Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 699

ตอนที่ 699 ป้ายพยัคฆ์ บุตรชายติดตามเข้าเมืองบอกเล่าแผนบิดา

ทหารอารักขาติดตามก็ควรมีธรรมเนียมของทหารอารักขาติดตาม นายเหนื่อยมาทั้งวัน ลูกน้องกลับยังคิดมาขอพบเพื่อแสดงความขอบคุณต่อหน้า เกรงว่าช่างไม่รู้จักธรรมเนียมเสียแล้ว

ตนเองนั้นหวังทงก็รับไว้แล้ว และก็รับการโขกศีรษะต่อหน้าชีจี้กวงไปแล้ว หรือว่ายังคิดจะแสดงตนออกหน้าออกตาให้ได้ ฉีอู่นี้ต่อหน้าชีจี้กวงดูแล้วก็รู้ธรรมเนียมดี เหตุใดจึงไม่รู้ความเช่นนี้ได้

หวังทงขมวดคิ้ว แต่ก็คิดถึงความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับชีจี้กวง เห็นแก่เรื่องนี้จึงไว้หน้า กล่าวว่า

“ในเมื่อเขาก็มีใจคิดขอบคุณ ให้เขาเข้ามาก็แล้วกัน!”

ถานเจียงพยักหน้า หันหลังออกไปจัดการ ถานเจียงแม้ว่าสถานะพ่อบ้าน แต่ไม่เหมือนพ่อบ้านตระกูลอื่นที่ทำอะไรตามใจตนเองคิด เรื่องใหญ่น้อย หากเกี่ยวข้องกับหวังทงก็จะต้องมารายงานก่อน

ไม่นาน ฉีอู่ก็เดินเข้ามา พอเข้ามาฉีอู่ก็คุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวว่า

“ข้าน้อยขอบคุณใต้เท้าที่รับข้าน้อยไว้”

หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า

“หน่วยงานข้าดูความสามารถไม่ดูตระกูล หากเจ้ามีความสามารถ ก็ย่อมมีเงินทองวาสนา ตั้งใจทำงานให้ดี!”

ฉีอู่โขกศีรษะอีกครั้งก่อนจะกล่าวอย่างนอบน้อมว่า

“ข้าน้อยทราบแล้ว ได้รับความเมตตาจากใต้เท้ารับไว้ ข้าน้อยมีของขวัญคิดจะมอบให้ใต้เท้า ขอท่านโปรดให้คนอื่นออกไปก่อน”

หวังทงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น เดิมคิดว่าฉีอู่เป็นลูกแม่ทัพใหญ่ ยังเป็นลูกที่ชีจี้กวงสั่งสอนมากับมือ อย่างไรก็ควรเป็นคนที่โดดเด่นเป็นการเป็นงาน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพวกประจบสอพลอเช่นนี้ ถานเจียงข้าง ๆ ได้แต่ก้มคำนับ ก่อนจะถอยออกไปเงียบ ๆ ปิดประตูลง

หวังทงมองฉีอู่ควักเอาของบางอย่างออกจากอกเสื้อด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลังจากคืนนี้ไป จะไล่ฉีอู่ไปดูแลโรงบ้านก็แล้วกัน นับว่าไม่ผิดต่อชีจี้กวงแล้ว พวกที่ไม่รู้จักวางตัวเช่นนี้ เพิ่งมาถึงก็คิดจะประจบสอพลอ คิดจะมีอนาคต จะไปใช้การอันใดได้

“ใต้เท้ายังจำสิ่งนี้ได้หรือไม่?”

น้ำเสียงฉีอู่มิได้มีน้ำเสียงประจบเหมือนเมื่อครู่ หากเป็นทางการขึ้นหลายส่วน เขายกป้ายในอุ้งมือขึ้น หวังทงมองไป จำได้จริง ๆ ป้ายที่เมื่อตอนเช้าอยู่ในมือชีจี้กวง ป้ายพยัคฆ์นั่น ดูแล้วลวดลายชัดเจน เหมือนว่าเป็นป้ายเดียวกัน ไม่สิ น่าจะเป็นป้ายที่เห็นเมื่อเช้านั่นแหละ หวังทงตอนเช้ามองละเอียดมาก

“นี่คือป้ายพยัคฆ์?”

“ใต้เท้าตาแหลม นี่ก็คือป้ายพยัคฆ์”

“ใต้เท้าชีบอกว่าตอนเดินทางยังต้องใช้ป้ายพยัคฆ์นี่ไมใช่หรือ บอกว่าเห็นป้ายพยัคฆ์ก็เหมือนเห็นเขาไม่ใช่หรือ ไม่ให้ผู้อื่นง่ายๆ เหตุใดเจ้าจึงนำออกมา!?”

น้ำเสียงหวังทงเริ่มเคร่งเครียด ฉีอู่คุกเข่าตอบอย่างนอบน้อมว่า

“ให้ใต้เท้าดูป้ายนี้ก็เพื่อต้องการบอกใต้เท้าว่า เรื่องที่ข้าน้อยจะพูดนี้เป็นเรื่องที่แม่ทัพใหญ่ต้องการพูด แม่ทัพใหญ่มีวาจาฝากข้าน้อยมาเรียนใต้เท้า!!”

ฉีอู่ยามกล่าวเรื่องนี้กลับไม่มีน้ำเสียงแบบเด็กน้อย หากจริงจังเป็นการเป็นงาน หวังทงอึ้งไป หากก็ตั้งสติได้รวดเร็ว ตอนเช้าไปพบชีจี้กวง ชีจี้กวงตั้งใจควักป้ายพยัคฆ์ออกมา ไม่ใช่ว่าเคยชินอันใดจนทำให้ควักออกมาโดยไม่ทันระวัง แต่เพราะต้องการให้ตนเห็นป้ายพยัคฆ์เพื่อให้ฉีอู่มาพูดในคืนนี้ ช่างเป็นแม่ทัพเจ้าเล่ห์ไม่ธรรมดา หวังทงอดวิจารณ์ในใจไม่ได้ แต่สีหน้าก็ยังคงเดิม กล่าวน้ำเสียงราบเรียบว่า

“มีวาจาใดลึกลับเช่นนี้ ใต้เท้าชีบรรดาศักดิ์ถึงท่านป๋อ เป็นแม่ทัพชายแดน ไม่ควรมีความลับอันใดมาถึงข้า มีอันใดก็ว่ามา พรุ่งนี้จะส่งคนเข้าวังไปกราบทูล!”

ฉีอู่โขกศีรษะอย่างแรง เงยหน้ากล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า

“บิ……ท่านแม่ทัพกับทั้งสองท่านสนทนากันวันนี้ก็แต่เพื่อทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด ไม่คาดหวังว่าราชสำนักจะตอบสนองอันใด แม่ทัพใหญ่เราเดิมคิดว่าวันนี้พูดออกไป ก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องบ้านเมืองอีกแล้ว หวังใช้ชีวิตบั้นปลายให้สุขสบาย แต่พอแม่ทัพใหญ่ได้เห็นใต้เท้าหวังในวันนี้กลับรู้สึกว่า ใต้หล้านี้ บางทีใต้เท้าหวังอาจสามารถทำตามที่แม่ทัพใหญ่วางแผนเอาไว้ได้ ก่อนจากไปจึงได้มอบป้ายพยัคฆ์ให้ข้า ก่อนจากมายังได้กำชับข้าน้อยหลายคำ ให้ข้าน้อยมาบอกแก่ใต้เท้า”

สีหน้าหวังทงเคร่งเครียด โบกมือให้ฉีอู่หยุดพูดต่อ จากท่าทางของฉีอู่ ชีจี้กวงดูท่าไม่เห็นเป็นคนนอก การส่งคนสนิทมาบอกกล่าวเช่นนี้ กลับทำให้รู้สึกเหลวไหล

“ฉีอู่ เจ้าติดตามแม่ทัพใหญ่เจ้ามาเห็นอะไรมามาก เรื่องตอนเช้า เจ้าคิดว่าข้าทำอันใดได้ หากคิดติดตามข้า ข้าย่อมดูแลเจ้าอย่างดี หากไม่คิดติดตาม ตอนนี้เจ้าก็กลับไปได้ ข้าจะไม่รั้งไว้ วาจาพวกนี้ไม่ต้องกล่าวถึงอีก ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าออกไปได้แล้ว!!”

ฉีอู่ร้อนใจ คลานเข่าเข้ามารีบกล่าวว่า

“ใต้เท้า วันนี้ข้าน้อยพูดมานั้นก็คือสิ่งที่แม่ทัพใหญ่ต้องการกล่าว วันนี้กล่าวจบ พรุ่งนี้ข้าน้อยกับเมืองจี้โจวก็จะไม่เกี่ยวข้องกันอีก แต่วาจาพวกนี้ไม่เพียงแต่เป็นหยาดเหงื่อทั้งชีวิตของแม่ทัพใหญ่เรา แต่ยังเกี่ยวพันถึงแผ่นดินหมิง ขอใต้เท้าอย่างไรก็ได้โปรดให้โอกาสข้าน้อยได้พูด ซึ่งก็เหมือนว่าเป็นวาจาแม่ทัพใหญ่……”

สองฝ่ายพยายามกดน้ำเสียงให้เบาที่สุด หวังทงสูดลมหายใจเข้าจ้องมองฉีอู่เงียบ ฉีอู่อึ้งไป รู้ว่าหวังทงต้องการฟังแล้ว จึงรีบโขกศีรษะกล่าวว่า

“ชัยชนะกู่เป่ยโข่วคราก่อน ทัพแม่ทัพใหญ่เรารู้สึกตกใจกับความเก่งกล้าของทัพใต้เท้า ปืนไฟเช่นนี้ รูปขบวนทัพและยุทธวิธีรบ ราวกับกำลังจัดการทหารม้านอกด่านได้ เทียบกับทัพห้องรถม้าของแม่ทัพใหญ่แล้ว เหนือกว่าอีกขั้น……”

“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้ พูดประเด็นมา!”

หวังทงขมวดคิ้วเร่ง ฉีอู่ที่คุกเข่าอยู่ไม่กล้ารอช้า รีบกล่าวว่า

“แม่ทัพใหญ่เราถามใต้เท้าว่ายังจำได้ไหมหลังชัยชนะยิ่งใหญ่ด่านกู่เป่ยโข่ว แม่ทัพใหญ่เชิญใต้เท้ามาหอริมทะเลร่วมงานเลี้ยง?”

หลังชัยชนะยิ่งใหญ่ หวังทงกลับเทียนจิน ชีจี้กวงจัดเลี้ยงสนทนากับหวังทงที่หอริมทะเล สิ่งที่ทำให้หวังทงจำแม่นไม่ใช่คำพูดของชีจี้กวง แต่เป็นภาพแผนที่ทรายหลังที่กำบังในห้อง และยุทธการรบที่ชีจี้กวงว่ามา ย่อมจดจำได้แม่นยำ

เห็นหวังทงพยักหน้า ฉีอู่กล่าวต่อว่า

“แม่ทัพใหญ่เราว่า แผนการเช่นนี้ไม่ใช่ทัพใดก็จะปฏิบัติได้ ทหารเมืองจี้โจวหากอยู่ใต้การนำทัพของแม่ทัพใหญ่เราก็ทำได้ ทัพเมืองเหลียวโจวใต้การนำของหลี่เฉิงเหลียงย่อมทำได้ อีกทัพก็ย่อมเป็นกองกำลังหู่เวยภายใต้การนำของใต้เท้าแล้ว แม่ทัพใหญ่เราไม่อาจนำกำลังชายแดนแล้ว หลี่เฉิงเหลียงวันๆ ก็หลงใหลแต่ทรัพย์สินเงินทอง ไม่มีใจอาจหาญอีกแล้ว อีกเรื่อง แม่ทัพใหญ่เรากับหลี่เฉิงเหลียงก็แค่แม่ทัพชายแดน แม้คิดจะรบ ขุนนางราชสำนักใช่ว่าเห็นด้วย แต่ใต้เท้าไม่ใช่ ใต้เท้าได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทมาก ใต้เท้าทำได้”

หวังทงยังคงเงียบไม่พูดอันใด ฉีอู่ไม่สนใจกล่าวต่อว่า

“ใต้เท้า แม่ทัพใหญ่เราบอกว่า ด้วยความสามารถใต้เท้าในราชสำนัก พอจะผลักดันเรื่องนี้ได้ ทำสำเร็จย่อมสร้างความสงบสุขให้แก่แผ่นดินสืบต่อไป……”

ได้ยินเช่นนี้ หวังทงอดยิ้มเยียบเย็นไม่ได้ สร้างความสงบสุขให้แก่แผ่นดินสืบต่อไปงั้นหรือ หาที่ฝังไม่ได้น่ะสิ การรบระดับชาติเช่นนี้ หากชนะก็ย่อมนำความยุ่งยากไม่จบไม่สิ้น หากแพ้ ก็ย่อมแหลกสลายเป็นผุยผง และหากแพ้ แม้แต่แผ่นดินหมิงก็คงไม่อาจสงบสุขต่อไปได้ ช่างอันตรายจริงๆ ประเด็นก็คือชีจี้กวงคิดว่าเจ้าเป็นลูกจริงหรือนี่ มาถึงสถานะนี้แล้ว ยังต้องการผลงานสร้างชื่อเสียงสืบไปอีกหรือ ตอนนี้อำนาจวาสนาเงินทองก็ไม่ได้ขาดแคลนอยู่แล้ว

ท่าทางเปลี่ยนไปมาทางสีหน้าหวังทงกับรอยยิ้มเยียบเย็น ฉีอู่เห็นอยู่ แต่ก็ไม่หยุดพูดต่อว่า

“ใต้เท้า เรื่องนี้หากแพ้ ย่อมไม่มีอันใดพูด หากสำเร็จ เกรงว่าใต้เท้าคงความชอบมากไป เป็นที่ระแวงในราชสำนัก จะมีจุดจบที่ดีได้หรือไม่ก็ไม่แน่ ราชสำนัก 200 ปีมานี้ ราษฎรแผ่นดินหมิงตอนเหนือถูกพวกนอกด่านรุกราน ประสบภัยใหญ่หลวง ได้รับความทุกข์แสนสาหัส……หลายปีมานี้ พวกนอกด่านโจมตีเขตชานเมืองหลวงหลายครั้ง ไม่ต้องพูดถึงเหตุการณ์สงครามถู่มู่ที่เคยเกิดขึ้น มีศัตรูแข็งแกร่งอยู่ตอนเหนือเช่นนี้ เมืองหลวงก็อยู่พื้นที่ตอนเหนือ เป็นที่ประทับฮ่องเต้ แต่ตอนนี้ไหนเลยจะมีทหารเก่งกล้าเหมือนสมัยปฐมฮ่องเต้ไท่จู่และเฉิงจู่ (จูตี้) หากไม่ทันระวัง เมืองหลวงเกิดเหตุ ก็ย่อมแผ่นดินล่มสลาย……”

“วาจานี้ยังกล้ากล่าว ชีจี้กวงช่างใจกล้าเสียจริง!”

หวังทงกล่าวขึ้นน้ำเสียงนิ่งเรียบ ฉีอู่สั่นไปทั้งตัว หากมองสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนของหวังทง ก็พูดต่อว่า

“ตอนนี้ใต้หล้าสงบสุข น้ำท่าบริบูรณ์ดี พวกทุ่งหญ้านอกด่านก็เริ่มสั่งสมกำลังขึ้นมา ใต้หล้านี้ยังมีเวลาสงบสุขอย่างมากก็อีก 15 ปี ขุนนางทั้งหลายย่อมเห็นแก่การปรองดองเป็นสำคัญอันดับหนึ่ง อย่างไรก็ชื่นชอบสงบสุข หลายปีนี้กว่าจะฝึกทหารออกมาได้เช่นนี้ได้หากต้องมาสูญค่าไปเช่นนี้ ถึงตอนนั้นอาจไม่อาจปราบปรามพวกนอกด่านได้ ตอนนั้นคงตกในภาวะวิกฤต แม่ทัพใหญ่เราเห็นใต้เท้าจัดการเทียนจิน และไม่ทำไปเพื่อตนเอง แต่เพื่อแผ่นดินหมิงและจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ดังนั้นแม่ทัพใหญ่เราจึงคิดว่าใต้หล้านี้คงมีเพียงใต้เท้าที่จะทำได้แล้ว และมีใต้เท้าคนเดียวที่จะทำด้วย”

ฉีอู่กล่าวจบก็คุกเข่าลง ด้วยท่าทางโล่งอกที่ได้พูดออกไปหมด หวังทงก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้น

“ชีจี้กวงฝากเจ้ามาพูด ก็ไม่ได้บอกว่าหากข้าไม่ตกลง จะให้เจ้าทำอย่างไรต่อนี่?”

ฉีอู่โขกศีรษะ น้ำเสียงเริ่มแหบพร่าตอบว่า

“แม่ทัพใหญ่ฝากมา ไม่ว่าใต้เท้าตอบรับเช่นไร ขอเพียงฟังข้าน้อยพูดจบก็พอ หลังพูดจบแล้ว ข้าน้อยก็เป็นคนใต้เท้า ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเมืองจี้โจว กับแม่ทัพใหญ่อีกต่อไป”

“เรื่องวันนี้ อย่าให้มีคนที่สองได้รู้ ไม่ต้องคิดต่อ เหมือนไม่เคยเอ่ยถึง เจ้าเข้าใจไหม?”

ฉีอู่เงยหน้าขึ้น มองหวังทงอึ้งไป สีหน้าหวังทงยังคงนิ่งเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง สีหน้าฉีอู่ผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบนอบน้อมว่า

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”

หวังทงโบกมือ ให้ฉีอู่ออกไป ฉีอู่คำนับนอบน้อมออกไป ถานเจียงก็เข้ามากล่าวว่า

“นายท่าน อาหารพร้อมแล้ว กินตอนนี้เลยไหม!!”

เขาพูดจบอีกฝ่ายไม่ตอบ ถานเจียงเงยหน้ามองไป ก็เห็นหวังทงกำลังเหม่ออยู่ ถานเจียงถามขึ้นอีกด้วยเสียงดังกว่าเดิม หวังทงจึงได้หันมาถามขึ้น

“ถานเจียง คนเรามีชีวิตเพื่อสิ่งใด?”

คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะถามคำถามแปลกประหลาดเช่นนี้ ถานเจียงอึ้งไป กำลังจะตอบ หวังทงก็โบกมือกล่าวว่า

“ไม่ต้องตอบ ข้าแค่ถามไปอย่างนั้น”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!