Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 98

ตอนที่ 98 ทั้งกังวล ทั้งมีความสุข

วันนี้ก็เหมือนทุกวันที่หวังทงกับหลี่หู่โถวจะเข้าไปรับห่อผ้า หลี่หู่โถวแบกห่อผ้าเดินอยู่ข้างหน้าอย่างดีอกดีใจ หวังทงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ระงับความสงสัยของตนเอาไว้

เรื่องที่ฮ่องเต้ไม่พอพระทัย อาจเป็นเรื่องอารมณ์เด็กน้อย หรืออาจเป็นเรื่องบ้านเมือง ตนเองบังอาจถามไป จะนำมาซึ่งโชคหรือภัยก็ยากคาดเดา

เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รั้งมือหวังทงไว้ สองคนเดินช้าลง ฮ่องเต้ว่านลี่กระซิบขึ้นว่า

“หวังทง เราได้ยินว่า ถานกวนคิดว่าเจ้ามีคุณสมบัติเป็นแม่ทัพเก่งกล้า ดังนั้นจึงได้มอบทหารสิบกว่านายพร้อมกับตำราพิชัยสงครามให้เจ้างั้นหรือ?”

จังหวะฝีเท้าช้าลง ทิ้งห่างหลี่หู่โถวพอควรแล้ว ยังกระซิบกระซาบเช่นนี้อีก ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังระวังไม่ให้ผู้อื่นได้ยิน แต่การถามเช่นนี้ทำให้หวังทงรู้สึกตั้งตัวไม่ทัน ตอนฮ่องเต้ว่านลี่ถามคำถามนี้สีหน้าเรียบเฉย ก็ยิ่งไม่รู้ว่าถามเพราะเหตุใด จึงรีบตอบอย่างระมัดระวังว่า

“ทูลฝ่าบาท สิ่งที่เสนาถานทำนั้นตอนนี้ข้าน้อยเองก็งงอยู่ หากเป็นเพราะผู้ใหญ่ฝากฝังก่อนจากไป ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ทราบว่าฝ่าบาทมีหนทางจัดการอย่างไร ข้าน้อยจะได้ทำตามรับสั่ง”

ฮ่องเต้ว่านลี่ยกมือขึ้นปัดก่อนจะตรัสว่า

“เราก็เพียงแค่ถามดูเท่านั้น เราเห็นเจ้านอกจากรูปร่างสูงใหญ่แล้ว ก็มองไม่ออกจริงๆ ว่ามีคุณสมบัติเป็นแม่ทัพเก่งกล้า มีแต่ถานจื่อหลี่ที่มองออก แปลกไหม?”

หวังทงถอนหายใจเฮือก ที่แท้ฮ่องเต้น้อยอยากรู้เอง หลายเรื่องยากคาดเดา ไม่อาจละเลยแม้เพียงวินาที นับเป็นเรื่องยากที่จะวางใจได้ตลอดเวลา

วาจาของฮ่องเต้ว่านลี่กล่าวนำออกมาก็ยากที่จะหยุด เดินไปไม่ถึงสองก้าวก็กระซิบบ่นว่า

“ถานจื่อหลี่ตายไป ขุนนางสามรัชสมัยก็ต้องหยุดว่าราชการไว้ทุกข์หนึ่งวันตามธรรมเนียม เดิมเราคิดว่าเช้านี้จะได้ออกมาเที่ยวเล่น ใครจะไปคิดว่าคณะเสนาบดีใหญ่ กรมงานทั้งหกกรม และสำนักกองงานอื่นๆ จะมารวมตัวกันที่สำนักคณะเสนาบดีใหญ่เถียงกันไม่หยุดตั้งแต่เช้า ต่างก็คิดจะเลือกคนของตนเข้ามาเป็นเสนาบดีกรมทหาร เถียงกันร่วมสองชั่วยาม หูเรามีแต่เสียงดังหึ่งๆ”

หวังทงได้แต่ยิ้มรับ นั่งอยู่ตำแหน่งนี้ก็ต้องรับรู้เรื่องพวกนี้ คุมอำนาจบ้านเมืองก็ต้องคอยรับความวุ่นวายเหล่านี้ เรื่องนี้ไม่มีทางที่จะปลอบใจอะไรได้ ฮ่องเต้ว่านลี่ดูเหมือนแค่หาคนรับฟังเท่านั้น เดินช้าลงอีก แต่ก็พูดไม่หยุด

“เราฟังอยู่ตลอดเช้า เดิมมีตัวเลือกที่คิดไว้แล้ว คิดไม่ถึงว่าท่านจางกลับเสนอจางซื่อเหวยให้รับตำแหน่งนี้ เฝิงต้าปั้นก็เห็นด้วย ผลก็คือทุกคนล้วนเปลี่ยนทิศ เห็นด้วยไปหมด ไม่รู้จริงๆ ว่าเราเป็นโอรสสวรรค์ หรือเขาเป็นโอรสสวรรค์กันแน่…”

พอได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็รีบอุดปากฮ่องเต้ว่านลี่ทันที มองซ้ายมองขวา แรงเขามากกว่าฮ่องเต้ว่านลี่มาก อยู่ๆ อุดปากฮ่องเต้ว่านลี่ไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่ดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง หน้าตาแดงก่ำ ดวงตาเบิกกว้าง บนสนามฝึกแน่นอนไม่มีผู้ใด

เด็กๆ ที่เห็นเหตุการณ์ยังคิดว่าสองคนกำลังล้อเล่นกัน ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่เป็นที่รักใคร่ของหลายคน เด็กไม่น้อยพากันหัวเราะชี้มือมา

หวังทงปล่อยมือ ก่อนจะก้มหน้าลงกล่าวกับฮ่องเต้ว่านลี่สีหน้าจริงจังว่า

“ฝ่าบาท คำพูดเมื่อกี้ข้าน้อยไม่ได้ยิน…ขอเสี่ยงชีวิตกราบทูลสักประโยคว่า คำพูดเมื่อกี้ฝ่าบาทอย่าได้ตรัสกับคนนอก ระวังพระดำรัสด้วยพะยะค่ะ!”

ตอนนี้จางจวีเจิ้งเป็นหัวหน้าขุนนาง อำนาจมากกว่ามหาอำมาตย์คนใดตั้งแต่ตั้งราชวงศ์หมิงมา แม้แต่องครักษ์เสื้อแพรยังอยู่ใต้อำนาจ เฝิงเป่ายังกุมอำนาจสำนักบูรพา คุมอำนาจในราชสำนักฝ่ายในทั้งหมด ไทเฮาฉือเซิ่งยังสนิทสนมกับเขาทั้งสอง ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว เกรงว่าฮ่องเต้ว่านลี่น่าจะเป็นฝ่ายที่อ่อนแอที่สุด

นับประสาอะไรกับที่ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ยามพบเฝิงเป่ายังรู้สึกหวาดกลัว ตอนนั้นฮ่องเต้ว่านลี่ยังเป็นแค่นัดดาอดีตฮ่องเต้ จางจวีเจิ้งยังเป็นพระอาจารย์ของพระองค์ในจวนอ๋องอวี้ มองจากหลายด้านนี้แล้ว ก็คงไม่อาจเชิดพระพักตร์ขึ้นได้

หากว่ากันร้ายกาจหน่อย สี่กองกำลังรักษาพระองค์และกองรบจากสำนักอาชาหลวงก็อยู่ในมือเฝิงเป่า กองกำลังพิทักษ์เมืองหลวงก็อยู่ในมือจางจวีเจิ้ง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ผลที่ตามมาไม่กล้าที่จะคาดเดา

จากที่ถูกหวังทงอุดปากไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่มีสีหน้าโมโหมาก แต่พอเห็นหวังทงใกล้ๆ สีหน้าจริงจังกำชับว่า “ระวังพระดำรัส” สีพระพักตร์พลันเปลี่ยน ยอมอ่อนลงในที่สุด

หลี่หู่โถวที่แบกห่อผ้าเดินอยู่ข้างหน้าสังเกตว่าข้างหลังผิดปกติ ก็หันมายิ้มกว้างถามว่า

“ทำอะไรกันน่ะ!”

หวังทงปั้นยิ้มส่งให้ พลางโบกมือกล่าวว่า

“ล้อเล่นกัน รีบไปกันเถอะ ครูฝึกจะกันมาแล้ว”

ผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มา หวังทงและฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่มีอะไรจะพูดกันต่อในเวลานี้ สองคนเดินไปข้างหน้าเงียบๆ เดินไปได้สองสามก้าว ก็ได้ยินเสียงฮ่องเต้ว่านลี่กระซิบเบาๆ ด้านหลังหวังทงว่า

“หวังทง เจ้าหวังดีกับเราจริงๆ เรามองออก…”

หวังทงเงียบไป

*****

การฝึกแต่ละรูปแบบของลานฝึกดำเนินไปตามขั้นตอนปกติ บรรดาเด็กหนุ่มที่รู้สึกเบื่อหน่ายและแห้งแล้งก็ชินกันแล้ว อย่างไรก็ต้องทำทุกวัน การจะมารู้สึกเบื่อหน่ายอยู่นั้น มิสู้ถือโอกาสใช้เวลาช่วงพักหาเรื่องสนุกอะไรทำ เจ้าอ้วนหวงอี้จวินนั้นทุกวันก็เอาของอร่อยมาไม่น้อย เจ้าตัวใหญ่หวังทงก็เล่าเรื่องน่าตื่นเต้นได้ทุกวัน นี่เป็นการพักผ่อนยามว่างของทุกคน

บรรดาคนข้างกายลี่เทาที่เป็นหัวหน้ากลุ่มนั้นน้อยลงเรื่อยๆ แม้ว่ามาจากเมืองเซวียนฝู่ด้วยกันก็หันมารวมอยู่กับฝั่งหวังทง

ความสัมพันธ์ดีขึ้น ไม่ได้หมายความว่าความสามารถในการออกกำลังจะดีตามไปด้วย ปริมาณการฝึกเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ ฮ่องเต้ว่านลี่ทุกครั้งก็จะรั้งท้ายชนหัวแถวอยู่เสมอ

วันนี้ก็เช่นกัน บางทีอาจเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากเรื่องวุ่นวายที่คณะเสนาบดีใหญ่ ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่วิ่งเหม่ออยู่หลายครั้ง ผลก็ก็คือขบวนใหญ่วิ่งถึงจุดหมายมาออกกำลังสบายๆ กัน ฮ่องเต้ว่านลี่กลับรั้งอยู่กลางรอบ

หลี่หู่โถวก็เป็นเหมือนปกติ วิ่งไปบ่นไป แต่ก็คอยวิ่งช้าๆ เป็นเพื่อนฮ่องเต้ว่านลี่ บรรดาเด็กๆ พวกนั้นก็ดูเหมือนจะมองพวกเขาเป็นเรื่องสนุก

ลี่เทายืนมองอยู่หน้าแถวด้วยสีหน้าบึ้งตึง มองเห็นเจ้าสองคนนั้นทิ่วิ่งได้หนึ่งในสี่รอบ ในที่สุดก็อดไม่ได้ชี้มือไปพลางตะโกนเสียงดังว่า

“พวกเจ้าสองคนอย่ามาคอยถ่วงทุกคน กว่าจะได้มีเวลาพักสักหน่อย เจ้าสองคนจะให้ทุกคนต้องพลอยพังไปด้วยกันทั้งหมดหรือไง?”

เวลาการออกกำลังและพักผ่อนที่ลานฝึกหู่เวยนี้เข้มงวดมาก ถึงขั้นใช้นาฬิกาทรายและเงาจากดวงอาทิตย์วัด หากทุกคนไม่อาจออกกำลังตามที่กำหนดได้ เช่นการที่ฮ่องเต้ว่านลี่ถ่วงเวลาเช่นนี้ ก็จะกระทบกับเวลากินขนมและฟังเรื่องเล่าของทุกคน ทำให้คนรู้สึกไม่พอใจกันมากจริงๆ

หากจะบอกว่าลี่เทาเป็นเด็กหนุ่มที่รู้ความเร็วกว่าเด็กทั่วไป เขารู้ว่าตอนนี้ตนเองไม่ใช่ศูนย์กลางของทุกคน ดังนั้นวาจาที่ตะโกนออกมาจึงยืนอยู่ในมุมที่เป็นผลประโยชน์ของทุกคน

พอตะโกนออกมา บรรดาเด็กหนุ่มที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็ตะโกนดังตามมาด้วย ทว่าเด็กราวร้อยคนมีเพียงแค่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้นที่ตะโกน เกรงว่าจะน้อยนิดไปสักหน่อย

สายตาเย็นชาของครูฝึกที่ยืนดูอยู่ด้านข้าง ตอนนี้ในใจพวกเขานิ่งกว่าเมื่อก่อนมาก เด็กพวกนี้เล่นอะไรก็ให้เล่นกันไป ใครก็มองออกว่าฮ่องเต้ว่านลี่ได้จัดการกระจายกำลังพวกเขาออกแล้ว ไม่ใช่กลุ่มที่รวมตัวกันโจมตีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยังต้องกังวลอะไร

พวกลี่เทาตะโกนไปสองสามประโยค สุดท้ายก็ไม่อาจสร้างกระแสอะไรขึ้นมาได้ ครู่หนึ่งก็รู้สึกหมดแรง รู้สึกว่าลูกพี่ทำอะไรไม่ได้ อยู่ๆ ไม่รู้ใครตะโกนขึ้นมาจากทางนั้นว่า

“หวงอี้จวิน สู้ๆ”

ตอนแรกมีคนตอบรับหนึ่งคน สองคน สามคน ค่อยๆ กลายเป็นหลายสิบคนรวมพลังตะโกนดังว่า

“หวงอี้จวิน สู้ๆ”

ยังมีคนตบมือดังขึ้นด้วย ครานี้ตะโกนยิ่งมีจังหวะขึ้น ทุกคนให้กำลังใจไปตบมือไป หวังทงก็ตบมือตะโกนไปด้วย เหมือนความรู้สึกที่กำลังเชียร์บอลในสมัยนั้นได้กลับคืนมาอีกครั้ง

บรรยากาศบนสนามฝึกก็คึกคักขึ้น เสียงร้องให้กำลังใจกลบเสียงบ่นของลี่เทากับพวกอีกสิบกว่าคน ตอนเริ่มต้นสนามฝึกยังเงียบสงบ ลี่เทาและพวกตะโกนด่า ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ยินชัดเจนก็มีสีหน้าดำคล้ำ ความหงุดหงิดตอนเช้ากับความไม่พอใจรวมกัน ทำให้รู้สึกอึดอัดมาก

แต่พอได้ยินเสียงเชียร์ให้กำลังจากบรรดาเด็กพวกนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็มีสีพระพักตร์แช่มชื่นขึ้น รู้สึกว่าตนเองยิ่งวิ่งยิ่งเบา ความหงุดหงิดในใจที่ผูกปมแน่นก็มลายหายไปสิ้น

หวังทงมองจากที่ไกลๆ เห็นว่าฮ่องเต้ว่านลิ่วิ่งได้เร็วมากขึ้นจริงๆ ยิ่งใกล้เข้ามาก็ยิ่งเห็นได้ชัด ตอนฮ่องเต้ว่านลี่ก้าวเข้ามาในลานฝึกด้วยสีพระพักตร์ไม่พอพระทัย แต่ตอนนี้พลันมลายหายไปสิ้น ตอนนี้พระโอษฐ์ยังแย้มสรวล สีพระพักตร์ยิ้มแย้มเบิกบานราวกับบุปผาบาน ทุกวันได้ยินแต่เสียงสรรเสริญจากพวกขุนนาง เทียบกับเสียงเชียร์จากใจของบรรดาเด็กๆ ที่ไม่รู้สถานะที่แท้จริงพวกนี้ ย่อมให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันมาก

ตอนฮ่องเต้ว่านลี่และหลี่หู่โถววิ่งมาถึงจุดหมายปลายทาง บรรดาเสียงเชียร์ของเด็กๆ ก็รวมพลังเป็นหนึ่ง หากไม่รู้ยังคิดว่าวิ่งมาเป็นคนแรก

“ทุกท่าน พุร่งนี้ข้าจะให้ห้องครัวที่บ้านทำเนื้อแพะซีอี๊วให้ทุกคน เป็นเนื้อลูกแพะที่ใช้เครื่องปรุงชั้นดีปรุงขึ้น สอดไว้ในแผ่นแป้งย่างร้อนๆ หอมละมุนมาก”

ฮ่องเต้ว่านลี่แบ่งขนมในห่อผ้าให้ทุกคนก่อน จากนั้นก็ตะโกนดังขึ้น ของกินที่เขาให้สัญญาฟังแล้วก็น้ำลายสอ เด็กๆ ทุกวันกินที่หอเลิศรสจนเบื่อหน่ายก็ร้องตะโกนดีใจขึ้นพร้อมกัน บรรยากาศคึกคักขึ้นมาทันที

เมื่อผ่านช่วงเวลาตะโกนด่าและตะโกนเชียร์มา บรรดาเด็กๆ ก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย พวกลี่เทาสิบกว่าคนนั่งมองอยู่ไกลๆ แต่ทางนี้หลายสิบคนดีอกดีใจกันถ้วนหน้า

เด็กน้อยยากที่จะปฏิเสธความสนุกและของอร่อย ของสองอย่างนี้กลับมารวมอยู่กับฝั่งฮ่องเต้ว่านลี่ทางนี้ แม้แต่บรรดาเด็กที่นั่งอยู่กับลี่เทาก็อดมองมาไม่ได้ สายตาส่องประกาย

ฮ่องเต้ว่านลี่คุยเล่นกับทุกคนครู่หนึ่ง ก็ทำเรื่องประหลาดขึ้น เขาล้วงห่อขนมสองห่อออกมาจากห่อผ้า เดินไปทางลี่เทา

ความสนุกสนานของเด็กๆ ก็ค่อยๆ เงียบลงไปตามการกระทำของฮ่องเต้ว่านลี่ ทุกคนมองฮ่องเต้ว่านลี่ด้วยสีหน้างุนงง หวังทงก็ยิ่งมึนตามไปด้วย ลี่เทาทางนั้นก็ยิ่งไม่เป็นมิตรมากขึ้น

“พลทหารลี่ ขนมเปี๊ยะกรอบกับขนมงานี่อร่อยมาก เจ้าลองดู?”

ใบหน้าที่อ้วนที่ไม่ได้กลมมากเท่าไรของฮ่องเต้ว่านลี่เผยรอยยิ้มจริงใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!