานี้ทำให้หลายคนอิจฉาตาร้อน

สองสนทนากันไปสักพัก ฮ่องเต้ว่านลี่ก็แย้มสรวลตรัสว่า

“หวังทง เจ้าก็ช่างคิดวิธีได้ วันนั้นมอบเล่มนี้ให้เรา เรื่องที่เขียนในนี้ ทำให้ขุนนางใหญ่พวกนั้นถึงกับโต้ไม่ออก พอบอกไปว่าคณะเสนาบดีใหญ่ก็ไม่ใช่กฎระเบียบบรรพชนวางไว้ สีหน้าเซินสือหังก็เปลี่ยนทันที ตอนนั้นเจ้าไม่อยู่ เราเกือบหลุดหัวเราะออกมา อ่านสมุดที่เจ้ามอบให้เรา ทำให้เราเองก็รู้แต่ไม่อยากฉีกหน้า คนพวกนี้ วันๆ เอาแต่ ‘ไม่เคยมีมาก่อน’ ‘กฎระเบียบบรรพชน’ เหตุผลพวกนี้มากล่าวอ้าง แต่หากให้พวกเขาพูดเหตุผล พวกเขากลับไม่รู้ว่าจะพูดอันใดดี ตอนนี้คิดแล้วก็สะใจจริง”

“ทูลฝ่าบาทตามตรงๆ การโต้ตอบในราชสำนัก ก็มีพวกอาลักษณ์ของคณะเสนาบดีใหญ่และที่ปรึกษาของบรรดาขุนนางใหญ่แพร่ข่าวออกมาแล้ว การจะจับให้อยู่หมัดจึงเป็นเรื่องไม่ยาก จะว่าไป เมืองหลวงเสริมกำลังรักษาความสงบเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนจริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจหาเหตุผลมาคัดค้านได้”

ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ ก่อนหวังทงยื่นฎีกาก็เข้าวังมาอธิบายด้วยตนเอง เขาเปิดโปงคดีของบัณฑิตจวี่เหรินออกมา จากนั้นก็ให้ศาลซุ่นเทียนรวบรวมคดีในหลายปีนี้ออกมาเป็นหลักฐานว่าตอนนี้เมืองหลวงการรักษาความสงบถึงระดับที่เรียกว่าเลวร้ายอย่างมากแล้ว อีกอย่าง สถานการณ์ตอนนี้ เมืองหลวงย่อมเป็นเหมือนรังซ่อนสิ่งชั่วร้ายเอาไว้ โจรชั่วลัทธิไตรสุริยันอยู่เมืองหลวงมานานปี ศาลซุ่นเทียนหรือแม้กระทั่งสำนักบูรพากับสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่อาจรับมือได้ สุดท้ายบ่มจนเกิดเป็นภัยใหญ่

ตอนนี้ทุกอย่างยังทำเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เมืองหลวงวุ่นวายเพียงนี้ หากไม่ลงมือจัดการจริงจัง ก็ย่อมเกิดภัยเสี่ยงเกิดเหตุก่อการอย่างแน่นอน เมืองหลวงวุ่นวายเช่นนี้ หากมีคนลงมือเพียงกระดิกพัด ก็ย่อมอาจทำให้เกิดภัยใหญ่ได้ วาจาหวังทงทูลได้อย่างกระจ่างชัด

ศาลซุ่นเทียนดูแลรักษาความสงบเมืองหลวง หากคนศาลซุ่นเทียนล้วนเป็นขุนนางบุ๋นระดับห้าลงไป คุมโดยกรมปกครอง เจ้ากรมใหญ่ศาลซุ่นเทียนเป็นตำแหน่งไร้อำนาจจริง รองเจ้ากรมหลี่ว์วั่นไฉพอวางใจได้ แต่นอกจากหลี่ว์วั่นไฉ เรื่องอื่นๆ ของศาลซุ่นเทียนในวังไม่อาจยื่นมือเข้าข้องเกี่ยว ใช้งานไม่สะดวก

ในเมืองประทับของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่อาจจัดการเรื่องความรักษาสงบเองได้ เกรงว่าคงมีภัยแฝงเร้นไม่น้อย ที่จริงแล้วสถานการณ์เช่นนี้เป็นมานานแล้ว กรมปกครองดูแลขุนนางระดับห้าลงไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้หรือวันวาน เจ้ากรมใหญ่ศาลซุ่นเทียนก็เป็นคนจากหกกรมกองเสนอมา พระราชอำนาจฮ่องเต้ในการคุมขุนนางนอกวังเริ่มอ่อนแอลง เรื่องนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ได้แต่ใช้งานขันทีฝ่ายใน เป็นแรงหนุนให้ขันทีฝ่ายในออกไปต่อสู้กับขุนนางภายนอก

ฮ่องเต้ว่านลี่ฟังแล้วก็สนใจอย่างมาก เหตุผลก็ง่ายมาก ตอนเกิดเหตุลัทธิไตรสุริยันก่อการในวัง ไม่อาจควบคุมได้ นอกวังก็เช่นกัน ฮ่องเต้ว่านลี่เป็นได้แค่แมวน้อยหลบอยู่ในพระตำหนัก ได้ยินเสียงพวกหวังทงสังหารอยู่ด้านนอกไม่หยุด พอจบเรื่องจึงได้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกระจ่าง

เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนกับสำนักรักษาความสงบล้วนเป็นหน่วยงานที่หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนจัดตั้งขึ้นมา ทหารชนชั้นสูงออกหน้าช่วยก็เพราะอาศัยเซินสือหังไปเจรจา หน่วยงานที่มีหน้าที่รักษาความสงบกลับไม่เคลื่อนไหวอันใด นั่งดูเมืองหลวงเกิดเหตุจลาจล ในวังเกิดเหตุจลาจลใหญ่นั้นหากไม่มีหวังทงวางแผนไว้ก่อน เกรงว่าก็คงเป็นหายนะราวแผ่นดินแตกแยกเลยกระมัง

และเราะมีเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นฮ่องเต้ว่านลี่จึงต้องพร้อมยอมแสดงทุกอย่างในการประชุมอย่างเต็มที่ก็เพื่อให้ฎีกาหวังทงนั้นผ่านออกไป หวังทงตั้งหน่วยวินัยทหาร หน่วยฝึกทหารและกองลาดตระเวนก็เพื่อจุดประสงค์นี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ใช้งานหวังทงย่อมไม่มีอันใดใช้งานไม่ได้ หวังทงกุมอำนาจการรักษาความสงบในเมืองหลวงเอาไว้ในมือได้ ก็เท่ากับฮ่องเต้ว่านลี่กุมอำนาจการรักษาความสงบในเมืองหลวงเอาไว้ในพระหัตถ์ได้ ขันทีในวังย่อมเห็นด้วย

“คิดจะโต้แย้ง อย่างไรก็ต้องหาเหตุผลมาโต้แย้ง คงไม่คิดมีเรื่องกับเราแตกหักด้วยเรื่องการรักษาความสงบในเมืองหลวงหรอก หวังทง เจ้าอยู่เทียนจินนานไป ไม่รู้ว่าคนพวกนี้คดไปเคี้ยวมาเพียงใด ไม่รู้ว่าร่ำเรียนตำราปราชญ์มาแปลงเป็นลูกไม้ใดได้อีก”

ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงขำอย่างมาก หวังทงไม่กล่าวอันใด ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามขึ้น

“ราชโองการลงมาแล้ว โครงสร้างการจัดการเจ้าก็คิดเรียบร้อยแล้ว จะทำอย่างไรต่อ?”

“ฝ่าบาท ในเมืองคดีใหญ่ไม่มาก คดีเล็กไม่น้อย นอกเมืองคดีใหญ่เล็กล้วนมีมาก คดีมากเพียงนี้คงเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ละเลย ปล่อยปละไม่ลงโทษ หากปล้นหรือขโมยที่ไม่ถึงแก่ชีวิต ก็จับมาโบยที่ศาล หากจ่ายเงินไว้ก่อนหน้า โบยไม่กี่สิบไม้ ผิวหนังยังไม่เปลี่ยนสีเลย คิดอยากให้คนพวกนี้เกรงกลัวก็ต้องโบยหนัก กระหม่อมสองวันก่อนกำลังเริ่มคิดระเบียบอยู่กับศาลซุ่นเทียน อีกสองสามวันจึงนำมาทูลเกล้าฝ่าบาทได้”

หวังทงทูลตอบ ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลพยักพระพักตร์ เงียบไปครู่หนึ่งจึงตรัสว่า

“องครักษ์เสื้อแพรตอนนี้คุมกำลังรักษาความสงบเมืองหลวง คงต้องเกี่ยวพันกับในวังไม่มากก็น้อย เราตอนนี้จะส่งคนไปดูแล ก็เหมือนส่งขันทีออกไปคุมงานนอกเมืองหลวงแบบที่ผ่านมา”

ในเมื่อฮ่องเต้ตรัสขึ้น หวังทงรีบยืนขึ้นทูลว่า

“กระหม่อมคิดว่าเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้วจะทูลรายงานฝ่าบาท เรื่องนี้กระหม่อมไม่ทันคิดไป!”

ไม่ว่าผู้ใดทำงานก็ย่อมไม่อยากให้มีคนมาควบคุม หวังทงย่อมไม่อยากให้คนในวังมายุ่งเกี่ยว แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเช่นนี้ ก็ย่อมสนองตอบ

ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลพยักพระพักตร์ตรัสว่า

“เสี่ยวเลี่ยง (เจ้าจินเลี่ยง) ตอนนี้ก็น่าจะมีงานต้องรับผิดชอบ เรื่องงานในหน้าที่ตอนนี้จางปั้นปั้นช่วยดูแลอยู่ เราคิดจะหาคนกันเองไปดูแล เจ้าเองก็เคยรู้จักกันมาก่อน เจ้ากับเขาก็ไม่ใช่คนนอก เราวางใจยิ่ง”

หวังทงคิดจะกล่าวอันใด ฮ่องเต้ว่านลี่กลับแย้มสรวลตรัสว่า

“เสี่ยวเลี่ยงอย่างไรก็ต้องรับใช้เราก่อน ไม่อาจไปช่วยเจ้าได้บ่อยนัก เจ้าอย่าได้รังเกียจ”

การจัดการเช่นนี้ไม่นับว่าวางคนตัวเองไว้จับตา หวังทงลุกขึ้นยิ้มกล่าววาจาตามมารยาทสองสามคำ หันไปพยักหน้าให้เจ้าจินเลี่ยง เจ้าจินเลี่ยงเองก็พยักหน้าตอบ หวังทงอยู่ ๆ รู้สึกว่า เด็กน้อยในวันนั้นเหมือนว่าอยู่ ๆ ก็ เปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มที่สุขุมขึ้น

************

กลางเดือนห้า ทหารองครักษ์เสื้อแพรกองลาดตระเวนอยู่บนถนนและตรอกซอกซอย สถานที่คนชุมนุมกันมากกำลังฟังอ่านเอกสารทางการ ทหารเหล่านี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน แม้อากาศร้อนมาก แต่ก็แต่งกายเรียบร้อย พกดาบไว้ที่เอว มีคนหนึ่งกางเอกสารออกอ่านดัง อีกคนยืนตรงท่าทางเคร่งขรึมอยู่ข้างๆ

ทหารองครักษ์เสื้อแพรที่เคยไม่เอาไหน ยามนี้แต่ละคนเปล่งรัศมีสังหารหลายส่วน เข้ารับการฝึกมาลำบากลำบน ตากแดดจนตัวดำเมี่ยม หน้ำตาไม่เหมือนกับเมื่อก่อน

“……ขโมย ร่วมกลุ่มปล้น มีเรื่องชกต่อยกลางถนน รวมตัวกันก่อความไม่สงบ……เรื่องผิดกฎหมายต่างๆ ให้ลงโทษสถานหนัก……อย่าหาว่าไม่แจ้งล่วงหน้า……”

ราษฎรเห็นเช่นนี้คิดว่าก็แค่ทหารชุดใหม่ออกมาวางท่าทางไปอย่างนั้น บรรดาบัณฑิตต่างแค่นเสียงขึ้นจมูกเยาะ เสียดสีว่า ‘เรื่องวางอำนาจไร้สาระ’ หลายคนรอดู

มีคนถามหวังหากยังทำจะจัดการเช่นไร ตอนนั้นหวังทงกำลังอ่านเอกสารอยู่ จึงตอบไปอย่างไม่สนใจอันใดว่า ‘โบยหนัก’

ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 ภายใต้ชื่อรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทง ปฏิบัติการ ‘โบยหนัก’ ทั่วเมืองหลวง……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!