Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 744

ตอนที่ 744 สงครามเริ่มต้น

หากทั้งหมดเป็นรถม้าใหญ่สี่ล้อลากด้วยม้าสี่ตัวแบบเทียนจิน การเดินทัพจะเร็วกว่านี้อีกราวหนึ่งในสาม รถตู้ม้าเทียบกับรถม้าใหญ่เทียนจินแล้วเรียกได้ว่าช้าไปสักหน่อย

รถตู้ม้าก็มีสี่ล้อ ตู้ไม้บนรถม้ายาวกว่าตัวรถหนึ่งในสาม ม้าลากกับม้าด้านหลังล้วนถูกตัวรถบดบัง

ตู้ไม้บนรถมีช่องว่าง ปืนใหญ่ฟะรังคี ปืนเสือหมอบ ปืนไฟสับนกกับธนูยิงออกจากที่นั้น หรืออาจมีทวนยาวแทงออกจากรูนั้น ยามรบ รถใหญ่ประกบกัน ตู้ไม้บนรถก็เหมือนกำแพงไม้ ศัตรูบุกใส่ ก็ย่อมถูกปืนระดมโจมตีในระยะที่แตกต่างกันไป

แม้ว่าปีนขึ้นมาด้านหน้าได้ ก็จะถูกอาวุธดาบหรือทวนแทงใส่ รถตู้ม้าตอนเดินทัพ สามารถนำมาเป็นรถขนเสบียงได้ตอนตั้งค่ายก็สะดวกมาก เพราะตัวรถสามารถเป็นที่กำบังชั้นดี

รถตู้ม้ามีข้อดีมากมายจริง แต่ข้อเสียที่เห็นชัดก็คือแรงขับเคลื่อนช้าและเทอะทะไป ไม้เทียมสัตว์ลากก็ต้องลากรถแนวขวางไม่อาจลากแนวตั้ง เพราะด้วยขนาดกว้างของทางกับขนาดกว้างตัวรถที่พอดีกันเกินไป จึงต้องลากไปแบบแนวขวาง

ส่วนใหญ่เทียมสัตว์ลากได้แค่สองตัว แต่รถตู้ม้าน้ำหนักมาก ม้าสองตัวลากไม่พอ ยังต้องใช้แรงทหารมาดัน จึงส่งผลต่อความเร็วในการเดินทัพ

เดินออกจากเขามา เพื่อป้องกันการซุ่มสอดแนมของทหารม้าพวกนอกด่าน ทหารหมิงจึงตั้งทัพแบบพร้อมรบ ทุกคันรถหน้าหลังจะต้องเหลือที่ว่างไว้ ทหารขึ้นไปบนรถบังคับอาวุธ ทำให้ความเร็วยิ่งช้าลงไปอีก

รถม้าสี่ตัวของกองกำลังหู่เวยไม่มีปัญหานี้ แรงสัตว์ลากกำลังพอ ม้าก็เป็นม้าแข็งแรง เดินทางได้เร็วกว่าฝ่ายเมืองจี้โจวมาก

หวังทงเป็นแม่ทัพใหญ่ ตามหลักควรต้องบัญชาการอยู่ตรงกลางทัพ แต่เพราะกองกำลังหู่เวยเดินทัพได้เร็วกว่าทหารเมืองจี้โจวมาก ความเร็วระหว่างทางจึงไม่สมดุล ทำให้ทัพดูไม่ประสานกัน

ตอนนี้ศัตรูลอบมอบจากด้านข้าง การเดินทัพไม่อาจเปิดช่องโหว่แม้แต่น้อย ความไม่ประสานกันนี้ต้องจัดการให้ได้โดยเร็ว ทัพด้านหน้าจะไม่ทิ้งทัพด้านหลัง ทัพด้านหลังควรเร่งปรับความเร็ว

แต่เพราะความเร็วต่างกัน ทหารเมืองจี้โจวสามวันสอบที ห้าวันสอบที ก็คือว่าทหารถูกทดสอบทุกสามวันห้าวัน ก่อนจะตัดสินประสิทธิภาพ

กฎทหารตระกูลชีเข้มงวดทดสอบทำให้ทหารตั้งใจฝึก แต่ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการขี้เกียจฝึก แต่กองกำลังหู่เวยฝึกทุกวันไม่มีหยุด คิดจะแอบขี้เกียจก็ไม่ได้

ความแตกต่างเช่นนี้ สะสมนานวันมา ทหารสองฝ่ายย่อมแตกต่างกัน ทหารราบกองกำลังหู่เวยตอนเดินทัพ การเดินทัพก็ย่อมเป็นระเบียบแถวกว่าทหารเมืองจี้โจว ความเร็วก็ย่อมเร็วกว่าทหารเมืองจี้โจว ทัพทหารราบ ทัพรถ ความเร็วเหนือกว่าเมืองจี้โจว มีแต่ทัพม้าที่เสมอกัน

ทหารเป็นเช่นไร ขวัญกำลังใจในการเดินทัพนั้นมองเห็นได้หลายอย่าง หลายวันมานี้ พวกทหารเมืองจี้โจวล้วนเปลี่ยนความคิดเห็นของตนที่มีต่อทหารกองกำลังหู่เวยไปมาก แต่ก็ยังมี่คนคิดว่าในเมื่อเป็นกองกำลังสังกัดวังหลวง การฝึกได้ผลดีกว่าทหารทั่วไปเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดา

*************

“อีเล่อเต๋อ ทหารหมิงเดินทัพได้เป็นระเบียบ มีแต่ด้านหลังที่ดูวกวน ตัดตอนทัพรถม้าสี่ล้อลากนั่นกับรถตู้ม้า!!”

ผู้ที่ถูกเรียกว่าอีเล่อเต๋อ ก็คือคนที่กล่าวขึ้นว่า “หรือจะปล่อยไปเช่นนี้” ผู้นั้น พอได้ยินไห่รื่อกู่กล่าวเช่นนี้ ก็ตั้งใจฟังอย่างงงๆ ไห่รื่อกู่กล่าวให้ละเอียดต่อว่า

“หากตัดขาดกัน รถตู้ม้ากองนั้นหากคิดมาช่วย พวกเราก็ฉวยโอกาสเข้าจู่โจมสังหาร ทำให้ขบวนทัพเสียรูป หากไม่มาช่วย เจ้าก็สามารถจัดการขบวนรถแถวหน้านั่นได้ อย่างน้อยพวกเราก็สามารถตัดกำลังกองทหารหมิงได้กองหนึ่ง ไปได้!”

อีเล่อเต๋อบนม้ารับคำสั่ง จากนั้นก็กระตุกม้าออกไปวิ่งไปทางทหารกลุ่มตน ไม่นาน ก็เห็นพวกนอกด่านส่วนหนึ่งตั้งทัพยกธงรีบตะบึงออกไป มีเสียงขุนพลนำทัพตะโกนดัง ทหารม้ารีบตามออกไป มุ่งไปยังทัพทหารหมิง

**************

สองฝ่ายต่างจับตาดูกันอยู่ พอทหารม้าพวกนอกด่านเคลื่อนไหวอันใด ทหารหมิงก็ย่อมรู้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีหอดูจากที่สูงบนตัวรถฝั่งหวังทง

มองโกลกับแผ่นดินหมิงสู้รบกันมานานปี สองฝ่ายล้วนเข้าใจในสัญญาณการออกรบอย่างดี พอเห็นรูปบวนทัพและธงสะบัด ก็เตรียมพร้อมกันได้แล้ว

ทัพทหารหมิง มีเสียงเป่านกหวีดทองแดงเสียงแหลมดังขึ้น เสียงตะโกนคนขับเคลื่อนรถม้าดังขึ้น ค่ายรถศึกจอดนิ่ง

ค่ายรถศึกมีรถใหญ่มากมายกับคนขับรถ พอสั่งการพร้อมกัน รถก็หยุด หัวหน้าเรียงตัวเรียบร้อย รูปทัพยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนรูป กองกำลังหู่เวยด้านหลัง เริ่มวุ่นวายเล็กน้อย แต่ปฏิกิริยายังคงฉับไว ตั้งตัวจัดแถวได้อย่างรวดเร็ว แต่ปฏิกิริยาวุ่นวายของทหารผู้น้อยในสายตาทหารม้าพวกนอกด่านแล้วก็ยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่พวกเขาวิเคราะห์ไว้เมื่อครู่

“พี่ใหญ่ แค่พวกกระจอกมารนหาที่ ก็ทำลายราบไปเลยให้สิ้นเรื่อง ไยต้องออกรับศึกจริงจังด้วย!”

“ยามรบอย่าได้ทำตัวตามปกติ ให้เรียกขานตามธรรมเนียมยามรบ!”

หวังทงสีหน้าจริงจังตำหนิหลี่หู่โถว หลี่หู่โถวสีหน้าตกใจรีบคำนับ หวังทงกล่าวว่า

“พวกนอกด่านก็แค่ทหารม้าห้าพัน ทหารม้าเราไม่น้อยกว่าพวกเขา เหตุใดพวกนอกด่านกล้าขี่ม้ามาโจมตีเรา ก็เพราะคิดว่าทหารเราด้อยกว่าเขา ดังนั้นจึงไม่ระมัดระวัง พวกนั้นคงคิดเช่นนี้ เกรงว่าไม่เพียงแต่พวกนอกด่านคิดเช่นนี้ แม้แต่ทหารเราส่วนหนึ่งก็คิดเช่นนี้ ในเมื่อไม่รู้ใครอ่อนใครแข็ง ก็หยุดรบสักรอบ ให้ทุกคนได้ดูความจริงกัน!”

คำสั่งย่อมสั่งการไปก่อนหน้าแล้ว หม่าซานเปียวนำทัพม้าพันนายไปรวมตัวจัดแถวพร้อมแล้ว ทัพม้ากองกำลังหู่เวยมี 600 กว่า รวมกับคนของหวังทงทางนี้ก็ราว 1,000 นาย

ครั้งนี้ทหารหวังทงมาแค่ส่วนหนึ่ง ที่เหลืออีกที่ยังไม่ถึงพันนั้นเป็นทหารม้าต้าถง ก็คือชุดที่ออกปลอมตัวเป็นกองโจรม้า ทุ่งหญ้านอกด่านพวกนั้น

“แม่ทัพใหญ่ สู้บนทุ่งหญ้านอกด่านกับทหารม้าพวกนอกด่าน ไม่เหมาะ ขอเพียงพวกเราอยู่ในค่ายรถ ให้พวกเขามาโจมตี ให้พวกนอกด่านได้เลือดตกยางออกก่อน พวกเราค่อยลงมือก็ไม่สาย”

หยางจิ้นเมืองจี้โจวรีบขี่ม้าเข้ามาบอกกล่าว หวังทงเองก็เข้าใจหลักการนี้ ทหารม้าพวกนอกด่านอยู่บนทุ่งหญ้านอกด่านมักจะมียุทธวิธีการต่อสู้ที่ชอบล่อหลอก หลอกให้ทหารนำกำลังออกไป ให้วุ่นวายแตกขบวนแล้วค่อยรุกลับมาสังหาร ไม่ให้ตั้งตัว หรอืไม่ก็นำศัตรูไปสู่วงล้อมแล้วค่อยรุม

รถตู้ม้าชีจี้กวงมีระเบียบเข้มงวด แม้ว่าทหารม้าโจมตี ก้ต้องรอให้ปืนไฟบนรถตู้ม้าสังหารศัตรูไปก่อนจึงค่อยลงมือ ก็คือว่า ทหารม้าเมืองจี้โจวส่วนใหญ่เป็นทัพหลัง

“พวกนอกด่านก็แค่มาล่อศึก พวกเขากล้าส่งทหารม้ามาโจมตีทหารเรา ช่างเหิมเกริมเช่นนี้ หากปล่อยไป ทัพเราหดหัวอยู่แต่ในค่ายรถ ใช่ว่าทำลายขวัญเราเองหรือ ศึกนี้ ก็ทำเพื่อสร้างขวัญกำลังใจก็แล้วกัน!”

หวังทงให้คำตอบง่ายๆ ด้านนอกสองฝ่ายเริ่มปะทะกันแล้ว

**************

อีเล่อเต๋อนำกำลังพันนายก็ไม่ได้มาอย่างมุทะลุ เขาเห็นทหารม้าหมิงรออยู่ ก็ไม่ได้บุกเข้ามาอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือแต่อย่างไร แต่ค่อยๆ เดินย่างเข้ามาก่อนหยุดพักจัดขบวนทัพ

สองฝ่ายห่างกันไม่ถึงห้าสิบก้าว อยู่เหนือระยะธนูยิง อีเล่อเต๋อก้าวมาสู่ตำแหน่งนี้ได้ก็เพราะสร้างความชอบมาทีละก้าว อย่างไรเขาก็อยู่ฝั่งที่แสงอาทิตย์ไม่แยงตา ก็หมายความว่า พวกทหารหมิงตรงข้า อย่างไรก็ต้องหรี่ตาหลบแสงอาทิตย์

แสงอาทิตย์กระทบตา การสังเกตย่อมไม่ละเอียด การเคลื่อนไหวก็จำกัด ความได้เปรียบไม่มาก ในสนามรบต้องชิงความได้เปรียบทุกอย่างเอาไว้ก่อน

ทหารหมิงน่าจะแบ่งเป็น 50 นายหนึ่งหน่วย จากนั้นห้าหน่วยรวมเป็นหนึ่งกองใหญ่ ทหารม้าหมิงออกมาสี่กองใหญ่ เรียงตัวกันเรียบร้อยอยู่ หากรวมแรงกันบุกตรงกลางสองกองนั้นแตกพ่าย อีกสองข้างย่อมเอาไม่อยู่ นายกองพันอีเล่อเต๋อกำลังสังเกตอยู่ ก็พบว่ามีแสงบางอย่างกระทบสายตา เขาหรี่ตามองไปตามแสงที่กระทบมา ก็ต้องตกใจทันที

“พวกข้าน้อย ขอเข้าสังหารสุนัขหมิงพวกนี้ ลอกเอาเกราะมันมาก เกราะนี้มีเพียงนักรบทุ่งหญ้านอกด่านเราเท่านั้นที่คู่ควร”

ไม่เพียงแต่อีเล่อเต๋อ แม้แต่ทหารม้าด้านหลังอีเล่อเต๋อก็สังเกตเห็นเครื่องแต่งกายทหารม้าหมิง ทัพทหารหมิงด้านหน้าสุดเดินแถวละสองนาย ส่วนใหญ่ล้วนมีชุดเกราะและหมวกเหล็ก ไม่ใช่ชุดเกราะหนังหรือเกราะขดลวดที่เคยเห็นกันบ่อยๆ หากเป็นชิ้นเดียวกัน เหมือนว่าเป็นแผ่นทองแดงราวกับกะละมังทองแดงเรียบๆ ตรงหน้าอก เกราะเช่นนี้ คนที่รู้การรบการทหารก็ล้วนรู้ว่า ทวนยาว ดาบและธนูยิงไม่เข้า

ได้ฟังอีเล่อเต๋อตะโกนสั่งดัง ทหารด้านหลังก็พากันส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งพร้อมบุก

**************

ระยะห่างแค่นี้ วาจาสนทนา หม่าซานเปียวได้ยินชัด ภาษามองโกลเขาฟังเข้าใจ พอได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้สบถด่าเบาๆ ว่า

“คนเช่นเจ้าพวกบ้านี่ ข้าสังหารมาบนทุ่งหญ้านอกด่านนับพันได้แล้ว คิดจะลอกเกราะข้ารึ ข้าจะลอกหนังพวกมันทิ้ง”

หม่าซานเปียวปิดหมวกเกราะลง ยกทวนยาวในมือแนวระนาพร้อม ท่าทางเช่นนี้ เป็นสัญญาณให้ทหารม้ากองกำลังหู่เวยทหารม้าแถวหนึ่งยกระนาบตาม

หม่าซานเปียวตะบึงม้าเข้าไป เป็นสัญญาณว่าทัพม้าเริ่มบุก ทหารม้าในชุดเกราะร่วมร้อยเคลื่อนกำลังบุกพร้อมกัน ชุดเกราส่องประกายกระทบแสงแดดระยิบ พวกนอกด่านรู้สึกถึงพลังน่ากลัวบางอย่าง เงียบกริบกันไปพักหนึ่ง บางทีอาจยังคิดดไม่ถึงว่าทหารม้าหมิงจะเคลื่อนไหวได้เร็วเช่นนี้ เริ่มเข้าปะทะแล้ว ในขณะที่กำลังอึ้งตกใจนั้น ทหารม้าพวกนอกด่านก็ได้สิตเริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน

เสียงเป่าเขาแตรสัญญาณดัง ทหารม้าพวกนอกด่านส่งเสียงร้องประหลาดบุกเข้าใส่ เดิมสนามรบที่เงียบสงบก็เริ่มมีเสียงดังไปทั่วบริเวณ เสียงฝีเท้าม้า เสียงร้องตะโกนบ้าคลั่ง ดังแสบแก้วหูไปทั่ว

วันที่ 5 เดือนหนึ่งปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12 ทหารหมิงเหยียบออกนอกทุ่งหญ้าเปิดศึกครั้งแรก……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!