ตอนที่ 696 วีรบุรุษเอ่ยการรบ
ในเมื่อฮ่องเต้มีพระบัญชา หวังทงเช้าวันรุ่งขึ้นก็ย่อมตื่นขึ้นมาเตรียมการ ตามพวกถานเจียงมาให้ออกนอกเมืองไปด้วยกัน ตอนปรากฏตัวที่ประตูฉงเหวินเหมินทางออกนอกเมือง ระฆังและกลองวังหลวงเพิ่งตีดัง
เมื่อพักบนถนนทักษิณ เสียงระฆังและกลองวังหลวงเป็นความคุ้นเคยหนึ่งของหวังทง เป็นเสียงบอกว่าประตูวังเปิด โจวอี้จึงออกมาได้ ตนเองมาเช้าไป ต้องรออีกสักพัก
ทางตะวันออกเริ่มสว่างแล้ว เพราะกำแพงบังแสงไว้ มองไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น แต่คนมายืนรอหน้าประตูฉงเหวินเหมินไม่น้อยแล้ว
ประตูฉงเหวินเหมินเป็นประตูด่านภาษี พ่อค้านอกและในเมืองหลวงส่วนใหญ่ต้องผ่านประตูนี้ แต่พวกที่ไปเมืองอื่นแล้วต้องผ่านประตูนี้ ก็เหมือนอ้อมไป ดังนั้นคนออกนอกเมืองจึงไม่มาก หวังทงเคยเขาออกสองสามครั้ง ยามนี้ เงียบเหงามาก
พวกหวังทงมาหยุดรอตรงที่ว่างหน้าประตูเมือง ส่งทหารคนหนึ่งไปซื้อหาอาหารเช้ารอการมาของโจวอี้ พวกหวังทงอยู่ในชุดลำลอง แม้เช่นนี้หากแต่ละคนยังเปล่งรัศมีชายฉกรรจ์ แต่พวกลูกหลานพวกมีเงินในเมืองหลวงออกนอกเมืองก็มีท่าทางเช่นนี้ทั้งนั้น ทุกคนเห็นแล้วก็ไม่แปลก
หวังทงกลับมองไปยังคนที่มารวมตัวกันอยู่หน้าประตูเมืองแล้วรู้สึกผิดปกติ กลุ่มคนที่มาออกันอยู่นี้มองอย่างไรก็ไม่เหมือนราษฎรธรรมดา ดูแค่การแต่งกาย คนไม่น้อยสวมผ้าแพรต่วน ราษฎรปกติย่อมซื้อหามาใส่ไม่ไหว แต่ละคนยังมีห่อผ้า ส่วนใหญ่มากับม้าหรือรถม้า
มีม้าและรถม้าพร้อมเสื้อผ้าตัดจากแพรต่วน คนพวกนี้ชะเง้อมองไปรอบๆ บ้างสีหน้าดุร้าย บ้างสีหน้าตื่นตระหนก และคนพวกนี้ยังน่าจะรู้จักกัน ยังแอบคุยกันตลอดเวลา แต่ก็ยังออกไปยืนห่างกันต่อเป็นกลุ่มเล็กๆ ทำเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน
หวังทงกวาดตามองไป มักจะไปสบตากับคนๆ หนึ่ง มีคนหันมาสบตาเข้าก็หันหน้าหนี มีคนกินปูนร้องท้อง มีคนจ้องมองกลับมาอย่างดุร้าย แต่พอเห็นท่าทางร้ายกาจของหวังทงก็หดหัวกลับไปแทน
“ใต้เท้า ข้าน้อยคุ้นหน้าทหารกองลาดตระเวนผู้หนึ่ง……”
กำลังสังเกตอยู่นั้น ก็มีทหารหนึ่งเข้ามากระซิบขึ้น หวังทงอึ้งไปและก็เข้าใจกระจ่าง พวกเขาเป็นพวกนักเลงพวกโจรกระจอกในพื้นที่ ยังคิดว่าจะเรียกทหารละแวกใกล้ๆ หรือทหารองครักษ์เสื้อแพรที่ใกล้แถวนั้นมาจับตัวไป พอได้ยินทหารตนกล่าวเช่นนี้ ก็คิดถึงรายงานเมื่อวาน
เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่มีพวกโจรขโมยชุกชุม ยังมีพวกสร้างสถานการณ์ต้มตุ๋นอีกมาก และยังมีพวกทำความผิดหรือเคยทำความผิดต่างๆ มา ตอนนี้ล้วนพากันออกนอกเมืองกลับบ้านเกิดไปหลบสักพัก
สำนักรักษาความสงบกับกองลาดตระเวนทางหนึ่งก็ใช้สายจากที่เคยมีมา ทางหนึ่งก็ส่งคนปะปนเข้าไปเป็นสายเพิ่ม เตรียมดูว่าพวกเขาออกจากเมืองหลวงแล้วไปพึ่งพาอิทธิพลผู้ใด มีคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องจับตาดูเป็นพิเศษ รู้ว่าเขาไปขอพึ่งบารมีผู้ใด ก็มักจะตามไปสืบสาวราวเรื่องต่อได้ สืบคดีอื่นๆ ได้เพิ่มอีก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หวังทงจึงไม่ต้องคิดนาน จะได้ไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ทหารที่ไปซื้ออาหารเช้ากลับมา ก็เป็นพวกแผ่นแป้งไส้เนื้อพวกนั้น ทุกคนกินให้อิ่มท้องกันไปเท่านั้น
ไม่นาน ทหารศาลอาญาใหญ่ก็ตะโกนดัง ประตูเมืองเปิด ทุกคนก็ทะลักกันออกไป พวกหวังทงมองตามทุกคนไปจนสุดสายตา
หลังประตูเมืองเปิด ด้านนอกมีขบวนพ่อค้าเข้าเมืองมาสองขบวน โจวอี้ในชุดยาวกับทหารติดตามสองสามนายก็ขี่ม้ามาถึง สองฝ่ายรวมตัวกันนอกประตูเมืองแล้ว ก็ออกจากเมืองไปพร้อมกัน
ต้นเดือนห้า อากาศเมืองหลวงกำลังดี ตอนเช้าขี่ม้าออกมาก็อารมณ์ดี เดินออกจากพื้นที่หน้าประตูฉงเหวินเหมินไป ขบวนรถม้าพ่อค้าก็ไม่มาก เงียบสงบมาก
ทหารสองฝ่ายแบ่งออกเป็นสี่ทิศอารักขาหวังทงกับโจวอี้ที่ค่อยๆ ควบม้าไปพร้อมกัน ขี่ไปก็คุยไปพลาง เรื่องนอกประตูเมืองวันนี้ไม่ใช่เรื่องลับสำคัญอันใด จึงเอาอออกมาพูดกันได้ โจวอี้ยิ้มเริ่มประเด็นคุยกัน
“พวกสำนักบูรพาตอนนี้ล้วนเลื่อมใสใต้เท้าอย่างมาก บอกว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่มานานเช่นนี้ รู้สึกไม่รู้ทุกซอกมุมของทุกพื้นที่เมืองหลวงได้ แต่พอน้องหวังสั่งโบยหนัก และให้สำนักรักษาความสงบทำทะเบียนราษฎร์ พริบตาเดียวก็รู้กระจ่างหมด วันหน้าพวกเขาสืบคดีย่อมสะดวก พวกนักเลงโจรหัวขโมยก็น้อยลงไปมาก สำนักบูรพาก็ไม่ต้องมาพลอยเสียเวลาไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีก เจ้าไม่รู้หรอกว่า สองปีก่อน พ่อบ้านรองจวนอู่ชิงโหวทำเงินกับเครื่องประดับหายนอกจวน ปรากฏว่าคนศาลซุ่นเทียน องครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาล้วนต้องออกโรงหากันให้วุ่นวายไปหมด……ในเมืองมีพวกโจรชุกชุม ควรจัดการนานแล้ว หลายครั้งที่ไปฟ้องร้องศาลซุ่นเทียน แต่ก็ไม่ได้เสียงตอบกลับ เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนได้รับเงินจากโจรพวกนี้เลี้ยงดูจนอ้วนพีไปหมดแล้ว……”
“โบยหนักครานี้ อย่างน้อยก็ดีไปได้อีกสองปี ข้าคิดว่าหากสองปีให้หลังเจ้าโจรพวกนี้ยังไม่รู้ดีชั่ว ยังทำเรื่องผิดกฎหมายอีก ก็จะปฏิบัติการโบยหนักอีกครั้ง”
หวังทงยิ้มกล่าว โจวอี้ก็ยิ้มตาม เดินไปอีกสองสามก้าว โจวอี้กล่าวว่า
“เช่นนี้ หากเมืองหลวงเกิดเหตุวุ่นวาย คนของเจ้าเข้าปฏิบัติการทันที และยังรู้ถนนหนทาง รู้ว่าไปจัดการได้ที่ใด ทำเช่นไร ไม่เสียเวลา ก็คงไม่เหมือนคืนนั้น แต่ละแห่งล้วนตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายวิกฤต ยังต้องให้พี่น้องเราด้านนอกออกหน้าจัดการอีกแรง……”
กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าโจวอี้ไร้รอยยิ้ม คิดถึงความน่ากลัวในคืนนั้นแล้ว โจวอี้ก็สะบัดแส้ในมือเร่งให้ม้ารีบวิ่งไปเร็วอีกหน่อย กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เมืองหลวงเราพวกขุนนางมักแอบส่งคนแทรกซึมเข้ามา น้องหวังสร้างระบบงานเช่นนี้ จะต้องคุมงานให้ดี ฝ่าบาททรงใส่พระทัยในเรื่องนี้เรียกว่าไม่ง่ายนัก……”
หวังทงพยักหน้า คนนำหน้าหน้าสุดก็คือทหารอารักขาโจวอี้ ออกนอกเมืองมาก็มุ่งไปทางตะวันออก ข้างหน้าเป็นหมู่บ้าน ที่ตั้งหมู่บ้านนี้มีสถานีพักม้าขนาดใหญ่ ขุนนางไปมาเมืองหลวงหากไม่จำเป็นต้องเข้าเมืองหลวงปฏิบัติหน้าที่ ก็มักจะมาพักค้างคืนที่นี่
“พี่โจว วันนี้ต้องไปพบผู้ใดกันแน่?”
เห็นทิศทางมุ่งไปยังโรงเตี๊ยมสถานีพักม้า ทหารอารักขาวิ่งนำไปก่อนแล้ว หวังทงอดแปลกใจจนต้องถามขึ้นไม่ได้มาถึงตอนนี้ โจวอี้ไม่ปิดบัง เพียงยิ้มกล่าวว่า
“ชีจี้กวง”
คนนำทางนำมาถึงหน้าโรงเตี๊ยมสถานีพักม้า ก็มีทหารสิบกว่านายออกมาขวางไว้เพื่อสอบถาม แต่พอเห็นโจวอี้กับหวังทงแสดงป้ายสถานะ ก็รีบปล่อยให้ผ่านไป
“……ชีจี้กวงส่งมอบตราแม่ทัพเมืองจี้โจวแล้ว ตอนออกจากพื้นที่ยังส่งทหารนำฎีกามาเมืองหลวง อยากเข้าเฝ้าฝ่าบาท หากฝ่าบาทไม่ทรงอนุญาต แต่พอผ่านไปวันหนึ่ง ฝ่าบาทก็ทรงอยากรู้ว่าชีจี้กวงต้องการกล่าวอันใด จึงส่งข้าและน้องหวังมา ไม่ว่าชีจี้กวงกล่าวอันใด เราก็แค่ฟังแล้วกลับไปรายงานก็พอ”
**********
ชีจี้กวงไปรับตำแหน่งที่กวางตุ้ง คนทั้งจวนก็ราว 500 ส่วนใหญ่เป็นขุนพลฝีมือดี พวกเขามาพักที่ ก็ทำให้เหมือนค่ายทหารไป แผ่รัศมีสังหารออกมาเป็นระยะๆ
พอเข้าไปด้านใน ตอนเห็นชีจี้กวง รัศมีสังหารด้านนอกล้วนมลายหายไปสิ้น ชีจี้กวงในชุดยาวสุภาพแบบบัณฑิตสีน้ำตาลขลิบทอง กำลังนั่งจิบชาอยู่ เครื่องเรือนในห้องล้วนเป็นของใหม่ กาน้ำชาที่ชีจี้กวงใช่ย่อมมีราคาไม่น้อย กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมา แสดงให้เห็นว่าเป็นชาชั้นดี
ชีจี้กวงใช้ผ้าโพกปิดบังผมและเคราเอาไว้ ผมจัดเก็บเรียบร้อย เทียบกันตอนที่เห็นที่เทียนจิน เห็นได้ชัดว่าภูมิฐานอยู่สักหน่อย พอเห็นหวังทงกับโจวอี้เข้ามา ก็รีบยืนขึ้นพยักหน้ากล่าวว่า
“โจวกงกง ใต้เท้าหวัง รบกวนแล้ว!”
“คารวะใต้เท้าชี!”
ที่จริงแล้วชีจี้กวงเรียกได้ว่าสูญเสียอำนาจไปแล้ว แต่ก็ยังได้เป็นแม่ทัพอีกเมืองหนึ่ง ยังคงมีบรรดาศักดิ์ระดับป๋ออยู่หวังทงกับโจวอี้อย่างไรก็ต้องคำนับ
คำนับเรียบร้อย ชีจี้กวงโบกมือให้ทหารรับใช้ในห้องออกไป ตนเองนั่งลงตรงหน้ากาน้ำชาดินเผาทำจากดินสีแดง รินให้หวังทงกับโจวอี้เต็มแก้ว หวังทงกับโจวอี้อย่างไรก็ต้องลุกคำนับขอบคุณ ชีจี้กวงยิ้มกล่าวว่า
“ตอนปราบโจรสลัดแถบฮกเกี้ยนเจ้อเจียงตอนนั้น ที่นั่นมีชาดี ข้าติดอยู่เรื่องก็คือทางนั้นต้องส่งชามาทุกปี แต่เมืองจี้โจวไม่มีแหล่งน้ำดี เมืองหลวงนี้ไม่เหมือนกัน!”
โจวอี้ยิ้มพยักหน้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าชีจะสุนทรีย์เช่นนี้ ครั้งนี้ข้าและใต้เท้าหวังมาก็เพื่อมาฟังว่าใต้เท้าชีต้องการกล่าวอันใด จะได้กลับไปรายงานฝ่าบาท ใต้เท้าชีมีอันใดว่ามาได้เลย”
วาจามีนัยเร่งให้พูดให้จบ ชีจี้กวงส่ายหน้ายิ้ม วางถ้วยชากล่าวว่า
“ตั้งแต่ตั้งราชวงศ์หมิงมา พวกนอกด่านเป็นศัตรูใหญ่ ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องตั้งเมืองชายแดนทั้งเก้า ตอนนี้ทุ่งหญ้านอกด่านมีสองภัย หนึ่งก็คือเผ่าอันต๋าทางเมืองต้าถง อีกหนึ่งก็คือเผ่าเคอเอ่อชิ่นทางเมืองจี้โจว……เผ่าอันต๋าไม่ต้องพูดถึง แม้ว่าข่านอันต๋าตายไป แต่ก็มีเซิงเก๋อตูกู่เหลิงสืบทอดอำนาจต่อ อำนาจยังคงเดิม ยังคงเป็นใหญ่ที่สุดบนทุ่งหญ้า เผ่าเคอเอ่อชิ่นทางตะวันออกคิดการใหญ่ และยังสมคบคิดกับเผ่าอื่นนอกเมืองเหลียวโจว หากปล่อยปละต่อไป วันหน้าย่อมเป็นภัยใหญ่หลวง……”
โจวอี้กับหวังทงสบตากัน สีหน้ายังคงเดิม เรื่องนี้เขาสองคนในสถานะนี้ ไม่อาจเรียกได้ว่าความลับ ฮ่องเต้ว่านลี่กับขุนนางใหญ่ในราชสำนักคงต้องทราบแล้ว หากกล่าวว่ามาเพื่อกล่าวเรื่องนี้ ก็ไม่จำเป็นแล้ว หวังทงจ้องมองชีจี้กวง อยู่ๆ รู้สึกว่าผมใต้ผ้าโพกศีรษะของเขาขาวมากขึ้น ริ้วรอยก็มากขึ้น หวังทงอยู่ๆ พบว่า ชีจี้กวงแก่ลงมาก
“……สองปีก่อนที่กู่เป่ยโข่ว เมืองจี้โจว เมืองเซวียนฝู่ ยังมีกองกำลังหู่เวยสามทัพประสานกำลัง สังหารพวกนอกด่านไปหมื่นกว่า การรบนี้ทำให้เห็นว่าพวกนอกด่านดูเข้มแข็งแต่ก็ไม่เท่าไร ทหารเมืองจี้โจวฝึกมาเกือบ 20 ปี เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังแข็งแกร่ง เมืองเหลียวโจวเองก็มีขุนพลเก่งกล้า เมืองอื่นๆ ก็มีทหารเชี่ยวชาญการรบ นี่เป็นเพราะบรรพชนแผ่นดินหมิงคุ้มครอง สวรรค์ประทานโอกาสอันดี ควรจะรวบรวมกำลัง ปราบพวกทุ่งหญ้านอกด่านสองเผ่าให้ราบคาบ หากไม่ได้อย่างน้อยก็หนึ่งเผ่าก่อน ตัดแขนทิ้งข้างหนึ่งก่อน!!”
กล่าวถึงตรงนี้ ชีจี้กวงก็น้ำเสียงดุดันขึ้น เสียงดังขึ้น สีหน้าโจวอี้กับหวังทงเริ่มเปลี่ยนเล็กน้อย ชีจี้กวงวางแผนรบระดับชาติ มิน่าจึงต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้