Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 8

ตอนที่ 8 ทนไม่ไหวอีกต่อไป

คนรอบข้างล้วนตกใจจนลืมหายใจ องครักษ์เสื้อแพรท่านนี้ดูไปแล้วก็เป็นแค่เด็กยังโตไม่เต็มที่ หากแต่ลงมือหนักจริง นี่เป็นการโจมตีที่กะเอาถึงชีวิตเลยทีเดียว!

หากคนส่วนใหญ่ต่างก็รู้สึกสะใจ คนที่มักผ่านไปมาบนถนนสายนี้จะรู้ว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเจ้านักเลงสองคนนี้ เมื่อสักครู่หญิงชราผู้นั้นถูกรังแกจนน่าสมเพชจริงๆ แต่ทุกคนก็ไม่กล้ายุ่งด้วย ทว่าองครักษ์เสื้อแพรอายุน้อยผู้นี้กลับกล้าออกหน้าผดุงความยุติธรรม การลงมือครั้งนี้มันช่างสะใจเสียจริง

หวังทงลงมือยิ่งหนัก ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยิ่งสะใจ มีคนกำลังเตรียมจะส่งเสียงเชียร์ แต่ในเวลานั้นเอง กลับมีคนผู้หนึ่งก้าวเท้าออกมายืนอยู่หน้าประตูร้านน้ำชาตะโกนเสียงดัง

“มาชุมนุมก่อเรื่องอะไรกันบนถนนนี่ คิดจะทำอะไรผิดกฎหมายหรือไง ไปให้พ้น!!”

ทุกคนมองตามเสียงไป เห็นองครักษ์เสื้อแพรร่างกายสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูร้านน้ำชาตะโกนด้วยใบหน้าถมึงทึงโมโหเป็นอย่างมาก

วาจากล่าวหนักเช่นนี้ ผู้ที่กล่าวออกมายังมีสถานะเช่นนี้ คนว่างงานที่มุงดูกันอย่างไม่อยากเลิกรานั้นก็ต้องพากันสลายตัว หวังทงหยุดเตะ หันหน้าไปยังชายผู้นั้นที่ยืนอยู่หน้าประตูร้านน้ำชา ชายผู้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่อยู่กับหลิวซินหย่งในวันนั้น ชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นที่กล่าวจะแย่งชิงเอาสมบัติตระกูลเขา เขาได้สอบถามถึงคนผู้นี้กับจางซื่อเฉียง ผู้นี้ก็คือสหายจากหมู่บ้านเดียวกันกับหลิวซินหย่ง ชื่อว่าเจ้ากั๋วต้ง

ใบหน้าของเจ้ากั๋วต้งเต็มไปด้วยหนวดเครา ร่างกายสูงใหญ่ ท่าทางร้ายกาจดุดัน เมื่อยืนอยู่บนขั้นกระไดก็เป็นที่สะดุดตาอย่างมาก เมื่อเห็นองครักษ์เสื้อแพรระดับนี้ออกมาขับไล่ให้สลายตัว คนบนถนนก็พากันสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเกรงว่าภัยจะมาถึงตัว

ในเวลาไม่นาน บนถนนหน้าร้านน้ำชาที่เคยมีผู้คนเบียดเสียดกันจนยากที่จะเดินก็เงียบลง

เจ้ากั๋วต้งก้มลงจ้องมองหวังทงที่ยืนอยู่ที่นั่น แต่ก็ไม่ได้กล่าววาจาอันใด

รอจนผู้คนสลายตัวกันไปกันพอสมควรแล้ว เจ้ากั๋วต้งก็เอ่ยปากพูดเสียงเข้มว่า

“หวังทง สองคนนี้เป็นคนของข้า เจ้าลงมือหนักเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร?”

หวังทงไม่สนใจเสียงตำหนิเย็นเยียบนี้ เขามองไปยังป้ายคำสั่งไม้สีแดงลงน้ำมันเคลือบเงาที่เหน็บอยู่ที่เอวของอีกฝ่าย สีแดงเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะของนายกองธงเล็ก เรื่องยุ่งยากแล้วสินะ

เมื่ออยู่ในระบบ มีหลายสิ่งที่ไม่อาจแตะต้อง หนึ่งในนั้นก็คือทำให้เจ้านายไม่พอใจ แม้ว่าจะไม่ใช่เจ้านายโดยตรงแต่ตำแหน่งของเจ้ากั๋วต้งก็สูงกว่าหวังทง แน่นอนย่อมมีสิทธิ์สอนสั่ง

เรื่องของลูกสมุนนั้นก็เป็นเรื่องปกติ บรรดาองครักษ์เสื้อแพรระดับต่างๆ ก็ล้วนมีลูกสมุนกลุ่มหนึ่งคอยเป็นมือเป็นเท้า คอยอาศัยอำนาจบารมีนายทำเรื่องที่นายไม่สะดวกทำหรือคร้านที่จะทำ ลูกสมุนพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกนักเลงหัวไม้สำมะเลเทเมา ลูกสมุนประเภทนี้ก็มักจะอาศัยชื่อขององครักษ์เสื้อแพรออกไปอวดเบ่งบารมี ทำให้ชื่อเสียงขององครักษ์เสื้อแพรถูกคนพวกนี้ทำลายลงไม่น้อย

“พี่เจ้า ไอ้เลวสองคนนี้รังแกคนแก่ต่อหน้าประชาชน เลวเกินทน ข้าทนไม่ไหวจึงลงมือสั่งสอน”

“คนของข้า เจ้าถือสิทธิ์อะไรมาสั่งสอน นางเฒ่าไม่รู้จักธรรมเนียม ถูกสั่งสอนก็สมน้ำหน้าแล้ว”

เจ้ากั๋วต้งพูดไปก็เดินลงกระไดมา เมื่อสักครู่ตอนที่หวังทงเริ่มลงมือกับพวกนักเลงหัวไม้ หญิงชราผู้นั้นก็ตกใจจนเป็นใบ้ไปเสียแล้ว เอาแต่หมอบอยู่กับพื้นไม่กล้าขยับตัว ตอนนี้ยังไม่ทันได้ลุกขึ้น คิดไม่ถึงว่าเจ้ากั๋วต้งเดินเข้ามายกเท้าถีบนางไปทีหนึ่ง นางกลิ้งลงกับพื้น และยังหันไปด่าหวังทงว่า

“ยังไม่รีบใส่หัวไป หรือจะให้ข้าเชิญเจ้าเข้ามาดื่มน้ำชา รอไว้พรุ่งนี้ไปพบใต้เท้าเถียนแล้วกัน!!”

หมายความว่าจะรีบไปฟ้องนั่นเอง เจ้าหน้าละอ่อนเพิ่งมาใหม่อย่างเจ้านี่ คิดจะล้างธรรมเนียม ย่อมต้องถูกหัวหน้าสั่งสอน ผลลัพธ์หนักหนาเพียงใดก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

พอระบายอารมณ์ใส่หวังทงเสร็จ เสียงร้องไห้ของหญิงชราที่อยู่ข้างทางผู้นั้นก็ดังขึ้น ทำให้เจ้ากั๋วต้งยิ่งโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แม้ว่าบนถนนจะเงียบ แต่ร้านค้าบนถนนเส้นนั้น ทั้งเถ้าแก่ ลูกจ้างและคนอื่นๆ ต่างมุงดูอยู่ เมื่อสักครู่ลูกสมุนสองคนที่โดนต่อยไปนั้นก็ทำเขาเสียหน้าไปมากแล้ว เสียงร้องของยายแก่ยิ่งทำให้เขารู้สึกพลุ่งพล่าน จึงได้ยกเท้าถีบไปอีกทีหนึ่ง ปากก็ด่าว่า

“ยายเฒ่าไม่มีตา!!”

การที่จะไม่ล่วงเกินบุคคลที่ระดับสูงกว่าตนเองนั้นเป็นสิ่งที่สังคมการทำงานต้องยอมรับ นี่ก็ยังไม่ถึงกับมองหน้ากันไม่ติด ยังมีทางกลับตัวได้ หวังทงหันหลังจะจากไป

เสียงร้องไห้ของหญิงชราผู้นั้นเสียดแทงเข้ามาโสตประสาทของเขา หวังทงรู้สึกเจ็บปวดใจ ในยุคปัจจุบันนั้นแต่เล็กมาก็เป็นเด็กกำพร้าที่ต้องต่อสู้อย่างกล้าหาญ ต่อยตีตั้งแต่ประถมจนถึงมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยยอมใคร และเพราะชาติกำเนิดของตนเอง หวังทงจึงค่อนข้างมีความรู้สึกสงสารและเห็นใจผู้อ่อนแอไร้ที่พึ่งฝังแน่นอยู่ในสายเลือด

“อดทนไว้ อดทนไว้”

หวังทงเดินไปก็เตือนตัวเองไป จนเปล่งพูดเป็นเสียงออกมา เดินไปได้สองสามก้าว เสียงร้องด้านหลังก็อ่อนแรงลง หวังทงทนไม่ไหวอีกต่อไป หันหลังก้มลงหยิบก้อนอิฐข้างทางขึ้นมาก้อนหนึ่ง สาวเท้ายาวๆ อย่างรวดเร็วเข้าประชิดด้านหลังเจ้ากั๋วต้ง ทุบก้อนอิฐลงไปอย่างแรง

โพละ! เสียงดังสนั่น เจ้ากั๋วต้งร้องอย่างเจ็บปวด สองมือกุมหัวเอาไว้ ผงะถอยไปหลายก้าว แต่ก็ยังไม่ล้มลง เขาสวมหมวกอยู่ เมื่อสักครู่ถูกหมวกบังไว้ ศีรษะด้านหลังจึงแค่รู้สึกเจ็บเท่านั้น

เจ้ากั๋วต้งกุมศีรษะหันหลังกลับมาก็ไม่เห็นใคร เห็นแต่อิฐก้อนใหญ่อยู่ตรงหน้าอีกก้อน โพละ! เสียงดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง อิฐทุบลงบนใบหน้าของเขาพอดี

โชคดีที่เป็นช่วงหน้ากว้างของก้อนอิฐ หากเป็นช่วงส่วนแคบตรงนั้นทุบลงมา เกรงว่าคงจะหัวร้างข้างแตกไปแล้ว แม้จะเป็นเช่นนี้ ใบหน้าเจ้ากั๋วต้งก็ยังเป็นแผลปริออก เลือดไหลออกมาจากจมูก ศีรษะถูกตีหนักๆ ไปสองที ก็รู้สึกมึนงงพื้นหมุน ทรงตัวไม่อยู่อีกต่อไป เซถอยไปหลายก้าว ก่อนจะทรุดลงกับพื้น

ตีก็ตีไปแล้ว หวังทงจะหยุดมือได้อย่างไร ขาข้างหนึ่งเหยียบลงบนหน้าอก ยกอิฐในมือทำท่าจะทุ่มลงไปอีก สองตาของเจ้ากั๋วต้งอาบไปด้วยเลือด มองเห็นแม้เลือนลางก็ยังกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ร้องเสียงหลงอย่างไม่สนใจสิ่งใด

สถานการณ์เมื่อครู่ที่พ่อค้าและคนเดินบนท้องถนนหยุดชมอย่างคึกคักอยู่ไกลๆ สลายหายไป ทุกคนต่างเงียบอึ้ง และรู้สึกตะลึงงันกับการลงมือรุนแรงของหวังทง

เสียงร้องของเจ้ากั๋วต้งทำให้สติของหวังทงกลับคืนมา หากก้อนหินทุ่มลงไป เกรงว่าจะทำเอาคนตายได้ หวังทงจึงโยนก้อนอิฐทิ้ง หงายฝ่ามือตบหน้าไปสิบกว่าที

แม้ว่าเขาจะอายุเพียงแค่ 13 ปี แต่ร่างกายกำยำแข็งแรง ไม่ต้องพูดถึงว่ามักจะออกกำลังกายเสมอ หากยังมีประสบการณ์ครึ่งปีที่ร้านตีเหล็กก็ยิ่งทำให้มีแรงกำลังมากขึ้น ยามนี้แรงของหวังทงไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใหญ่แต่อย่างใด

ตบไปหลายที ใบหน้าเจ้ากั๋วต้งก็ถูกตบจนบวมเหมือนก้อนเนื้อหมู โลหิตอาบสองข้างแก้มจนน่าสมเพช หวังทงไม่ยอมหยุดมือ หากส่งเสียงดังตะโกนด่าว่า

“ไอ้โจรสวะ พ่อแม่ของเจ้าตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว ไอ้หน้าตัวเมียกล้าลงมือตีคนแก่ ข้าวที่เจ้ากินไปหลายสิบปีมานี้มันให้สุนัขกินไปหรืออย่างไร!!”

กตัญญูรู้คุณ คือคุณธรรมอันดับแรก แม้ว่าครั้งนี้หวังทงจะลงมือรุนแรง แต่คำพูดเหล่านี้ก็พูดได้มีหลักการ ร้านค้าและคนมุงที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบๆ รู้สึกสะใจยิ่ง

หวังทงโทสะคลายลง คิดไปคิดมาความผิดที่ได้ลงมือกับผู้บังคับบัญชาคงหนีไม่พ้น น่าปวดหัวจริง หากแต่ท่าทางแสดงออกยังคงดุดันเช่นเดิม แค่นเสียงเย็นเยียบใส่ว่า

“เจ้าทำขนมเปี๊ยะท่านยายเสียหาย ชดใช้เงินมา”

เจ้ากั๋วต้งกับนักเลงสองคนนั้นร่างกายเริ่มฟื้นคืนมาไม่น้อยแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาก็ยังคงเห็นหวังทงเป็นเหมือนสัตว์ร้าย ไหนเลยจะกล้าต่อต้าน ได้แต่ล้วงมือเข้าไปในเสื้อควักเบี้ยเงินเศษๆ กับเหรียญเงินจำนวนไม่น้อยออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!